พระบาลีกล่าวต่อไปว่า
อปฺปกา เต ฯ
บรรดามนุษย์ทั้งหลาย เหล่าใดมีปรกติไปสู่ฝั่ง คือนิพพาน ชนทั้งหลายเหล่านั้นน้อยนัก ส่วนชนนอกนี้เลาะอยู่ชายฝั่ง คือ โลก วัฏฏสงสาร
เย จ โข สมฺมทกฺขา เต ฯ
ชนเหล่าใดประพฤติธรรมที่พระตถาคตกล่าวดีแล้ว ย่อมถึงซึ่งฝั่ง คือนิพพานได้ เป็นที่ตั้งล่วงเสียซึ่งวัฏฏะ เป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ อันบุคคลข้ามได้ยากยิ่งนัก
กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย ฯ
บัณฑิตละธรรมอันดำเสียแล้ว ยังธรรมขาวให้เจริญขึ้น อาศัยนิพพานไม่มีอาลัย จากอาลัย ยินดีในนิพพานอันสงัด พึงละกามทั้งหลายเสีย ไม่มีกังวลแล้ว พึงปรารถนายินดีในนิพพานนั้น
ปริโยทเปยฺย อตฺตานํ ฯ
บัณฑิตควรชำระตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตทั้งหลาย จิตอันบัณฑิตทั้งหลายเหล่าใดอบรมดีแล้ว ในองค์เป็นเหตุแห่งตรัสรู้ บัณฑิตทั้งหลายเหล่าใด ไม่ถือมั่นยินดีแล้วในอันสละความยึดถือ บัณฑิตทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ไม่มีอาสวะ มีความโพลงดับสนิทในโลกด้วยประการดังนี้
ในทางปริยัติขยายความว่า เมื่อบุคคลเห็นตามปัญญาว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ เป็นหนทางหมดจดวิเศษ
ชนเหล่านั้นจึงประพฤติธรรมที่พระตถาคตเจ้ากล่าวดีแล้ว ย่อมถึงพระนิพพาน ชนนอกนี้ไปในกิเลสวัฏฐ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร
“พระนิพพานไม่ใช่ของพอดีพอร้าย ไม่ใช่ของง่าย เพราะฉะนั้นทางไปนิพพานก็เป็นของไม่ใช่ง่าย เป็นของยากนัก ธรรมอันนี้ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงชี้ว่าทางอันหมดจดวิเศษ เมื่อเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว ของสังขารทั้งหลาย"