26 มิ.ย. 2020 เวลา 03:40 • กีฬา
จากคนเคลือบแคลงสงสัย สู่ผู้เชื่อมั่น และจากผู้เชื่อมั่นสู่ผู้ชนะ ปรัชญาการทำงานของเจอร์เก้น คล็อปป์ สู่แชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีของลิเวอร์พูล
ในวันแรกที่เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูลคือช่วงเดือนตุลาคม ปี 2015 ณ เวลานั้น ทีมหงส์แดงมีผลงานตกต่ำมาก
8 เกมแรกของซีซั่น 2015-16 ภายใต้เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ลิเวอร์พูลอยู่อันดับ 10 ของตาราง ความฝันที่จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ณ วินาทีนั้นดูห่างไกลมากเหลือเกิน
1
ลิเวอร์พูลได้แชมป์ครั้งสุดท้ายคือปี 1990 จากนั้นมาอีก 2 ทศวรรษ พวกเขาไม่เคยไปถึงแชมป์อีกเลย ซึ่งจริงอยู่ หงส์แดงเคยได้อันดับ 2 อยู่บ้างในบางซีซั่น แต่ตำแหน่งแชมป์ลีกที่รอคอย ยังไงก็ไปไม่ถึง เปลี่ยนผู้จัดการทีมมากี่คนแล้วก็ทำไม่สำเร็จ
1
- เชราร์ อุลลิเยร์ เคยจบอันดับ 2 หนึ่งครั้ง ในซีซั่น 2001-02 ตามหลังอาร์เซน่อล
- ราฟาเอล เบนิเตซ เคยจบอันดับ 2 หนึ่งครั้ง ในซีซั่น 2008-09 ตามหลังแมนฯยูไนเต็ด
- เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เคยจบอันดับ 2 หนึ่งครั้ง ในซีซั่น 2013-14 ตามหลังแมนฯซิตี้
ถึงตรงนี้ ความฝันของลิเวอร์พูลดูเป็นไปได้ยากมาก เพราะศักยภาพทีมตัวเองก็ไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ แล้วคู่แข่งอย่าง แมนฯซิตี้, เชลซี, สเปอร์ส, อาร์เซน่อล และ แมนฯยูไนเต็ด ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ ดังนั้นนึกไม่ออกว่า ลิเวอร์พูลจะฝ่าด่านทีมเหล่านี้แล้วไปถึงแชมป์ได้อย่างไร
แต่เมื่อคล็อปป์เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม ในวันแรกสุด เขายืนยันว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ไม่ใช่ชัยชนะ
"We have to change from doubters to believers"
2
มันแปลว่า เราต้องเปลี่ยนความรู้สึกของคนที่ไม่เชื่อมั่น ให้กลับมาเชื่อมั่นและศรัทธาในทีมอีกครั้ง ขอแค่มีหัวใจ มีสปิริตกลับคืนมา ชัยชนะก็จะตามมาเอง นี่คือมุมของคล็อปป์
3
เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ช่วงปลายยุคร็อดเจอร์ส หลังจากหลุยส์ ซัวเรซย้ายไปแล้ว แฟนหงส์แดงจำนวนไม่น้อยหมดความศรัทธา หมดความเชื่อมั่นกับทีม ไม่คิดว่าสโมสรที่ตัวเองรักจะคัมแบ็กกลับมาเป็นแชมป์ได้ พวกเขาไม่เชื่อว่าทีมตัวเองนั้นดีพอ ดังนั้นสิ่งที่คล็อปป์ต้องการคือผู้เล่นทุกคนที่ได้โอกาสลงเล่น จะต้องทำให้แฟนบอลเปลี่ยนความคิดให้ได้ และกระตุ้นให้เหล่าเดอะ ค็อปกลับมาเชียร์อย่างสุดเสียงเพื่อสโมสรอีกครั้ง
1
และในมุมของคล็อปป์ ไม่ใช่แค่แฟนบอลเท่านั้น แต่เป็นตัวนักเตะเองด้วย ที่ต้องเลิกสงสัยในความสามารถของตัวเอง จงมั่นใจเข้าไว้ในศักยภาพที่มีอยู่ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ นักเตะสามารถเล่นได้อย่างมั่นใจแล้ว วันนั้นทีมจะไปถึงชัยชนะได้แน่นอน
เจอร์เก้น คล็อปป์ค่อยๆสร้างทีมอย่างใจเย็น ผ่านความอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวเขาและนักบอลได้เรียนรู้หลายๆอย่างไปพร้อมกัน
หลักการของคล็อปป์คือ Enjoy every little moment นั่นคือคุณต้องมีความสุขกับความสำเร็จเล็กๆน้อยๆ ทุกอย่าง เห็นคุณค่าของสิ่งที่เกิดขึ้น และความสุขเล็กๆ จะสร้างความมั่นใจช้าๆ ว่าในเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ คุณก็จะสามารถทำได้
