29 มิ.ย. 2020 เวลา 00:46
วันที่โชคร้ายที่สุดในชีวิต..
ทุกคนคงมีวันที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับเราคนเดียว ซวยอยู่คนเดียว เป็นวันที่มืดมนหนทาง ไม่คาดว่าจะเกิด และเกิดแล้วชีวิตก็แทบจะพังทลาย ผมก็มีวันที่ผมเคยคิดว่าโชคร้ายที่สุดในชีวิตเหมือนกัน
วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งตอนที่ผมอายุสามสิบเจ็ดปี..
…..
ก่อนถึงวันนั้น ผมเป็นเหมือนผู้บริหารหลายคนที่ทำงานหนัก แล้วต้องมีนัดกินข้าวเที่ยงนัดเลี้ยงเย็นตลอดเวลา นอกจากข้ออ้างเรื่องงานหนักแล้ว ผมก็ยังเป็นพวกแทบไม่เคยออกกำลังกายมาแต่ไหนแต่ไร รวมถึงชอบกินของอร่อยในปริมาณมากๆ พวกฝอยทอง ขาหมูมันๆ ฟัวกราส์ ฯลฯ เป็นอาหารที่เจอกันแทบทุกวัน ที่ไม่เจอเลยคือผักหรือผลไม้ที่ผมเกลียดมากๆ ผักชีใบจิ๋วก็ยังเขี่ยออก ในตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองโชคดี ไม่เคยเจ็บป่วยอะไรจริงจังนอกจากน้ำหนักที่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกือบหนึ่งร้อยโล
วันเกิดเหตุเป็นวันที่ผมมีนัดกินบุฟเฟ่ต์ตอนเที่ยงที่โอเรียนเต็ล กินฟัวกราส์ไปแบบไม่ยั้ง แล้วตอนเย็นก็มีนัดกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เป็นบุฟเฟ่ต์อีกที่โรงแรมแชงกรีล่า ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเครียดๆเรื่องงาน แต่ก็ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยอะไร จนระหว่างที่กินบุฟเฟ่ต์เย็นและคุยออกรสอยู่นั้น ผมเริ่มรู้สึกมีอาการหัวใจเต้นเร็ว หวิวๆ หน้ามืด รู้สึกไม่ดีก็เลยขอตัวกลับก่อน
ในระหว่างที่คนขับรถขับพาผมกลับบ้าน ผมพยายามหลับตาพักแต่อาการหัวใจเต้นผิดปกติก็ไม่หาย เลยตัดสินใจบอกให้คนขับเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล พอไปถึง ผมรีบบอกอาการเพราะกลัวหัวใจวาย ทางโรงพยาบาลเลยเอาผมเข้าห้องฉุกเฉิน ระหว่างนอนอยู่และตรวจอาการเบื้องต้น ทางหมอก็พยายามติดต่อหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องหัวใจแต่หมอกลับไปแล้ว เลยตัดสินใจให้ผมเข้า ห้อง CCU เพื่อเฝ้าอาการจนกว่าหมอจะมาตอนเช้า ห้อง CCU (Coronary Care Unit) ก็คือ ICU ของคนที่มีอาการหัวใจขั้นร้ายแรง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องนอนโรงพยาบาล นอนครั้งแรกก็ CCU เลย
ผมจำรายละเอียดคืนนั้นได้แม่นด้วยความกลัว ผมถูกให้นอนนิ่งๆพร้อมวัดอาการด้วยสายต่างๆ คืนนั้นผมแทบนอนไม่หลับ นึกอะไรเต็มหัวไปหมด นึกถึงว่าถ้าตัวเองเป็นโรคหัวใจในวัยแค่สามสิบเจ็ดปี แล้วถ้าเกิดเป็นอะไรไปที่บ้านจะอยู่กันยังไงเพราะลูกสาวสองคนผมยังเล็กมาก ภรรยาในตอนนั้นก็ออกมาเลี้ยงลูกไม่ได้มีงานอะไร เงินเก็บก็มีไม่มาก แล้วถ้าตายขึ้นมาจริงๆ พ่อแม่ผมคงเสียใจมาก และคงอายคนทั้งจังหวัดที่ลูกชายตัวเองกินไม่ดี อ้วนจนเป็นโรคหัวใจตาย คิดอะไรเรื่อยเปื่อยด้วยความเครียดและความกลัว และเริ่มคิดถึงเพื่อนคนอื่นๆในวัยเท่ากัน บางคนอ้วนกว่าผมอีก ทำไมไม่เห็นเป็นไร
2
เริ่มคิดว่าทำไมเราซวยแบบนี้ เราช่างโชคร้ายกว่าคนอื่นเสียเหลือเกิน….
