29 มิ.ย. 2020 เวลา 01:00 • กีฬา
กว่าจะเป็น "สุธี สุขสมกิจ"
#ChangsuekLegend
หลังจากมีการเปิดเผยว่า มีนักเตะไทยหนึ่งคนที่ "เกือบ" ได้เซ็นสัญญากับสโมสรเชลซี ทีมดังในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งนักเตะคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน และเป็นนักเตะที่ชาวไทยรู้จักและคุ้นเคยกันดี กับหนึ่งในตำนานปีกซ้ายทีมชาติไทยอย่าง "เบิร์ท" สุธี สุขสมกิจ
พูดถึงโปรไฟล์ของดาวเตะ"ซ้ายระเบิด"คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถ เพราะผ่านการเล่นให้กับทีมชาติไทย 64 นัด ทำไป 19 ประตู รวมถึงการค้าแข้งในต่างแดน อย่าง "เอส ลีก" สิงคโปร์กับทีม ตันจง ปาร์การ์ ,โฮม ยูไนเต็ด ,แทมปิเนส โรเวอร์ส รวมถึงใน "เอ ลีก" ออสเตรเลีย กับทีมเมลเบิร์น วิคตอรี ซึ่งก็ถือว่ามีผลงานอันเป็นที่ยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ใครจะรู้บ้าง ว่าจุดเริ่มต้นก่อนจะเป็นนักเตะทีมชาติไทยของสุธี สุขสมกิจ มีจุดเริ่มต้นจาก "กีฬาสี"
#กีฬาสีจุดเริ่มต้นสู่โลกลูกหนัง
ในวัย 8 ขวบ "เด็กชายสุธี สุขสมกิจ" ชั้น ป.2 ได้เล่นฟุตบอลและเป็นตัวแทนในการแข่งขันกีฬาสี ซึ่งก่อนหน้าที่จะแข่งขันนั้น "สุธี"ยังไม่รู้เลยว่าต้องยิงประตูฝั่งไหน แต่มาเล่นเพราะนักกีฬาไม่เพียงพอ หรือพูดง่ายๆคือ "คนขาด" และเมื่อได้เล่นครั้งแรกก็โดนแย่งบอลไปง่ายๆ แต่เมื่อเริ่มจับทางได้ ด้วยความที่เป็นคนตัวเล็กและวิ่งเร็ว จึงได้เลี้ยงบอลไปจนยิงประตูได้ ซึ่งประตูจากการเลี้ยงแล้วไปยิงในครั้งนั้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหลงรักลูกกลมๆที่ทุกคนในสนามต่างรุมแย่งกันเตะ โดยตำแหน่งแรกของเขาก็คือปีก แม้ว่าตอนแจ้งเกินบนเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพจะเริ่มจากกองหน้าก็ตาม
หลังจากหลงไหลและพาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกลูกหนัง ก็เริ่มมีการติดตามฟุตบอล จนได้เห็นลีลาของ "เดอะตุ๊ก" ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน สุดยอดกองหน้าทีมชาติไทยในสมัยนั้น ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากเป็นแบบ "เดอะตุ๊ก" โดยเลียนแบบฝึกซ้อมท่ายิงต่างๆที่เห็นในจอแก้วช่วงพักกลางวัน พร้อมกับยกตัวเองเป็น "ปิยะพงษ์" เมื่อสามารถยิงได้แบบที่ลอกเลียนมา ถึงตรงนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าต้นแบบและแรงบันดาลใจในการเล่นฟุตบอลของ "สุธี" ก็คือ "เพชรฆาตหน้าหยก" ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน นั่นเอง
#โอกาสคือสิ่งที่ยากที่สุดในโลกฟุตบอล
อดีตปีกกึ่งกองหน้าของไทยมองว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการเล่นฟุตบอลอาชีพคือ "โอกาส" โอกาสที่จะแจ้งเกิด ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ สิ่งที่ทำได้คือการฝึกซ้อมให้สม่ำเสมอเพื่อรอ "โอกาส" ตัวของสุธี ได้ตระหนักถึงจุดนี้เป็นอย่างดี และเพิ่มเวลาในการซ้อมให้ตัวเอง โดยเฉพาะก่อนซ้อมก็จะมาก่อนเวลาเพื่อซ้อมยิงลูกฟรีคิก และเมื่อหมดเวลาซ้อมก็จะไปฝึกส่งบอลและยิงประตูเพิ่มในช่วงท้าย โดยให้ความสำคัญไปที่การยิงฟรีคิกมากๆ เพราะถือว่าเป็นลูกชี้เป็นชี้ตาย โอกาสครั้งเดียวจากลูกฟรีคิกก็สามารถทำให้เป็นผู้ชนะได้ นั่นจึงเป็นที่มาของการทำประตูด้วยลูกฟรีคิกสวยๆหลายลูกจากฝีเท้าของเขา ซึ่งการฝึกซ้อมถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เจ้าตัวยกเป็นปรัชญานำทางในการเล่นฟุตบอลเลยทีเดียว
นอกจากจุดเด่นลูกฟรีคิกแล้ว ทัศนคติที่คิดเพียงแค่ว่า "อย่ากลัว" คือสิ่งสำคัญที่ทำให้สุธี เป็นปีกชั้นยอดของไทย พี่สุธีได้บอกกับเราว่า เมื่อไม่กลัวก็จะมีสติและวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของคู่แข่งได้ และนั่นก็นำมาซึ่งการโชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมจนสามารถติดทีมเยาวชนทีมชาติ อันถือเป็นความฝันแรกของเขาตั้งแต่เดินทางเข้ามาคัดตัวในกรุงเทพฯ ต่อเนื่องถึงความฝันที่สองคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ที่สำคัญคืออยากไปค้าแข้งในต่างประเทศด้วย...
