27 มิ.ย. 2020 เวลา 07:51 • ไลฟ์สไตล์
อเมริกา ตื่นทอง ใครได้ประโยชน์ ?
ประชาชน รัฐฯ พ่อค้า นายทุน
แกะรอยเพลงดัง Sutter's Mill
ของ Dan Fogelberg
เครดิตภาพ https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1182200
ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งขึ้นได้เพราะ การค้นพบ ทวีปอเมริกา โดยบังเอิญของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักทำแผนที่ นักสำรวจ นักเดินเรือ และพ่อค้า ชาวเจนัว
ผู้ซึ่ง ไม่มีผู้ใดในอังกฤษสนับสนุน แผนการเดินทางของเขา รวมถึงโปรตุเกส จนต้องขอประเทศสเปนเป็นผู้สนับสนุน โคลัมบัส เดินตามรอย เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน
(ชื่อของเขาถูกนำไปตั้งชื่อ ช่องแคบแมกเจลแลนช่องแคบนี้เป็นทางเชื่อมสำคัญระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก)กับมหาสมุทรแอตแลนติก
การที่ แมคเจลแลน เดินทางไปไม่พบอินเดีย เพราะ โดนพายุเล่นงานกองเรือ ที่แหลมกู๊ดโฮป ปลายทวีปอาฟริกา ที่ซึ่งคือ เคปทาวน์เมืองหลวงของประเทศอาฟริกาใต้ จนต้องหยุดซ่อมกองเรือและเดินทางกลับ ดังนั้น จึงเป็นความลับอยู่สำหรับ การไปประเทศอินเดีย(ได้รับฉายาว่าหมู่เกาะเครื่องเทศ) โดยเรือ (เครื่องเทศเป็นที่ต้องการของชาวยุโรป ในขณะนั้น)
โคลัมบัส จึงหานายทุนให้กับ แผนการเดินทางของตัวเอง เพื่อจะค้นหาประเทศอินเดีย โดยขอ อังกฤษ แล้วจึงขอ โปรตุเกส โดนปฏิเสธหมด จึงไปขอสเปน ซึ่ง สเปนตอบตกลง โคลัมบัสจึ่งได้เดินทางไปอินเดีย แต่เขาเชื่อว่าโลกกลม เพราะความเชื่อในสมัยนั้น นิยมว่าโลกกลม กันแล้ว จึงเดินทางไปทางตะวันตกตัดผ่านมหาสมุทรแอตแลนติค ไปเจอแผ่นดิน ซึ่งเขาคิดว่า ถึงประเทศอินเดียแล้ว เมื่อขึ้นฝั่งเห็นชนพื้นเมือง ก็เรียกเป็น อินเดียน เพราะคิดว่าเป็นอินเดีย ตอนหลังเลยเรียกเป็น อินเดียแดง (Red indian) โคลัมบัส จึงได้ชื่อว่า เป็น ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา
การย้ายถิ่น เครดิตภาพ https://board.postjung.com/654770
**การขยายดินแดน จาก ออก สู่ ตก ของอเมริกา**
เมื่อ โคลัมบัส ไปถึงทวีปอเมริกานั้น ก็พบ ชาวพื้นเมือง หลายเผ่าด้วยกันเป็นจำนวนมากมาย แต่ ชาวยุโรปที่เป็นคนชนชั้นด้อยโอกาสทางสังคม(สมัยนั้นจะมีการแบ่งชนชั้น ชัดเจน) จึงทำให้ ชาวยุโรปที่ว่านั้น เช่น สเปน อังกฤษ โปรตุเกส ฝรั่งเศส นักล่าอาณานิคมในสมัยนั้น พากันไปตั้งรกรากในทวีปอเมริกา ซึ่งไม่สนเจ้าถิ่นเดิม อีกทั้งยังมีพวกนักโทษ ที่ล้น จึงส่งไปอยู่เกาะ อย่างอเมริกา หรือออสเตรเลีย ก็มีมากมาย จึงมีสงครามชิงดินแดนกันเนืองๆ ระหว่างประเทศในยุโรปนักล่าอาณานิคม