13 ธันวาคม 2015 ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์ พบเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ปรากฏว่าทีมโดนนำ 2-1 จนจะหมดเวลาอยู่แล้ว แต่นาทีที่ 90+5 ดิว็อค โอริกี้ ตีเสมอได้ สกอร์เป็น 2-2 ลิเวอร์พูลไม่แพ้คาบ้าน
หลังจบเกม คล็อปป์เรียกนักเตะมาจับมือกัน และชูมือด้วยความสะใจต่อหน้าเดอะ ค็อปป์สแตนด์อย่างพร้อมเพรียง โดยคล็อปป์ต้องการให้นักเตะได้เอ็นจอยกับความสุข คุณเก็บ 1 แต้มได้ ในวันที่มีโอกาสแพ้เยอะมาก ซึ่งแน่นอน คนก็แซวยับว่า อะไรจะดีใจเว่อร์ขนาดนั้น เก็บได้ 1 แต้มจากเวสต์บรอมเนี่ยะนะ ทำยังกะเวสต์บรอมเป็นบาร์ซ่าเลย
1
หรือ วันที่ 23 มกราคม 2016 ตอนที่ลิเวอร์พูลยิงประตูชัยเหนือนอริช ในช่วงทดเจ็บชนะไป 5-4 นักเตะและคล็อปป์รุมกอดกัน จนคล็อปป์แว่นหัก นี่ก็โดนคนแซวอีก ว่าโอ้โห ดีใจกันขนาดนี้ นึกว่านอริช เป็นคู่แข่งนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก คือมันก็แค่นอริชซึ่งเป็นรองบ๊วยในตารางนะ
แต่การโดนแซวไม่ได้ทำให้คล็อปป์เปลี่ยนท่าที ในทุกๆความสำเร็จเขาต้องการให้ผู้เล่นได้เอ็นจอยไปกับมัน ให้แฟนบอลได้มีความสุขไปกับมัน อย่าเห็นว่าความสำเร็จเล็กๆจะไม่มีความสำคัญ
1
แนวคิด win small but win often ใช้ได้ผลดีมาก เพราะการชนะในศึกเล็กๆ มันจะค่อยๆเพิ่มพูนความมั่นใจ และเมื่อถึงวันที่ทุกคนพร้อมจริงๆ ก็ค่อยมองไปสู้เป้าหมายต่อไปคือ Win Big
1
ลิเวอร์พูลในช่วงแรกของคล็อปป์ มีความสุขกับเรื่องเล็กๆหลายครั้ง แต่ในทางกลับกัน เขาก็ต้องเจอกับความเจ็บปวดหลายครั้งเช่นกัน เข้าชิงลีกคัพก็แพ้แมนฯซิตี้ จากนั้นเข้าชิงยูโรป้าลีกถ้าชนะจะได้โควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกแต่ก็มาแพ้เซบีญ่าอีก
เวลาต่อมา ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่สุดท้ายก็ไปแพ้เรอัล มาดริดอย่างน่าเศร้า ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่า คล็อปป์เองก็เจอความทรมานมากๆเช่นกัน เขาพาทีมเข้าชิงทีไรก็แพ้ตลอด สถิติของเขาในเกมนัดชิงถือว่าย่ำแย่มาก
แต่คล็อปป์นั้นไม่ยอมท้อ เขาพยายามก้าวต่อไป ซึ่งถึงตรงนี้ ทั้งโค้ช ทั้งนักเตะ ก็มีพลังใจที่แข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่พบเจอความพ่ายแพ้
สิ่งสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปโดยที่นักเตะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ คือแฟนบอลที่เคยสงสัย เคยตั้งคำถามในทีม ณ เวลานี้ พวกเขากลับมา "เชื่อมั่น" ในทีมแบบ 100% อีกครั้ง ทุกคนพร้อมจะเชียร์อย่างสุดเสียง เพราะเชื่อมั่นว่านักเตะจะทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อมอบชัยชนะให้กับแฟนบอล
ลิเวอร์พูลเข้าสู่ฤดูกาล 2018-19 ด้วยความมั่นใจ ทีมของคล็อปป์ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนของกองหน้า คล็อปป์พบส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด คือโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ส่วนกองกลางที่นำโดยกัปตันจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็มีความแข็งแกร่งขึ้นทุกที ส่วนกองหลังนั้นกลายเป็นจุดที่แข็งมากๆของทีมหงส์แดง เพราะมีนายทวารเบอร์หนึ่งอย่างอลิสซอน เบ็คเกอร์ มีเซ็นเตอร์แบ็กที่เก่งที่สุดในโลกอย่างฟาน ไดค์ และมีแบ็กซ้าย-ขวา ที่แอสซิสต์กระจุย อย่างแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
