1. ต้องเป็นคนมีรายได้ที่ต้องเสียภาษี และต้องการหารายการเพื่อลดหย่อนภาษี ในปีภาษี 2563 นี้ และจะยิ่งเหมาะมากขึ้น ถ้าคนนั้นปกติใช้กลุ่มการลดหย่อนจากการเก็บเงินเพื่อการเกษียณได้แก่ RMF/ PVD/ ประกันบำนาญ/ กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน/ กอช. ไว้ครบหรือเกือบครบ 500,000 บ. แล้ว และต้องการหารายการมาลดหย่อนเพิ่มเติม เพราะปี 63 นี้ ไม่มี LTF ให้มาลดหย่อนเพิ่มแล้ว
.
2. ต้องยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นไทยได้
เพราะ SSFX ที่นโยบายเป็นการลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลักเหมือน LTF ดังนั้นต้องยอมรับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งถ้าเรามองว่าการลงทุนกอง SSFX ในช่วงนี้ อาจทำให้เราได้ราคาที่เหมาะสม และในระยะยาว 10 ปี ข้างหน้า ดัชนีหุ้นไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่านี้ มองว่าช่วงเวลานี้เป็นโอกาสและสามารถยอมรับความผันผวนระหว่างทางได้ ถ้ามองแบบนั้นได้ก็เหมาะที่จะลงทุน
.
3. มีเงินที่นำมาลงทุนได้ในช่วงนี้ คือ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 63 และเงินนี้ต้องเป็นเงินที่ไม่ได้ต้องนำออกมาใช้จ่ายเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา เพราะเงื่อนไขคือถือ 10 ปีเต็มสำหรับเงินแต่ละก้อนที่เขาไปลงทุน
.
.
ดังนั้นจะเห็นว่าคนที่จะลงทุน SSFX ต้องเป็นคนที่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษี และจะเหมาะมากขึ้น ถ้าปกติใช้กลุ่มก้อนการลดหย่อนเพื่อการเกษียณเต็ม หรือเกือบเพดานอยู่แล้ว และยอมรับความเสี่ยงและความผันผวนของตลาดหุ้นไทยได้ เพราะถ้าเป็นกอง SSF ทั่วไป สามารถลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย แต่เพดานคือซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ และไม่เกิน 200,000 บ. และต้องรวมกับกลุ่มก้อนเพื่อการเกษียณ แล้วไม่เกิน 500,000 บ.
.
ดังนั้นถ้ายอมรับความเสี่ยงของการลงทุนหุ้นไทยไม่ได้ และปกติก็ไม่ได้ใช้เต็มเพดาน 500,000 บ. นั้นอยู่แล้ว ก็ลองดูที่เป็นกอง SSF ทั่วไปที่ลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อาจจะเหมาะกว่า
.
.
แล้วตอนนี้มีกองทุนออกมาให้เลือกจากหลาย บลจ. แล้วจะดูยังไง??