ซึ่ง ตอนที่ให้ผู้คนเข้าไปอยู่กันใหม่ๆ นั้น การเพาะปลูก ไม่เป็นกันเลย ต้องอาศัยให้คนพื้นเมือง มาสอนวิธีการให้ จนสามารถทำกันเองได้ จึงได้กำหนดวันหยุดฉลองและพักผ่อน 3-4 วัน โดยตั้งชื่อว่า วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) หรือวันแห่งการขอบคุณ
โดยให้ความสำคัญ คือ เป็นวันที่ ชาวอเมริกันรำลึกถึงความกรุณาของพระเจ้า ที่ทรงช่วยให้ผู้อพยพกลุ่มแรก ที่มาตั้งรกรากในอเมริกา มีชีวิตรอดปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการขอบคุณครอบครัว มิตรสหาย และเพื่อนบ้านของตน รวมทั้งขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตลอดปีอีกด้วย
Thanksgiving Day เครดิตภาพ http://live.siammedia.org/wp-content/uploads/2017/11/TG1.jpg
จนเป็นประเพณีสืบต่อกันมา ของชาวอเมริกัน โดยหยุดในแนว Long weekend คือ วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน และกว่าจะไปเปิดทำการกันอีกครั้งก็ในวันจันทร์ถัดมา จะต้องทำอาหารหลัก คือ ไก่งวง แมชโปเตโต้ หรือ มันบด ร่วมกับ แครนเบอร์รี่ซอส และ เครื่องดื่มอย่าง แอปเปิล ไซเดอร์ ก่อนจะตบท้าย ด้วย ‘พายฟักทอง’ แต่กลายเป็นว่า ในครั้งแรกที่จัดก็เชิญเจ้าถิ่นเก่าทั้งหลายที่มาช่วยสอนความเป็นอยู่ให้ชาวยุโรปนั้น กลายเป็น ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชนพื้นเมืองเดิม ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของดินแดน และสอนวิถีความเป็นอยู่ให้
จวบจน มีการตั้งประเทศใหม่กันเพื่อไม่ขึ้นกับพวกยุโรป มีการรบ และซื้อดินแดน และ ประกาศตั้งประเทศกันใหม่ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 โดยมี จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดี คนแรก ก็ยังกระจุกกันอยู่ในภาคตะวันออกของดินแดน เราจะเห็น คำว่า 76ers นั่นคือ คนที่อยู่ในอเมริกายุค ประกาศตั้งประเทศ
วิถีความเป็นอยู่ เครดิตภาพ https://www.blognone.com/node/92386
**California Gold rush(การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย)**
ประวัติศาสตร์กล่าวว่า ภายหลังจากที่สงครามกลางเมือง ระหว่างกองทัพรัฐบาลฝ่ายเหนือ กับกองทัพฝ่ายใต้ระหว่างช่วงปี 1861 –1865 สิ้นสุดลง ผนวกเข้า กับ สิ่งกระตุ้นเร้าของข่าวสารขุมทองคำในแผ่นดินฝั่งตะวันตก ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปีเท่านั้น มีผู้คนหลั่งไหลมายังแคลิฟอร์เนีย เพื่อขุดค้นหาทองคำ กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน
เป็นจำนวนมาก ถึง 3 แสนกว่าชีวิต ที่ดั้นด้นมาทั้งทางบก และรอนแรมมาทางทะเล พร้อมกับอุปกรณ์ขุด ร่อนทองในแม่น้ำ รวมไปถึงบุคคลอื่นๆ อีกมากมายทั้ง พ่อค้า