ตอนสายๆ หมอหัวใจก็ตรวจผมอย่างละเอียด และก็ไม่พบว่าหัวใจมีความผิดปกติอะไร หมอสันนิฐานว่าอาจจะเป็นเพราะเครียดผสมอ่อนแอหรือติดเชื้ออะไรบางอย่าง แล้วก็ให้กลับบ้านได้ เหมือนกับว่าจะเป็นข่าวดี แต่กลับไม่ใช่เพราะอาการใจสั่นกลัวหัวใจวายยังอยู่ และอยู่แบบรุนแรงขึ้นอีก
สองเดือนหลังจากนั้น ผมแทบไปทำงานไม่ได้เลย อย่าว่าแต่ไปทำงาน นั่งรถไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนร่วมงาน บางครั้งยังลงจากรถไม่ได้ ต้องนอนนิ่งๆเพราะกลัวหัวใจวาย หนักเข้า ไปตัดผมยังกลัวจนแทบจะต้องขอกลับกลางคันแต่ไม่กล้า รถติดเมื่อไหร่อาการก็มา ไปดูเดี่ยวของคุณโน้สอุดม ดูได้ไม่ถึงครึ่งต้องหนีออกมานอนข้างนอก กลัวหัวใจวาย ไปหาหมอหัวใจสามคน ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่าเป็นอาการทางจิต
1
ซักพักผมเพิ่งรู้ว่าผมเป็น panic disorder เกิดจากความที่เคยมีอาการกลัวหัวใจวายขนาดหนัก พออยู่ในที่ที่มีการกระตุ้นความคิด เช่นรถติดแล้วห่างโรงพยาบาลมาก หัวก็จะสั่งให้คิดถึงหัวใจ พอคิดก็จะมีอาการใจสั่น ตัวงอ เหงื่อแตก กลัวตาย แทบจะทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนนิ่งๆ ผมนึกถึงตอนเด็กๆที่ขึ้นรถทัวร์กลับโคราชสี่ชั่วโมง พอขึ้นแล้วคนขับบอกว่าห้องน้ำเสีย เราจะกลัวว่าจะปวดท้องแล้วไม่มีทางออก ต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ แล้วก็จะปวดท้องทรมานขึ้นมาจริงๆ ฉันใดฉันนั้น ในกรณีผมคือการกลัวหัวใจวาย
1
ตอนนั้นอนาคตการทำงานผมดูมืดมนอนธกาลมาก ไปทำงานสองวันต้องลาหนึ่งวัน ไปบางวันก็ไม่เต็มวันต้องรีบกลับบ้าน รับปากไปบรรยายก็ไปไม่ได้ กลัวหัวใจวายกลางเวที งานการเละเทะไปหมด และผมนึกไม่ออกเลยว่าจะออกจากอาการนี้ได้อย่างไร หรือต้องทรมานไปจนชั่วชีวิต ไปหาหมอก็ไม่มีใครช่วยได้ ลองนั่งสมาธิสงบจิตใจก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น
พอคนเราจนตรอกมากๆก็จะเริ่มดิ้นรนหาทางออกให้ได้ เอาจริงๆแล้ว อะไรดีอะไรชั่วผมก็รู้หมดแค่อดใจให้ทำหรือไม่ทำไม่ได้ ในใจรู้มาตลอดว่ากินไม่ดี ไม่ออกกำลังกายถึงเป็นอย่างนั้น ตอนที่เป็น panic disorder ก็ยังพยายามดื้อ หาทางออกแบบง่ายๆ แต่พอมันไม่มีทางออกจริงๆแล้วถึงเริ่มหาทางออกจากทางที่เราเข้ามา ก็คือการเข้ามาสู่โรคนี้เพราะไม่ออกกำลัง และกินไม่ดี
1
และด้วยความกลัวตาย กลัวใช้ชีวิตอนาถแบบนี้ไปตลอดอายุขัย ผมก็เลยเริ่มกินผักและเริ่มออกวิ่ง..
1
……….
