25 มิ.ย. 2020 เวลา 23:03
สิงห์ แยกเขี้ยวขย้ำเรือล่มส่งผล หงส์ ผงาดแชมป์
แมนฯ ซิตี้ ยกพลไปเยือน เชลซี ท่ามกลางสถานการณ์ที่ต้องคว้า 3 แต้มเท่านั้นเพื่อจะยืดเวลาฉลองแชมป์ของ ลิเวอร์พูล ออกไปจนถึงเกมที่ทั้งคู่จะพบกันในวันที่ 2 ก.ค. นี้ เป็นอย่างน้อย
เชลซี ที่เฉือนชนะ แอสตัน วิลล่า 2-1 เลือกปรับ 2 ตำแหน่ง รอสส์ บาร์คลี่ย์ กับ คริสเตียน พูลิซิช ได้เป็นตัวจริงแทนที่ รูเบน ลอฟตัส-ชีค กับ มาเตโอ โควาซิช
ตามแผน 4-3-3 เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ดูแลด่านสุดท้าย แนวรับจากขวาไปซ้ายเป็น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ มาร์กอส อลอนโซ่
เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กลับไปยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง พร้อมด้วยผู้ช่วยอย่าง รอสส์ บาร์คลี่ย์ กับ เมสัน เมาท์ แดนหน้าจัด โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ค้ำหอกเป้า ขนาบด้วย วิลเลี่ยน กับ คริสเตียน พูลิซิช
"เรือใบสีฟ้า" ปรับทัพ 6 ตำแหน่งจากเกมไล่ต้อน เบิร์นลี่ย์ 5-0 ไคล์ วอล์คเกอร์, เอมเมอริก ลาปอร์กต์, แบงฌาแม็ง เมนดี้, อิลคาย กุนโดกัน, เควิน เดอ บรอยน์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง กลับมาเป็นตัวจริง
ในระบบ 4-3-3 เอแดร์ซอน รับผิดชอบเฝ้าเสา แบ็กโฟร์วาง ไคล์ วอล์คเกอร์, แฟร์นันดินโญ่, เอมเอมริก ลาปอร์กต์ และ แบงฌาแม็ง เมนดี้
แดนกลางให้ โรดรี้ เอร์นานเดซ เป็นจอมทัพ ขนาบด้วย เควิน เดอ บรอยน์ กับ อิลคาย กุนโดกัน แดนหน้าเลือก ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นหน้าเป้าแทนที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่เจ็บจากนัดก่อน แม้ว่า กาเบรียล เชซุส ฟิตปั๋ง ส่วนตัวรุกริมเส้นเป็น ริยาด มาห์เรซ กับ แบร์นาร์โด้ ซิลวา
ตั้งแต่เขี่ยบอลเริ่มเล่น แมนฯ ซิตี้ ครองเกมได้เหนือกว่าในช่วงแรกๆ ส่วน เชลซี ถอยไปตั้งรับดูเชิงก่อน โดยในจังหวะที่ไม่มีบอลแทบจะยืน 4-5-1 ก็องเต้ ถอยมาปัดหน้าแผงหลัง ตัวริมเส้น 2 ฝั่งก็ถอยต่ำมาเป็นปีก
พอลงไปในสนามแล้ว ปรากฎว่า ซิลวา กลายเป็นคนที่ถูกดันขึ้นไปยืนหน้าเป้า ไม่ใช่ สเตอร์ลิง อย่างที่คาดไว้
"เรือใบสีฟ้า" หวิดบุกนำใน นาที 18 จากฟรีคิกกราบซ้าย มาห์เรซ โยนไปหน้าประตู แฟร์นันดินโญ่ โฉบขึ้นโหม่งตรงเสาแรกเกือบเสียบคานแต่ เกปา ยืนตำแหน่งดีก่อนบินปัดออกไปได้
ครึ่งชั่วโมงแรกผ่านไป 2 นาที เชลซี น่าได้ประตูนำ บาร์คลี่ย์ หลุดมาทางซ้ายก่อนเปิดไปหน้าประตูให้ พูลิซิช ชาร์จแต่ไม่ผ่านการป้องกันของ เอแดร์ซอน บอลยังกระเด้งมาถึง อลอนโซ่ เปิดจากริมเขตโทษฝั่งซ้ายไปเสาไกล เมาท์ ทำชิ่งกับ ชิรูด์ ก่อนยิงหักข้อด้วยขวาส่งบอลผ่านหน้าประตูไปเสาไกล บาร์คลี่ย์ ปรี่เข้ามาแปด้วยขวาแต่ติดบล็อก แฟร์นันดินโญ่ ออกหลังไป
ในลูกเตะมุมฝั่งซ้าย วิลเลี่ยน โยนไปหน้าประตู คริสเตนเซ่น เทกตัวโหม่งเต็มศีรษะแต่ เอแดร์ซอน ก็ยังล้มตัวทุบออกมาได้ อัซปิลิกวยต้า พยายามยิงซ้ำด้วยซ้ายแต่ก็เกินข้ามคานไปไกล