นักการเงิน นักพนัน และนักแสวงโชค จนพลิกผันให้ แคลิฟอร์เนีย ที่เคยหลับใหลอย่างเงียบสงบ และแทบไม่เคยมีคนผิวขาวเคยก้าวย่างสัมผัสมาก่อน ได้ถูกปลุกตื่น เพียงชั่วข้ามคืน นำพาความเจริญด้านต่างๆ มาสู่แคลิฟอร์เนียราวกับน้ำป่าที่ล้นทะลัก
เหล่านักบุกเบิกรุ่นแรก ที่ออกเดินทาง มุ่งแสวงหาความหวัง ความใฝ่ฝันในชีวิตบนแผ่นดินโลกใหม่ ต้องจบชีวิต ล้มตายลงทับถมกันอย่างนิรนามไร้คนจดจำ
เฉกเช่นเดียวกับที่ คนพื้นเมือง ‘อินเดียนแดง’ เจ้าของแผ่นดินเดิม ได้ถูก คนขาวเข้าเบียดเบียน เข่นฆ่า พรากเอาชีวิตของพวกเขาไป นับแสนชีวิต ภายในระยะเวลาแสนสั้นเช่นกันด้วย
ซานฟรานซิสโกเติบโตขึ้นจากนิคมเล็ก ๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยราว 200 คนในปี 1846 มาเป็น เมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จากที่มี ประชากรราว 36,000 คน ในปี 1852 ถนน โบสถ์ โรงเรียนและเมืองอื่นถูกสร้างขึ้นทั่วแคลิฟอร์เนีย ในปี 1849 รัฐธรรมนูญของรัฐถูกเขียนขึ้น มีการเลือกตั้งผู้ว่าการและสภานิติบัญญัติ และแคลิฟอร์เนียกลายเป็นรัฐหนึ่งในปี 1850
San Francisco 49ers เครดิตภาพ https://www.siamsport.co.th/other/other/view/172717
Joe Montana เครดิตภาพ https://www.esquire.com/lifestyle/money/a26040756/joe-montana-marijuana-investment/
ทีมฟุตบอล San Francisco 49ers ซึ่ง ชาวอเมริกันจะเรียกฟุตบอลที่เราดูกันจนคุ้นเคยและฮิตไปทั่วโลก ว่า Soccer แต่ ถ้าคำว่า Football หมายถึง อเมริกันฟุตบอล
ที่จะขัดกับหลักการของ รักบี้ ที่ชาวอังกฤษชอบอีกชนิดหนึ่งมีมายาวนานกว่า Soccer ทีม San Francisco49ers นี้ได้แชมป์ซุปเปอร์โบว์ล ของ สหรัฐฯ หลายครั้ง แต่ที่โด่งดังที่สุดต้องยุคของ
Joe Montana หนึ่งในผู้เล่นตำแหน่ง ควอเตอร์แบ็ค ที่ดีที่สุดตลอดกาล ของวงการอเมริกัน ฟุตบอล NFL และเป็นแชมป์ซุปเปอร์โบว์ลถึง สี่สมัย กับ SF49ers
Levi's เครดิตภาพ https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1182200
ลีวาย สเตราส์ (Levi Strauss) พ่อค้าชาว บาวาเรียน ไม่ได้มุ่งมั่นเข้ามา ขุดทองเหมือนคนอื่นๆ เขาต้องการขยายธุรกิจขายส่งของครอบครัว เขาเริ่มขาย ทุกอย่างที่เป็นของแห้ง ตั้งแต่ อาหารแห้ง เสื้อผ้า ร่ม และผ้าเป็นม้วนๆ เป็นต้น นอกจากนั้นเขามีความคิดที่จะขายเต็นท์และผ้าใบคลุมรถให้แก่บรรดา 49ERs แต่ในไม่ช้าเขาพบว่า
คนงานเหมืองเหล่านั้นต้องการกางเกงใช้งานที่ทนทานต่องานในเหมืองมากกว่า สินค้าอื่นๆ เขาจึงสั่งวัตถุดิบที่ใช้ในการตัดกางเกง โดยเฉพาะผ้าใบเข้ามาขาย ให้แก่ร้านตัดเสื้อผ้าในซานฟรานซิสโกเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนของบริษัทในนิวยอร์กจำหน่ายสินค้าส่งอื่นๆ ให้กับพื้นที่ในแคลิฟอร์เนีย และตะวันตกของอเมริกา ภายใต้ชื่อบริษัทว่า "Levi Strauss" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานกางเกงยีนส์อมตะของโลก