1
ในที่สุด หงส์แดงปี 2019 ก็สร้างปาฏิหาริย์ในการโค่นบาร์เซโลน่า ในรอบรองแชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนจะไปเอาชนะสเปอร์สในนัดชิงชนะเลิศ ได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ไปครอง
แน่นอนแชมป์ยุโรป คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลโหยหามาตลอด คือแชมป์ลีกสูงสุด ในซีซั่น 2018-19 ลิเวอร์พูลไล่บี้กับแมนฯซิตี้ ชนิดนัดต่อนัด หงส์แดงขอแค่แมนฯซิตี้สะดุดพลาดสักหนึ่งเกม พวกเขาจะแซงหน้าคว้าแชมป์ทันที แต่ใครจะไปเชื่อ ว่าแมนฯซิตี้จะชนะ 14 เกมติดต่อกัน
แชมป์ซีซั่น 2018-19 จึงเป็นของซิตี้ ด้วยคะแนน 98 แต้ม ส่วนลิเวอร์พูลได้อันดับ 2 มีคะแนน 97 แต้ม กลายเป็นอันดับ 2 ที่ทำคะแนนได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรปด้วย
1
แม้ความสุขจากถ้วยยุโรป จะทำให้แฟนบอลยิ้มได้ แต่การไปไม่ถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกสักที ก็เป็นปมในใจ ที่แฟนบอลลิเวอร์พูลก็ได้แต่ภาวนา ว่าให้การรอคอยมันสิ้นสุดลงเสียที
ในช่วงซัมเมอร์ 2019 กำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลที่ 5 ของเจอร์เก้น คล็อปป์ โดยในช่วงตลาดซื้อขาย คล็อปป์ทำให้ทุกคนเซอร์ไพรส์ด้วยการใช้เงินซื้อนักเตะใหม่แค่ 1.3 ล้านปอนด์เท่านั้น ว่าง่ายๆคือลิเวอร์พูลไม่ซื้อบิ๊กเนมเลยแม้แต่ตัวเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่า คล็อปป์มั่นใจกับทีมตัวเองที่มีอยู่ ว่าดีพอที่จะคว้าแชมป์ลีกได้
พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-20 นี่เป็นปีที่ครบทุกรสชาติอย่างที่สุดจริงๆ เส้นทางของลิเวอร์พูลแต่ละนัด แต่ละนัด เต็มไปด้วยความเข้มข้น มีดราม่าเกิดขึ้นแทบจะทุกเกม มันแสดงให้ได้เห็นว่า กว่าจะไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้ มันไม่มีอะไรง่ายเลยสักนิด และขนาดนำเป็นจ่าฝูงโด่ง ยังอุตส่าห์มีวิกฤติโคโรน่าไวรัสเข้ามาขัดขวางอีกต่างหาก
แต่สุดท้ายมันก็จบลง แม้มันจะกุกกักไปบ้าง ต้องเล่นในสนามที่ไร้กองเชียร์ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็คือ มันจบแล้ว ลิเวอร์พูลทำได้สำเร็จ พวกเขาไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกได้จริงๆ เส้นทางวิบากสิ้นสุดลงแล้ว
และที่น่าสนใจที่สุดคือ แชมป์ครั้งนี้ จะไม่ใช่แค่ One-season wonders เล่นดีปีเดียวแล้วโชคดีได้แชมป์ แต่สิ่งที่คล็อปป์พยายามทำอยู่คือสร้าง Dynasty หรืออาณาจักรความยิ่งใหญ่ ให้ลิเวอร์พูลเก็บแชมป์ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดแค่ 1 สมัย
สิ่งที่คู่แข่งทีมอื่นต้องกังวลมากที่สุด ไม่ใช่ฟอร์มของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้
แต่เป็นการวางโครงสร้างเอาไว้อย่างมั่นคงมากๆ เพื่อให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ต่อเนื่องไปอีกหลายๆปี ซึ่งแน่นอน เปิดซีซั่นหน้ามา หงส์แดงก็ยังคงเป็นเต็งหนึ่งเช่นเคย
