29 มิ.ย. 2020 เวลา 11:39 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ECONOMY : Supply Chains ทั่วโลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง หลังจากที่การแยกตัวกันระหว่างจีนและสหรัฐฯ เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีชาวอเมริกันเพียง 24% เท่านั้นที่คิดว่าทุก ๆ อย่างกำลังเป็นไปด้วยดี
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเร่งให้บริษัทสัญชาติอเมริกันคว่ำบาตรจีน แต่พวกเขาทั้งหลายอาจยังไม่สามารถกอบโกยสินค้าจากจีนที่จำเป็นได้มากพอ
เมื่อพิจารณาจากการเดินเรือขนส่ง Melina ซึ่งใช้ในการลำเลียงสินค้าที่จำเป็นต่อภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ที่กำลังจะออกจากท่าเรือจีนในวันพุธนี้ ดูเหมือนมันจะเป็นสัญญาณที่ยิ่งใหญ่ว่ากระแสสินค้า และผลผลิตของเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลง
ด้วยความสามารถของ Melina ที่บรรจุตู้สินค้าได้ประมาณ 4,300 Containers มันจึงถูกจัดเป็นเรือขนส่งขนาดเล็ก ในขณะที่เรือลำใหญ่สุดของอุตสาหกรรม สามารถบรรจุได้สูงกว่า 20,000 Containers
คำถาม : ข้อความข้างต้นนี้หมายถึงอะไร ?
คำตอบ : การใช้เรือขนาดเล็กลง ก็แปลว่ามีการสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ น้อยลงยังไงล่ะครับ ซึ่งหากเทียบขนาดของเรือที่ลดลงจาก 20,000 เหลือ 4,300 นี่ก็คือลดลงไปกว่า 80% เลยทีเดียวครับ
อย่างไรก็ตาม ขนาดที่ลดลงก็นำมาซึ่งความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยเรือลำดังกล่าวจะเดินทางมาถึงท่าเรือที่ Los Angeles ในวันที่ 6 ก.ค. นี้ ซึ่งถือเป็นการเดินทาง 12 วันโดยไม่มีการหยุดพัก โดยถ้าเป็นเรือลำใหญ่จะใช้เวลามากกว่านี้ 1 สัปดาห์
แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่ดีว่า การขนส่งที่รวดเร็ว ย่อมตามมาด้วยค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าจากราคาปกติ ซึ่งการขนส่งที่รวดเร็วนี้ ก็มาจากการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม เพราะล่าสุดบริษัทเดินเรือขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลายแห่ง ได้ประกาศลดกำลังการดำเนินงานลงถึง 25% ในไตรมาสนี้ และอาจลดลง 10% ในไตรมาสที่ 3
สำหรับเรื่องของเหตุผลนั้น บริษัทหลายแห่งกล่าวว่า
"เราได้ปรับลดกำลังการดำเนินงานลง เพราะมองเห็นแล้วว่าการฟื้นตัวของ Demand นั้นเป็นไปอย่างล่าช้า และเส้นทางข้างหน้าก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั่วโลกในระยะยาว"
อนึ่งแล้ว สำหรับบางบริษัทในส่วนน้อยนั้น ความต้องการสินค้ายังคงมีอยู่มาก แม้ว่าบริษัทส่วนใหญ่จะทรุดตัวลงไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่สมควรมาก ๆ สำหรับผู้ขนส่ง ที่จะเพิ่มราคาค่าบริการให้สูงขึ้น และนั่นก็จะเป็นเหตุผลให้บริษัทที่ยังดำเนินการได้ดีในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ จำเป็นต้องมีต้นทุนสูงขึ้น
ซึ่งก็แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วผลกระทบจะส่งไปถึงผู้บริโภคที่อยู่ตอนปลายของ Supply Chains โดยพวกเขาอาจต้องซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น หรือแม้แต่เสียค่าบริการอื่น ๆ ที่แพงขึ้น
"เราคาดหวังว่าการขนส่งอย่างรวดเร็วที่จะคงอยู่ในตลาดอย่างยั่งยืน เนื่องจากทั่วโลกได้แสดงให้เห็นความยากลำบากในด้านการค้า สำหรับช่วงเวลาที่ไวรัสกำลังระบาดอยู่ รวมถึงความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการจะแยกสหรัฐฯ กับจีนให้ขาดออกจากกันอย่างสมบูรณ์" พวกเขากล่าว
การสร้างสมดุลระหว่าง Demand และ Supply ทั่วโลกนั้นเป็นสิ่งที่บริษัทเดินเรือพยายามทำมาตลอด และการระบาดในปัจจุบันได้ทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความยากมากขึ้น ซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วและดีที่สุดก็คือ "การลดจำนวนการขนส่ง"
โดยท่าเรือใน Los Angeles และ Long Beach ซึ่งเป็นท่าเรือหลักของสินค้านำเข้าจากจีน ปัจจุบันได้มีถึง 45 เที่ยวขนส่งที่ถูกยกเลิกไปในไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นกว่า 4 เท่าของจำนวนเที่ยวขนส่งที่ถูกยกเลิกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019
แม้บริษัทส่วนน้อยในสหรัฐฯ ที่ได้รับสินค้าจากจีนแล้ว จะช่วยบรรเทาปัญหาด้านการขนส่งได้ และสำหรับอีกหลายบริษัทส่วนใหญ่ ปัญหาเหล่านี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
"ตอนนี้เราไม่รู้อะไรเลย เราไม่รู้ว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันจะฟื้นตัวได้รวดเร็วแค่ไหน เราไม่รู้ว่าตลาด e-commerce จะอยู่อย่างยั่งยืนหรือไม่ และเราก็ไม่รู้ว่าการระบาดรอบที่ 2 จะสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจโลกได้มากขึ้นถึงเพียงไหน"
