23 มิ.ย. 2020 เวลา 01:56 • ปรัชญา
ผมมักจะอุทานว่า "โห"
ถ้ารู้สึกว่าเรื่องนั้นมัน"เหี้ย"
ผมเป็นคนตรงๆ
แต่ไม่นิยมใช้คำหยาบ
แต่ก็ไม่ได้แปลว่า
"ผมคือคนดี"
เมื่อวานผมอุทานคำว่า
"โห"อยู่หลายรอบ
กับบางสิ่งที่ผมได้รับรู้รับฟังมา
ผมเป็นคนเชื่อคนโคตรยาก
แต่ถ้าได้ตัดสินใจว่าจะเชื่อ
ก็จะเชื่อหมดใจ
มองผิดบ้างถูกบ้างคละเคล้ากันไป
แต่
ผมโชคดีนิดนึงที่ได้"ยีนส์ไม่สนโลก"
มาจากคุณย่าของผม
กล่าวคือ "พอจบ ก็คือจบ"
ผมไม่เอามาคิดต่อให้ปวดหัวเล่น
ผมหลับสนิททุกคืน
ถ้าไม่ต้องพาลูกไปฉี่กลางดึก
เรื่องโหๆนั้นมันมีอยู่ว่า
คนในองค์กรคนหนึ่งทำเรื่องโหๆ
กับคนอื่นๆในองค์กรอย่างไร้ความปราณี
แน่นอนว่าคนที่ถูกกระทำโหๆแบบนั้น
ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา
ถ้าเป็นคนขี้อาย ใจแคบ เรื่องคงเงียบไป
เหมือนในกรณีคดีข่มขืนหลายๆคดี
ที่เหยื่อมักจะอายและไม่กล้าแจ้งความ
แต่เหยื่อรายนี้ไม่ยอมให้เรื่องเงียบ
เพราะเป็นห่วงกลัวว่าคนอื่นจะ
ถูกกระทำโหๆ แบบนี้อีก
เธอจึงรวบรวมความกล้าไปบอกกับ
หัวหน้าขององค์กรนั้น
และก็ได้คำตอบกลับมาว่า
"เรื่องโหๆนั้นไม่เกี่ยวกับองค์กร
มันเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันจะไม่ยุ่ง"
ผมได้แต่..."โห แล้วโหอีก"
แต่พอคุยจบผมก็เข้านอน
และนอนหลับสนืทตื่นมาสดชื่น
เช้าวันนี้ตอนรดน้ำต้นไม้
เพิ่งสังเกตเห็นความงาม
ที่แฝงไปด้วยความเศร้า
"เศร้าโหๆ"
ตะปูที่เต็มไปด้วยสนิมดอกหนึ่ง
ที่ถูกตอกอยู่บนต้นไม้ที่ตายแล้ว
ถ้าปล่อยไว้แบบนั้น
ต้นไม้ก็คงจะผุพังไปเรื่อยๆ
ตะปูก็คงถูกสนิมกัดกร่อนไปเรื่อยๆ
ทั้งตะปูทั้งต้นไม้ตายแล้วต้นนั้น
คงจะไม่เกิดประโยชน์กับสวนของผมแน่นอน
แถมยังจะเป็นที่อยู่ของแมลงมีพิษ
หรือสัตว์ที่เป็นอันตรายกับครอบครัว
ของผมและตัวผมรวมถึงผู้มาเยือนอีกด้วย
ผมตัดสินใจแล้วว่า
ผมต้องถอนตะปูดอกนั้นออก
ผมจะเลื่อยไม้เอาไปทำฟืนเผาถ่าน
ผมทำแบบนั้นได้เพราะตะปูปฝและต้นไม้เป็นของผม
แต่เรื่องโหๆที่ผมได้รับรู้มา
ผมคงทำได้แค่อุทานเบาๆว่า"โห"
ก็คงจะพอเพราะโลกมันเป็นเช่นนั้นเอง
ถ้าไม่จัดการอะไร
จุดจบคงไม่ต่างอะไรกับ
"ตะปูสนิมบนขอนไม้ผุ"
ห่วงใยจากใจ
โย/22
โฆษณา