แต่แล้วใน นาที 36 "สิงโตน้ำเงินคราม" ออกนำ 1-0 จากจังหวะสวนกลับเร็วหลัง แมนฯ ซิตี้ ได้ฟรีคิกกราบขวาเปิดเข้าเขตโทษไปโดนสกัดออกมา บอลแถวสองก็ยังเก็บได้แต่ด้วยความที่สื่อสารไม่เข้าใจกันระหว่าง เมนดี้ กับ กุนโดกัน ทำให้บอลหลุดไปถึง พูลิซิช ควบไปเองจากกลางสนามเข้าไปเอี้ยวตัวแปด้วยขวาหน้าเขตโทษโค้งเสียบเสาขวามือนิ่มๆ
3 นาทีต่อมา แมนฯ ซิตี้ ได้ฟรีคิกริมเขตโทษฝั่งขวาเล่นสั้น เดอ บรอยน์ แตะให้ มาห์เรซ ปั่นด้วยซ้ายในเขตโทษฝั่งขวาหลุดเสาไกลออกไป ก่อนจบ 45 นาทีแรก เชลซี นำก่อน 1-0
เป็นผลการแข่งขันที่น่าผิดหวังสำหรับ "เรือใบสีฟ้า" เพราะครองเกมเหนือกว่าในช่วงแรกๆ แต่กลับไม่สามารถเจาะตาข่ายคู่แข่ง กลับกัน พอพลาดเองนิดเดียวเลยถูกลงโทษแบบสาสม
กลับมาต่อครึ่งหลัง ไม่มีใครเปลี่ยนตัว นาที 48 เกมหยุดไปพักใหญ่หลัง คริสเตนเซ่น ได้รับการปฐมพยาบาลจากการใช้ศีรษะบล็อกลูกยิงเต็มข้อของ เมนดี้
7 นาทีต่อมา "เรือใบสีฟ้า" เปลี่ยนตัว 2 คน ดาบิด ซิลบา กับ กาเบรียล เชซุส ลงไปแทน โรดรี้ กับ ซิลวา
ในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา จากจังหวะฟรีคิกหน้าเขตโทษ เดอ บรอยน์ รับหน้าที่สังหารข้ามกำแพงโค้งเสียบสามเหลี่ยมซ้ายมืออย่างสวยสดงดงามให้ แมนฯ ซิตี้ ไล่ตีเสมอ 1-1 สำเร็จ
พอได้ประตูตีเสมอ เหมือนว่า "เรือใบสีฟ้า" ดูจะคึกคักขึ้นมา นาที 57 จากจังหวะสวนกลับเร็ว มาห์เรซ จ่ายจากซ้ายไปหน้าเขตโทษ สเตอร์ลิง สปีดมาถึงบอลก่อนยิงด้วยขวาตรงหัวกะโหลกผ่านการป้องกันของ เกปา ไปแล้วแต่ดันชนเสาซ้ายมือกระเด้งออกมา
เข้าสู่ชั่วโมงแรก ทีมเยือนขยับตัวบนม้านั่งสำรองอีกครั้ง โอเล็คซานเดอร์ ซินเชนโก้ ลงไปแทนที่ เมนดี้
ถัดมานาทีเดียว เชลซี แก้เกมด้วยการส่ง แทมมี่ อับราแฮม ลงไปเติมความสดในแดนหน้าแทนที่ ชิรูด์
นาที 62 เชลซี เกือบขึ้นนำอีกหน เอแดร์ซอน เตะเปิดเกมพลาดไปเข้าเท้า เมาท์ ลากลุยเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายก่อนได้สับไกด้วยซ้ายพุ่งเข้าหน้าต่างเสาแรก
ต่อมา 5 นาที แมนฯ ซิตี้ ได้ลูกเตะมุมฝั่งขวา มาห์เรซ เปิดโค้งหลุดมาถึงเสาไกล สเตอร์ลิง เก็บได้ก่อนแตะหาช่องปั่นโค้งด้วยขวาหลุดเสาขวามือไปไม่ไกล
นาที 71 ความเร็วของ พูลิซิช ป่วนเกมรับทีมเยือนอีกแล้ว จากบอลยาวเปิดขึ้นหน้า แนวรับ "เรือใบสีฟ้า" ดักกันไม่ขาดกลายเป็นเปิดช่องให้ พูลิซิช หลุดไปแตะหนีทั้ง แฟร์นันดินโญ่ กับ เอแดร์ซอน เข้าเขตโทษไปยิงหักข้อด้วยขวาจะเข้าอยู่แล้วแต่ วอล์คเกอร์ ตามมาสกัดไว้ได้บนเส้นประตู อับราแฮม ซ้ำระยะเผาขนก็ติดบล็อกของ แฟร์นันดินโญ่
2 นาทีต่อมา เชลซี เปลี่ยนตัวเพิ่ม มาเตโอ โควาซิช ลงไปแทน บาร์คลี่ย์ ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ส่ง โอตาเมนดี้ ลงไปแทน ลาปอร์กต์