ในอดีตที่ผ่านมา ปริมาณเรือขนส่งสินค้า ถือเป็นเครื่องมือที่ชี้วัดว่าเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในสภาวะที่ดีหรือแย่แค่ไหน ซึ่งสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ก็ได้ทำให้ตัวเลขดังกล่าวแย่ลงตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
1 เดือนก่อนหน้านี้ บริษัท A.P. Moller-Maersk A/S ซึ่งเป็นบริษัทลำเลียงตู้ Container ที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า "ปริมาณการขนส่งสินค้าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ลดลงประมาณ 15-18% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่แย่มาก แต่ก็ยังน้อยกว่าการลดลง 20-25 % ในไตรมาสแรกของปี
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้มีคาดการณ์ถึงผลประกอบการเต็มปี โดยให้เหตุผลว่า "ความไม่แน่นอนของ Demand นั้นมีสูงมากในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 และบริษัทอื่น ๆ ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายนี้ต่อไป"
Mitsui OSK Lines Ltd. ซึ่งเป็น 1 ในบริษัทเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น กล่าวว่าพวกเขาได้ยกเลิกเที่ยวขนส่งไปถึง 40 เที่ยว (5% ของทั้งหมด) และได้ปรับเปลี่ยนมาตรการเป็นแบบเชิงรับ (Defensive) โดยให้เหตุผลว่าพวกเขาไม่สามารถมองเห็นการฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดได้เลย ไปจนถึงสิ้นปี 2022 หรืออาจจะนานกว่านั้น
Nerijus Poskus หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการทางมหาสมุทรและการจัดซื้อทั่วโลกของบริษัท Flexport Inc. กล่าวว่าเขามองเห็นการลดลงอย่างรุนแรง ของการขนส่งในทั้งเขตมหาสมุทรแปรซิฟิก และเขตเอเชีย-ยุโรป สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2020
โดยการขนส่งทั้งหมดอาจลดลงถึง 10% ซึ่งแม้จะน้อยกว่าการลดลงในไตรมาสที่ 2 นี้แต่ก็ยังถือว่าเป็นการลดลงที่ "มหาศาล" ในทางเศรษฐกิจ
ประมาณ 80% ของการค้าโลก ใช้การขนส่งผ่านเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทร และโดยปกติจะมีช่วงเวลาที่วุ่นวายมาก ๆ อยู่เพียง 2 ฤดูกาลในแต่ละปีคือ
1
1. ช่วงปีใหม่
2. ช่วง Golden Week หรือวันหยุดยาวของจีน ในเดือนตุลาคมของทุกปี
ซึ่งในฤดูดังกล่าวนี้ จะส่งผลให้อัตราค่าขนส่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากราคาปกติ ขณะเดียวกัน การขนส่งทางอากาศนั้นยังไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากความขาดแคลนเที่ยวบิน และอัตราค่าบริการที่แพงมาก (เพราะต้นทุนที่สูงของเทคโนโลยี)
ดังนั้นแล้ว จึงทำให้ Nerijus Poskus สรุปเหตุการณ์ในปัจจุบันออกมาว่า
"ผู้นำเข้าทั่วโลกกำลังเผชิญกับฤดูกาลที่ตึงเครียดที่สุดในขณะนี้ โดยความท้าทายอยู่ที่เรื่องความจุและราคา เพราะบริการขั้นสูงอย่างเช่นเรือเร็ว กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของอุตสาหกรรม รวมถึงความไม่แน่นอนมากมายที่เกิดขึ้น"
1
จากการสำรวจความเห็นของประชาชนทั้งประเทศโดย CBS พบว่าในปัจจุบันมีชาวอเมริกันเพียงแค่ 5% เท่านั้นที่คิดว่าประเทศของพวกเขากำลังเป็นไปด้วยดีอย่างมาก (very well) ขณะที่อีก 40% กล่าวว่าสถาการณ์ในปัจจุบันนั้นแย่มาก (very badly)
โดยมีเพียง 19% เท่านั้นที่คิดว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน ค่อนข้างดี (somewhat well) และอีก 36% กล่าวว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นค่อนข้างเลวร้าย (somewhat badly)
ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะทำให้มีผู้ที่มองสถานการณ์อยู่ในเกณฑ์ดีทั้งหมดเพียง 24% ส่วนผู้ที่มองสถานการณ์อยู่ในเกณฑ์เลวร้ายนั้นมีถึง 76%
ขณะเดียวกัน พวกเขา 72% ตัดสินว่ารัฐบาลและทีมบริหารของทรัมป์ ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับมือกับ Coronavirus ในช่วงเริ่มต้น และมีเพียง 28% เท่านั้นที่คิดว่ารัฐบาลทรัมป์ได้เตรียมตัวอย่างดีก่อนที่จะเกิดการระบาดขึ้น
ทางฝั่ง Coronavirus เอง ล่าสุดก็ยังมีการระบาดหนักไปทั่วโลก ซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 165,534 คน โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งทำสถิติใหม่อีกครั้งที่ 38,845 คน
ตัวเลขการเสียชีวิตในปัจจุบันทะลุ 500,000 คนไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ผู้ติดเชื้อทั่วโลกมีมากกว่า 10 ล้านคน
2
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
โฆษณา