ซึ่ง คำว่า 49ers นี้ จะหมายถึง การเรียกคนที่อยู่ในยุคของ การตื่นทองที่รัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อน สงครามระหว่างเหนือและใต้ จะเกิดขึ้น
จนเกิดเอกภาพ และ หลักการใหม่ ระบบเศรษฐกิจใหม่ของสหรัฐฯ หลังสงครามนี้
 
บทเพลง ‘Sutter’s Mill’  ของ ‘Dan Fogelberg’ นักร้องนักดนตรีโฟล์ค ผู้ผลิตเพลงคุ้นหูเรา หลายเพลง เช่น Rhythm Of The Rain, Leader Of The Band,Longer
ส่วนเพลง Sutter's Mill นี้ เป็นเพลงที่ แดน แต่งจากความเป็นจริง ของยุคตื่นทองของอเมริกา
Sutter’s Mill  ก็คือ โรงเลื่อย ของ นักบุกเบิกชาวอเมริกัน ในยุคศตวรรษที่ 19 ที่ชื่อ ‘John Sutter’ (จอห์น ซัทเทอร์) ผู้เป็น หุ้นส่วนร่วมธุรกิจ กับ   ‘James William Marshall’ นักบุกเบิกชาวอเมริกัน อีกคนหนึ่ง
ซึ่ง มาร์แชลล์พบทองโดยบังเอิญในลำธารใกล้อาณาบริเวณโรงเลื่อย ที่หุบเขา Coloma บริเวณ South Fork ของแม่น้ำ American ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง Sacramento เมื่อวันที่ 24 มกราคม ปี 1848 ขณะ รับจ้างสร้างโรงเลื่อยให้ Sutter ซึ่งอพยพจากสวิตเซอร์แลนด์มาทำไร่ในที่ดินผืนนี้ ตั้งแต่แคลิฟอร์เนียยังเป็น ของเม็กซิโก
เนื้อ เพลง Sutter's Mill ของ Dan Fogelberg.
แม้ว่าคนทั้งคู่จะพยายามเก็บกุมความลับของทองคำนี้ไว้อย่างสุดชีวิตก็ตาม แต่ข่าว การค้นพบทองคำครั้งนี้ ก็ได้แพร่กระจายลุกลามไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งกลายเป็นข่าวใหญ่ตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโก นั่นจึงทำให้ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งความโลภ ความปรารถนา และความมุ่งมั่นในการเสาะแสวงหาความมั่งคั่งของผู้คนในดินแดนใหม่นี้ได้อีกแล้ว
จากเพลงนี้ เราจะเห็นว่า การตื่นทองนั้นมีสาเหตุมาจาก จอห์น ซัทเทอร์ เป็นผู้นำทองเข้าไป และข่าวแพร่กระจายออกไป แต่ในความเป็นจริง เขาไม่ได้นำทองเข้าไปในเมือง จอห์น ซัทเทอร์ กับ หุ้นส่วน James William Marshall นั้น ปรึกษากันแล้ว และพยายามเก็บกุมความลับ แต่ข่าวก็ยังรั่วไหลออกไป เรามองเหตุการณ์ที่ข่าวแพร่ได้ คือ 1. ทีมงานที่ร่วมในการขุดนี้ 2. หุ้นส่วนทั้งสอง พูดออกมาเอง จากความอยากอวดทั่วไป ซึ่งข่าวคงจะไม่แพร่ไปไว ถ้า ออกมาจากข้อ1 คือ ทีมงานขุด ซึ่ง พวกนี้เป็นแค่รับจ้าง ไม่มีคอนเนคชั่นที่จะแพร่ข่าวได้ไว
นอกจาก หุ้นส่วนทั้งสองที่มีคอนเนคชั่นที่จะกระพือข่าวได้ โดยถ้ามองจาก การมีชีวิตสืบต่อ จอห์น ซัทเทอร์ จมอยู่กับความทุกข์ ขุดทองก็ไม่ได้ แต่ ทำไม มาร์แชล ถึงไม่ขุดทองบ้าง ทั้งๆที่รู้ และน่าเสี่ยง คนเจ็บตัว คือ ซัทเทอร์ จนตระหนักในตอนหลังจากเนื้อเพลง
