30 มิ.ย. 2020 เวลา 15:51 • ไลฟ์สไตล์
แย่กว่าการไม่มีความฝัน คือการมองว่าความฝันของตัวเองไร้ค่า
เราเคยอ่านบทความ บทความหนึ่ง
เขาบอกว่า...
เคยมีช่วงหนึ่งที่ไม่กล้าคิดกล้าฝันหรือลงมือทำอะไรเลย เพราะพอคิดแล้ว ก็จะมีกลุ่มความคิดในหัวที่มากระซิบบอกกับเราอยู่ตลอดว่า
โห ฝันแบบนี้ ใครจะไปสนใจ
ใครจะไปทำได้  ใครจะไปชอบ
แล้วตอนนั้นภูมิต้านทานทางอารมณ์ของตัวเองต่ำด้วย
ก็เลยไม่ได้ทำอะไรต่อจากความฝันที่คิดไว้
แต่ในใจลึกๆ แล้วมันก็ยังมีความอยากซ่อนอยู่
แต่เราก็ยังมองว่า ไม่มีใครสนใจความฝันของเราหรอก
พอโตขึ้นมาอีกหน่อย เราก็เรียนรู้กับตัวเองได้ว่า
ถ้าเราจะฝัน ไม่ต้องเล่นใหญ่ ไม่ต้องเว่อวังอลังการก็ได้
เริ่มจากฝันเล็กๆ นี่แหละดี ทำง่าย ทำได้เรื่อยๆ
ค่อยๆ ทำมันไป
ฝันแบบที่ไม่ต้องไปเติมเต็มใคร
ฝันแบบที่ทำเองแล้วก็มีความสุข
เราคิดว่าความฝันมันคล้ายกับความหวังนะ
คือมีแล้วอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
แต่น่าจะต่างกันตรงที่
ความฝันเราลงมือทำมันได้
แต่ความหวัง เราต้องอาศัยการรอคอยอย่างเดียว
ควบคุมมันแทบไม่ได้เลย
พอเรามั่นใจ เราเห็นคุณค่าของฝันของตัวเองแล้ว
เราก็อยากจะทำมัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นฝันที่ไม่ได้เข้าตาใครเลย
แต่จุดสูงสุดของการมีความฝัน
คือการทำให้ความคิดที่ลอยฟุ้งอยู่ เป็นความจริงขึ้นมาไม่ใช่หรอ
เพราะฉะนั้น เลยเลิกคิดว่า
ฝันของตัวเองมันแย่
แล้วก็ลุกขึ้นมาทำมันให้ตัวเองพอใจดีกว่า
cr.บันทึกนึกขึ้นได้
ความฝันของฉัน สวยงามเหมือนดอกไม้เสมอ
โฆษณา