มาในวินาทีนี้ คนที่มาเห็นลิเวอร์พูลก็คิดว่า โอ้โห ทีมมันแข็งแกร่งจริงๆ ครบเครื่องไปทุกจุด โกล์ยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า กองหลังแห่งปีของฟีฟ่า มีแบ็กซ้าย-ขวาที่แอสซิสต์มากสุดของลีก แผงกองกลางก็ทีมชาติทุกตัว ส่วนเกมรุกมีดาวซัลโวของลีกทั้งมาเน่ และซาลาห์ เช่นเดียวกับตัวจริงทีมชาติบราซิลฟีร์มีโน่ยืนค้ำในตำแหน่งเบอร์ 9
1
ทีมแกร่งซะขนาดนี้ แถมนักเตะยังอายุน้อยมาก มันก็ต้องชนะคู่แข่งได้อยู่แล้วสิ ไม่เห็นจะเซอร์ไพรส์ตรงไหน
ใช่ มาดูไลน์อัพวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลิเวอร์พูลแข็งแกร่งจริงๆ แต่จำได้ไหม ในเกมนัดแรกสุดที่คล็อปป์ถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เกมนั้นเขาวางไลน์อัพอย่างไร
17 ตุลาคม 2015 ที่ไวท์ฮาร์ทเลน สเปอร์ส 0-0 ลิเวอร์พูล โดยหงส์แดงส่งไลน์อัพคือ ซิมง มิโญเล่ต์, นาธาเนียล ไคลน์, มาร์ติน สเคอร์เทล, มามาดู ซาโก้, อัลเบร์โต้ โมเรโน่, ลูคัส เลย์ว่า, เอ็มเร่ ชาน, เจมส์ มิลเนอร์, อดัม ลัลลาน่า, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ ดิว็อค โอริกี้
ทั้ง 11 ตัวจริงในวันนั้น ไม่มีใครได้ลงสนามเลย ในเกมนัดล่าสุดที่ลิเวอร์พูลชนะคริสตัล พาเลซ 4-0 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
เรื่องนี้ มันแปลว่าอะไร มันแปลว่า คล็อปป์ก็ไม่ได้เริ่มต้นจากทีมที่ดีอะไรมากมาย แต่เขาค่อยๆสร้างทีมไปช้าๆ ปรับทีละจุด แก้ทีละข้อ ตรงไหนไม่ดีก็ปรับแก้กันไป
สร้างทีมอย่างใจเย็น หากองหน้า กองกลาง กองหลัง ลองกวาดตาดูจากนักเตะที่มี ดูจากชุดใหญ่ จากอคาเดมี่ ถ้าไม่มีใครที่ลงตัวกับแผน ก็ทุ่มเงินซื้อเข้ามา
ซีซั่น 2015-16 จบอันดับ 8 ของลีก + รองแชมป์ยูโรป้าลีก และ รองแชมป์ลีกคัพ
ซีซั่น 2016-17 จบอันดับ 4 ของลีก
ซีซั่น 2017-18 จบอันดับ 4 ของลีก + รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ซีซั่น 2018-19 จบอันดับ 2 ของลีก + แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
4 ฤดูกาลของคล็อปป์ค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีมอย่างอดทน เขาไม่ได้เปลี่ยนจากอันดับ 8 เป็นแชมป์ทันทีในปีต่อไป แต่ค่อยๆเสริมไปอย่างช้าๆ และเห็นทีมได้เติบโตไปอย่างแข็งแกร่งขึ้นอย่างมั่นคง ไม่หวือหวา ช้าแต่ชัวร์
และสุดท้าย สัจธรรมก็คือ ความสำเร็จเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าคุณฉลาด และอดทนมากพอ
- ฉลาดพอ ที่จะรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ต้องซื้อใครมาเสริม ต้องเล่นฟุตบอลแบบใด
- อดทนพอ ที่จะยอมเจ็บปวด ในวันที่ทีมพ่ายแพ้ เพื่อรอสักวัน จะกลับมาชนะอย่างสมบูรณ์แบบ
1
สุดท้ายแล้ว ลิเวอร์พูลของคล็อปป์จึงมีวันนี้ วันที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จทุกอย่าง คือประโยคนี้ "FROM DOUBTERS TO BELIEVERS" เราต้องทำให้ผู้ที่เคลือบแคลงสงสัย ให้เปลี่ยนมาเชื่อมั่นและศรัทธา
และเมื่อคุณศรัทธามากพอแล้ว จะมีความเชื่อมั่นว่าเรา "ทำได้"
จากความอดทนตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มันช่วยทำให้ทุกคนมองตรงไปที่เป้าหมายเดียวกัน
มันทำให้เข้าสู่กระบวนการต่อไปนั่นคือ "FROM BELIEVERS TO WINNERS"
นั่นคือเปลี่ยนจากผู้ศรัทธาให้เป็นผู้ชนะ
และสุดท้ายกระบวนการก็เสร็จสิ้น การรอคอยอันยาวนานก็จบลง
บทสรุปของเรื่องนี้ ลิเวอร์พูลคือผู้ชนะในตอนจบ
#LIVERPOOL
โฆษณา