ใน การขุดทองนี้ เครื่องมือที่ใช้ ก็จะมี เครื่องมือหาตำแหน่งทอง หรือ ที่เรียกว่า Goldometer (ซึ่งจะจริงหรือเปล่า คนก็ซื้อกันหลากหลายยี่ห้อ) , เครื่องมือขุด วิถีความเป็นอยู่ และปัจจัย 4 ต้องใช้ทั้งนั้น ซึ่งแต่ละทีมงานขุดทอง ต้องใช้เงินทุนกันไม่ใช่น้อย
ดังนั้น น่าจะเป็นว่า จอห์น ซัทเทอร์ ไม่รู้เรื่องราวธุรกิจมากนัก ต่างจากมาร์แชล ผู้เป็นนักธุรกิจ ที่มาตอนนี้ คือ รับเหมาก่อสร้างโรงเลื่อยให้กับ ซัทเทอร์ แล้วก็ขอเป็นหุ้นด้วย โดยที่มาร์แชล มาจากฐานที่มีคอนเนคชั่น ที่ดีและมีมาก
James William Marshall เครดิตภาพ https://en.wikipedia.org/wiki/James_William_Marshall#/media/File:James_William_Marshall,_Brady-Handy_bw_photo_portrait,_ca1865-1880.jpg
เรามาดูประวัติของ James William Marshall กัน เขาเกิดใน เวอร์จิเนียชุมชนทาง ภาคตะวันออกของสหรัฐฯ ในสมัยที่ยังไม่มีผู้บุกเบิก ภาคตะวันตกของดินแดน เขาเริ่มทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ ทำงานไต่เต้าจนเป็นนายไปรษณีย์ ของสหรัฐฯ และได้เข้าสู่ถนนการเมืองในนามพรรรครีพับลิกัน จนเป็นผู้ดูแลระบบของรัฐบาลในหลายตำแหน่ง
สำหรับประธานาธิบดี คนที่ 16 อับราฮัม ลินคอล์น จาก รีพับลิกัน
มาถึง คนที่ 17 แอนดรูว์ จอห์นสัน จากเดโมแครต มาร์แชล ก็ยังอยู่ในวังวนการเมือง แต่ ก็ไม่มีตำแหน่งในการเมือง เพราะ สมัยนั้นรีพับลิกันและเดโมแครต แย่งชิงกันไม่ถูกกันอย่างมาก(เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ สำหรับ การไม่ชอบขี้หน้ากัน ระหว่างกองเชียร์ทั้งสองฝั่ง)
พอมาถึง คนที่ 18 ยูลิสซีส เอส. แกรนท์ มาจากรีพับลิกันอีก มาร์แชลจึงได้กลับมาเป็นทีมงาน ซึ่งแกรนท์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ถึง 2 วาระ คือ 8 ปี แกรนท์ เป็น ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนแรกที่เดินทางไปเยือนสยาม(ไทยในปัจจุบัน) เมื่อค.ศ. 1879 ในสมัยของรัชกาลที่ 5 มาร์แชลล์เป็นคณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดนี้ และ ชุดของประธานาธิบดีคนที่ 19 ผู้มาจาก รีพับลิกันอีก อย่าง รัทเทอร์ฟอร์ด บี. เฮย์ส
จะเห็นได้ว่า มาร์แชล นั้น ไม่ใช่ นักธุรกิจธรรมดา แต่เป็น ผู้มีอำนาจด้วย และสังกัดตรงกับพรรครีพับลิกัน โดย ทำงานในการเมือง ถึง 20 ปี ดังนั้น คอนเนคชั่นของ มาร์แชลไม่ธรรมดา
ซึ่งแผนการ นี้ อาจจะเป็นของเขา นำเสนอต่อพรรค เพื่อให้ ประธานาธิบดีอนุมัติ เขาก็สามารถเดินโปรเจคท์ของเขาได้ เพราะเขาและรัฐบาลต้องการขยายอาณาเขตไปทางตะวันตกอยู่แล้ว
