28 มิ.ย. 2020 เวลา 02:00 • บันเทิง
คำเตือน บทความนี้อาจจะมีการสปอยด้วยนะครับ
ภาพจากหนัง 2012 วันสิ้นโลก
จำได้เลยครับว่าในปี 2009 หนังเรื่อง 2012 เป็นที่ฮือฮามากครับ เพราะมีข่าวลือเรื่องวันอวสานโลก ถูกแพร่กระจายไปทั่วโลกตามปฏิทินมายัน อารยธรรมของชนเผ่ามายา ทำให้คนทั่วโลกเชื่อว่า 2012 ต้องเป็นวันที่สิ้นโลกจริง ๆ อย่างแน่นอน แต่สุดท้ายโลกก็ไม่แตก
แต่เห็นว่ามีการคำนวณใหม่แล้ว โลกเราจะแตกในวันที่ 21 มิถุนายน 2020 แต่วันนี้ดูเหมือนผมจะยังอยู่รอดปลอดภัยนะครับ งั้นขอสรุปว่าโลกไม่แตกอีกตามเคยครับ
เอาล่ะ ก่อนโลกจะแตกเรามาอ่านข้อคิดดี ๆ จากหนังโลกแตกกันก่อนดีกว่า
สถานการณ์เริ่มโกลาหลเมื่อโลกที่เราอยู่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เลวร้าย อุณหภูมิใต้พื้นดินร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือวันอวสานโลกใกล้เข้ามาแล้วนั่นแหละครับ
จริง ๆ หนังเรื่องนี้มีฉาก อลังการงานสร้างหลายฉากมาก เพียงแต่ข้อคิดดี ๆ ที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวของกับตัวละครหลักในหนังสักเท่าไรแต่เป็นฉากเล็ก ๆ ของเรื่องเท่านั้น
เป็นฉากหนึ่งในหนังครับ ที่ประเทศทิเบต ทางการกำลังคัดเลือกคนที่จะอยู่รอดจากวันอวสานโลก ประชาชน คนที่มีความสามารถต่างเข้ามารุมล้อมเพื่อฟังการประกาศ
นายทหารประกาศถามกับประชาชนว่า ใครมีความสามารถในการฟังและพูดบ้าง ผู้คนต่างยกมือกันมากมาย
นายทหารถามต่อไปว่า แล้วใครสามารถเขียนหนังสือได้บ้างผู้คนยังคงยกมือกันมากมาย
นายทหารจึงถามต่อไปว่า แล้วใครเชื่อมโลหะได้บ้าง
มีชายเพียงคนเดียวที่ยกมือ และในวันนั้นเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกคัดเลือกตัวไป
การฟัง พูด อ่าน เขียน ถือเป็นทักษะที่สำคัญ สำหรับการคัดเลือก เพราะทหารต้องการคนที่ใช้ประโยชน์ได้ แต่ดูเหมือนที่บนเรือยักษ์จะมีไม่มากพอสำหรับทุกคน เขาจึงต้องเลือกคนที่มีความสามารถที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติม ซึ่ง การเชื่อมโลหะเป็นเป็นทักษะที่สำคัญมากสำหรับการสร้างเรือ
ถึงแม้ในวันนี้ โลกของเราจะไม่แตกตามคำทำนายก็ตาม แต่เศรษฐกิจของโลกในตอนนี้ก็วิกฤตไม่แพ้วันโลกาวินาศในหนังเลย
จริง ๆ แล้วถ้าใครตามข่าวจะรู้ว่าโรงงานในไทย ทยอยปิดตัว ตั้งแต่ โคโรนาไวรัสยังไม่ระบาดแล้วครับ เศรษฐกิจโลกก็แย่ แถมอเมริกาก็เกือบจะทำสงครามโลกครั้งที่ 3 เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่คน มากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วคุณคิดว่าสถานการณ์แบบนี้คนแบบไหนล่ะที่เป็นที่ต้องการ ระหว่างคนที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เกาะบริษัทไปวัน ๆ กับคนที่มีความสามารถรอบด้าน
วินาทีนี้ไม่ว่าบริษัทไหน ๆ ก็ต้องลดพนักงานลงให้เหลือน้อยที่สุด และพนักงานที่จะถูกเลือก ส่วนใหญ่ก็ถูกคัดเลือกจากฝีมือกันทั้งนั้น เพราะยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับบริษัทมากเท่านั้น
ในช่วงสถาการปกติช่วงสัมภาษณ์งานถ้าพูดภาษาอังกฤษได้จะพิจารณาเป็นพิเศษ แต่ในช่วงวิกฤต ดูเหมือน ยิ่งทักษะมากเท่าไหร่บริษัทก็ยิ่งต้องการมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น หมดเวลาขี้เกียจแล้วครับ หากบริษัทต้องการคนมีความสามารถ ต้องการคนที่มีประโยชน์คุณก็ควรเป็นคนเช่นนั้น
เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ซองขาวบนโต๊ะทำงานของคุณในวันจันทร์อาจไม่ใช่ซองผ้าป่าอีกต่อไป
#บทสรุปฉบับแฮมแฮม
โฆษณา