#ความสุขกับการค้าแข้งต่างแดน
เมื่อมีข้อเสนอจากต่างแดนเข้ามา (สโมสรตันจง ปาการ์ จากสิงคโปร์) จึงไม่ใช่เรื่องยากที่สุธีจะตัดสินใจ เขาเริ่มเดินทางไปต่างแดนที่แรกคือสิงคโปร์ และสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างแรกคือ "การฝึกซ้อม" ที่ต่างประเทศเน้นเรื่องฟิตเนส ความแข็งแกร่ง จนถึงขั้นที่สุธีเดินไปถามโค้ชว่า "ทำไมต้องฟิตเนสขนาดนี้ ?" ซึ่งคำตอบคือ เขาเป็นนักเตะต่างชาติในสิงคโปร์ สถานะเดียวกันกับนักเตะบราซิล ญี่ปุ่น สเปน ซึ่งต้องสู้กันด้วยผลงาน นั่นจึงเป็นแรงกระตุ้นให้ "เบิร์ท" ตั้งใจอย่างสุดความสามารถเพื่อสร้างผลงานให้ออกมาดีพอสำหรับการเล่นในต่างแดน
หลังจากปรับตัวได้ "เบิร์ท" ก็สนุกกับการเล่นที่ต่างแดนตามความฝันของตัวเอง และไม่มีความคิดที่จะกลับมาที่ไทยเลยเพราะสนุกกับฟุตบอลที่เล่นกันเร็ว น้อยจังหวะ และเปิดเกมบุกใส่กันตลอด ซึ่งนอกจากความสุขในการเล่นที่สิงคโปร์ในช่วงนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่ได้คือทัศนคติใหม่ที่ทำให้กลายเป็นคนมีวินัย มีความเป็นผู้ใหญ่ และ "ความเป็นมืออาชีพ" ทั้งที่ตอนนั้นอายุเพียง 21 ปี
จนกระทั่งได้มีโอกาสไปร่วมฝึกซ้อมกับสโมสรเชลซี ซึ่งในตอนนั้นสุธีเป็น 1 ใน 2 คนจากสโมสรโฮม ยูไนเต็ด ที่ได้รับเลือกไปที่ลอนดอน โดยได้ร่วมฝึกซ้อมอยู่กับทีมสำรองของเชลซีเกือบ 1 เดือน แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้เห็นถึงความสุดยอดของนักเตะระดับโลก อาทิ เฮอร์นัน เครสโป , โคล้ด มาเกเลเล่ , แฟร้งค์ แลมพาร์ด รวมถึงโจ โคล , เดเมี่ยน ดัฟฟ์ และ จอห์ โอบี มิเกล ที่กำลังเป็นดาวรุ่งขึ้นมาใหม่
"รู้ตัวเองเลยว่าคลาสของเรายังอยู่แค่เท่านี้ มันยังมีอีกหลายคลาสที่สูงกว่าเรา ทำให้นึกถึงตัวเองเลยว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะตั้งใจฝึกซ้อมให้สุดยอดมากกว่านี้อีก เพราะจะได้อยู่ในคลาสเดียวกันกับนักเตะเชลซี"
#สู่ตัวหลักทีมชาติไทย
จากจุดนั้นเองกลายเป็นแรงบันดาลใจของพี่เบิร์ท และรู้สึกได้ว่าความเก่งในย่านอาเซียนนั้น ยังแตกต่างกับคำว่าระดับโลกอีกมากโขเลยทีเดียว หลังจากนั้นเส้นทางลูกหนังของสุธี สุขสมกิจ ก็ได้เข้าสู่จุดพีคขึ้นเรื่อยๆ คือได้เป็นกำลังหลักในทีมชาติมาโดยตลอด ซึ่งการติดทีมชาติไทยแน่นอนว่าเป็นความฝันของนักฟุตบอลไทยทุกคน จนสุดท้าย "พี่เบิร์ท" ก็ขึ้นหิ้งตำนานทีมชาติไทย ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วว่านี่คือหนึ่งในปีกที่ดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา แถมยังมีการพูดกันว่าเกิดผิดยุคอีกต่างหาก เพราะหากแจ้งเกิดในยุคปัจจุบัน คงจะไปได้ไกลมากกว่านี้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ได้เรียนรู้คือการเป็น "สุธี สุขสมกิจ" ไม่มีคำว่าง่าย ทุกอย่างเกิดจากการตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อรอโอกาส และรักษาวินัยเพื่อต่อยอดสู่การเป็นมืออาชีพ ที่สำคัญคือทัศนคติที่ต้องการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆที่ตัวเองมี ก็จะนำทางไปสู่ความสำเร็จในอาชีพการค้าแข้ง พร้อมนำมาซึ่งเกียรติยศในฐานะนักเตะทีมชาติไทยและกลายเป็นตำนานให้นักฟุตบอลรุ่นหลังได้เดินตามอย่างน่าภาคภูมิ ดั่งคำกล่าวของ"พี่เบิร์ท"ที่แสดงให้เห็นว่าทีมชาติไทยสำคัญแค่ไหน
"การเล่นทีมชาติมันต้องใส่ทั้งตัวทั้งหัวใจเลยนะ ต้องตายคาสนามไปเลยล่ะ ต้องเต็มที่ มันเหมือนการทำบุญอย่างหนึ่ง เพราะเราซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติ ผมคิดแค่นี้เลยครับ"
IceAssist
โฆษณา