การขยายอาณาเขตนี้ เป็นที่รกร้างแห้งแล้ง และเต็มไปด้วย เจ้าของดินแดนเดิม คือ อินเดียแดง หลายเผ่าจับจองอยู่ จึงไม่เป็นที่อยากอยู่อาศัยของคนขาวนัก ถ้านี่เป็นแผน ก็เป็นแผนที่แยบยลซึ่งรัฐบาลได้ทำไว้เพื่อการขยายตัวของประเทศ
หลักการทางเศรษฐศาสตร์การพัฒนา
เราจะเห็นได้ว่า มาร์แชล ไม่มีการ เจ็บตัวเจ็บทรัพย์ เหมือนกับ ซัทเทอร์ เลย และในการที่ทำให้คนย้ายถิ่นขนาดนี้ ก็ต้องคิดถึงการณ์ที่จะต้องรองรับชีวิตของคนที่ไปปักหลักใหม่ ในเรื่องของวิถีความเป็นอยู่ รวมถึงปัจจัย 4 ซึ่งเป็นแผนการขยายตัวที่แยบยลเหมือนกินหลายต่อเข้าฮอร์ส เลย เช่น
1 การขยายประชากรสู่พื้นที่ที่ว่างเปล่า และ เบียดชนท้องถิ่นเดิม ซึ่งรักอิสระไม่อยาก
สู้รบ ออกไปยังพื้นที่ห่างไกล อีกทั้งชนเผ่าที่เหลือน้อย ก็ยังถูกกลืนด้วยวัฒนธรรม
รวมทั้งการรวมเผ่าพันธุ์ด้วยการแต่งงาน
2 การผลิตเครื่องมืออุปกรณ์ ในการดำรงชีพ และอุปโภคบริโภค นั้น ผู้ผลิตต่างก็ผลิต
และขายได้มาก เกิด supply chain ขึ้นมากมาย รวมถึงสาขาของกิจการต่างๆ ด้วย
3 เกิดการนำทองมาสู่ประเทศ เพื่อสำรอง ในการพิมพ์ธนบัตรเพื่อความมั่งคั่งของประ
เทศ และ เกิด ธุรกิจที่รองรับทอง ขึ้นอย่างมากมาย
4 เกิดการตื่นตัว ทางการตลาดและเศรษฐกิจ ทั่วประเทศ ทำให้เกิดการผลิตมากขึ้น
จนทำให้เกิด การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่2 และแนวเศรษฐกิจใหม่ๆ
 
ในแผนนี้ เพลงจะกล่าวถึงการสูญเสียในการณ์นี้มาก แต่ถ้ามองระดับมหภาคกันจริงๆ มีประโยชน์มากกว่า และ จะเป็นไปตาม กฎ **โลกคัดสรรผู้แข็งแรง** อย่างที่ชาวอเมริกันเชื่อถือมาก
จนนำไปสู่การล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจต่อทั่วโลก เปลี่ยนโฉมผู้ล่าอาณานิคมจากการใช้กำลังที่ชาวยุโรปทำกันอยู่ จนชาวอเมริกันเชื่อใน Manifest Destiny(โองการพระเจ้า) ว่าพระเจ้าสั่งให้เขาเป็นผู้นำในการปฏิวัติโลก เหมือนเช่นกับที่เขาทำกับชนพื้นเมืองเดิมมาแล้วโดยการล้างเผ่าพันธุ์ผู้มีพระคุณ ในวัน Thanksgiving Day ครั้งแรก นำมาใช้ทั่วโลก สมดังที่ ประเทศอเมริกา ต้องการให้เป็นไป
การสร้างอุตสาหกรรม เครดิตภาพ https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_49275
มองไปที่ Sutter’s Mill ก็คือ จุดเริ่มต้น ของแผนการที่วางไว้ โดยนักธุรกิจและนักการเมืองอเมริกัน ผู้กุมอำนาจอยู่ในขณะนั้น ถ้า มอง ไปที่บุคคล อย่าง John Sutter เป็นแค่เพียง เบี้ย(pawn)ตัวหนึ่งในกระดานหมากรุก และ โรงเลื่อย เป็นแค่ Knight ของหมากในกระดาน เท่านั้น
ซึ่งการเขียนเพลงนี้ Dan Fogelberg รู้ดี ถึงประวัติศาสตร์ เพราะเป็นคนอเมริกัน แต่ พูดมากไม่ได้ ถึงได้ทำเพลง ออกมาว่า เฒ่า จอห์น ซัทเทอร์ เป็นผู้นำทองเข้าเมืองและมานั่งรำพึงทีหลัง ที่เกิดเหตุการณ์เศร้าต่างๆ
โฆษณา