นาที 76 "สิงห์บลูส์" น่าได้ประตูนำสุดๆ วิลเลี่ยน ลากลุยเข้าเขตโทษฝั่งขวาไปเปิดเข้ากลาง อับราแฮม แปด้วยขวาติดเซฟของ เอแดร์ซอน กระเด้งออกมา พูลิซิช เข้าซ้ำจ่อๆ โดน แฟร์นันดินโญ่ สกัดบนเส้นประตู อับราแฮม ตามเข้าไปซ้ำระยะเผาขนติด แฟร์นันดินโญ่ อีกครั้ง
แต่ อับราแฮม ร้องจะเอาจุดโทษโดยชี้ว่าเป็นจังหวะแฮนด์บอลของ แฟร์นันดินโญ่ ก่อน วีเออาร์ ตัดสินให้เป็นจุดโทษของ "สิงห์บลูส์" ขณะที่ แฟร์นันดินโญ่ โดนใบแดงโดยตรงไล่ออกจากสนามด้วย
วิลเลี่ยน รับหน้าที่ยิงจุดโทษด้วยขวาส่งบอลเสียบมุมบนซ้ายมือตัวเองให้เจ้าบ้านขึ้นนำ 2-1 ใน นาที 78
ช่วงเวลาที่เหลือ แมนฯ ซิตี้ พยายามบุกแต่ก็เร่งเครื่องไม่ขึ้นจนเหมือนว่าช่วงท้ายเกมจะถอดใจไปด้วยซ้ำ
ช่วงทดเจ็บนาน 6 นาที เชลซี ส่ง เปโดร โรดริเกซ ลงไปแทนที่ เมาท์ ตามด้วย บิลลี่ กิลมัวร์ แทนที่ พูลิซิช เพื่อกินเวลา
ช่วงทดเจ็บ นาที 90+3 เจ้าถิ่นเกือบได้ประตูย้ำชัยจากการประสานงานของ 2 ตัวสำรอง กิลมัวร์ วางบอลให้ เปโดร เก็บบอลก่อนปั่นโค้งเข้ากรอบทว่า เอแดร์ซอน ยังป้องกันได้สวย
จบเกม เชลซี เปิดบ้านเชือด แมนฯ ซิตี้ 2-1 ส่งมอบถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ให้ ลิเวอร์พูล อย่างเป็นทางการหลังช่องว่าง 23 แต้มถือว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ทันใน 7 เกมที่เหลือ
"เรือใบสีฟ้า" คงจะเลิกกังวลเรื่องการเสียแชมป์ได้เรียบร้อยแล้ว เพราะพวกเขากลายเป็นอดีตแชมป์อย่างเป็นทางการ มันก็ไม่น่าแปลกเมื่อดูจากผลงานที่ลุ่มๆ ดอนๆ ในซีซั่นนี้ พวกเขาพร้อมที่จะพลิกล็อกแพ้บ่อยๆ ไม่เหมือนเมื่อฤดูกาลที่แล้วเลย
เกมรับเป็นจุดอ่อนของ แมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ ประตูแรกมาจากความผิดพลาดของ เมนดี้ ส่วนประตูที่ 2 ก็มาจากความทะเล่อทะล่าของ แฟร์นันดินโญ่ ที่ทำให้ทีมเสียทั้งจุดโทษและใบแดง
เชื่อว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า น่าจะเล็งปรับแนวรับในช่วงซัมเมอร์นี้แน่นอนถ้ายังหวังจะกลับไปทวงแชมป์ พรีเมียร์ลีก
ขณะเดียวกัน ถ้ายังทำผลงานได้แค่นี้ เชื่อว่าใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็คงไปได้อีกไม่กี่น้ำสำหรับ "เรือใบสีฟ้า"
เดอ บรอยน์ ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักเตะเบอร์ต้นๆ ของ พรีเมียร์ลีก เวลานี้ ลูกฟรีคิกของเขาช่างสวยสดงดงามจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ ไปปลอบใจก็ได้
แมนฯ ซิตี้ เตรียมหันโฟกัสไปล่าถ้วยแชมป์อื่นๆ ที่ยังเหลือ ไม่ว่าจะเป็น เอฟเอ คัพ ที่มีคิวเจอ นิวคาสเซิ่ล ในรอบก่อนรองฯ รวมถึง แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่รอหวดกับ เรอัล มาดริด ในนัดที่ 2 ของรอบ 16 ทีมสุดท้าย
เท่ากับว่า วันที่ 2 ก.ค. นี้ ในเกมที่ "เรือใบสีฟ้า" จะเปิดบ้านรับมือ ลิเวอร์พูล ก็จะไม่มีความหมายใดๆ หรือนี่จะเป็นแผนของ กวาร์ดิโอล่า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียแชมป์ในเกมที่แพ้คาบ้านตัวเอง?
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
โฆษณา