การกินผักยังไม่ยากมากนัก เพราะความกลัวตาย ผมเอาผักมากินทีละชามใหญ่ คิดว่าเป็นยา เอาหนังสือมาเปิดอ่านไปด้วยเพราะจะได้ไม่ต้องรู้รสชาติของผัก และพยายามไม่กินอาหารแย่ๆที่คุ้นเคย แต่ความยากลำบากที่สุดคือการวิ่ง เพราะผมไม่เคยวิ่งแบบออกกำลังจริงจังมาหลายปี มีแค่ช่วงวัยรุ่นที่เตะบอลอยู่บ้าง ไม่เคยคิดว่าจะวิ่งเลยเพราะเป็นกีฬาที่น่าเบื่อมากๆ
วันแรกที่ออกวิ่งด้วยน้ำหนักเกือบร้อยโล ผมวิ่งได้แค่ไม่กี่ร้อยเมตรก็หมดสภาพ แต่ความกลัวตายทำให้ผมไม่กล้าเลิก อีกวันก็ออกไปวิ่ง วิ่งสองสามวันพักหนึ่งวัน ทำแบบนี้ด้วยความกลัวล้วนๆ วิ่ง กินผัก วิ่ง กินผัก น้ำหนักก็ค่อยๆลดลง แต่ที่น่าประหลาดใจคือ อาการใจสั่นกลัวหัวใจวายเริ่มหายไป นานๆ มาที พอผ่านไปสองเดือน น้ำหนักผมลดไปเกือบยี่สิบโล ผมวิ่งได้หลายกิโลต่อครั้ง และอาการนั้นก็หายไป
ผมเดาว่าเกิดจากหัวใจที่แข็งแรงขึ้นจากการวิ่งและน้ำหนักลด พอสมองเริ่ม panic สั่งตัวเองให้เช็คหัวใจแต่พอเช็คแล้วหัวใจค่อนข้างนิ่ง สมองก็เลยสงบลง อาการกลัวหัวใจวายก็ค่อยๆเบาลงจนหายไป และก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะพอผ่านไปหลายปี ผมเริ่มประมาท กินไม่ดีแล้วไม่ออกกำลัง พอเครียดหน่อยนึง อาการนั้นก็กลับมาอีก จนผมไม่กล้าไม่ดูแลตัวเองให้ดีอีกเลย
หลังจากที่กินดีขึ้น ลดอาหารที่แย่ๆ และวิ่งอย่างต่อเนื่องมาตลอดสิบสามปีหลังจากช่วงที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตในตอนนั้น ผมวิ่งแทบทุกวัน วิ่งทีละห้าโลเจ็ดโล เคยวิ่งฮาล์ฟมาราธอน วิ่งสะสมได้ครบหนึ่งหมื่นโลเมื่อไม่นานมานี้ ผมไม่เคยป่วยอะไรนอกจากเป็นหวัดนิดหน่อย ร่างกายแข็งแรงกว่าตอนหนุ่มๆอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างกายที่แข็งแรงก็นำมาซึ่งสมาธิที่ดี อารมณ์ที่แจ่มใสขึ้นกว่าตอนอ้วนๆมาก
อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์ร้ายๆวันนั้น โดยนิสัยผมไม่น่าจะอยู่ดีๆลุกมากินผักหรือออกมาวิ่งได้ อย่างมากก็วิ่งครั้งสองครั้งแล้วก็เลิก และถ้าไม่ได้เข้าโรงพยาบาลวันนั้น ผมก็คงจะไม่น่ารอดได้นานนัก คงจะมาป่วยหนักหรือเข้าโรงพยาบาลตอนที่อายุเยอะซึ่งก็น่าจะหนักกว่ามากและอาจจะไม่รอดเอาจริงๆ รวมถึงคงจะไม่ได้ค้นพบวินัยแห่งการออกกำลังที่นำมาซึ่งสิ่งดีๆมากมายในชีวิตจนวันนี้
มองย้อนกลับไป และคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งของคุณอู๋แห่งบริษัท wink wink ที่เคยบอกว่า “อย่าโชคร้ายที่ไม่รู้ว่าตัวเองโชคดี” วันที่ผมเคยคิดว่าทำไมต้องเกิดกับผมคนเดียว เป็นวันที่ผมเคยคิดว่าคือวันที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตนั้น..
ผมฉุกคิดได้ว่า วันนั้นคือวันที่ทำให้กระตุกใจผมอย่างรุนแรงให้ปรับเปลี่ยนตัวเอง เป็นวิกฤติที่ให้โอกาสผมแก้ตัวในวันที่ยังไม่สายเกินไป และเป็นวันที่ทำให้ผมตระหนักว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า วันที่ผมเข้า CCU ในวันนั้น เป็นวันที่โชคดีที่สุดในชีวิตของผมจริงๆ..
โฆษณา