1 ก.ค. 2020 เวลา 05:00 • กีฬา
[ บนอัฒจันทร์ฝั่งอีสต์สแตนด์ ]
ตอน: เส้นทางของแชมป์เปี้ยน
การรอคอยที่ยาวนานกว่า 30 ปี ได้สิ้นสุดลงเสียทีนะครับสำหรับแฟนลิเวอร์พูลทั่วโลก หลังจากที่พลพรรคทีมหงส์แดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และนับเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 อีกด้วย
แชมป์ลีกสูงสุดครั้งก่อนหน้านี้ที่ลิเวอร์พูลทำได้ ก็ต้องย้อนไป 30 ปีที่แล้วคือปี 1990 สมัยที่ลีกสูงสุดยังเรียกว่า ดิวิชั่น 1 อยู่เลย
จากวันนั้นคงไม่มีใครจะไปคาดคิดว่าลิเวอร์พูลต้องรอไปอีกถึง 30 ปี กว่าจะกลับมาได้แชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้ง แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้น พวกเขาต้องรอถึง 30 ปีจริงๆ
ผมเองก็มาเริ่มดูบอลจริงจังในช่วงปี 1996/1997 ฤดูกาลที่เดวิด เบ็คแฮม เปิดหัวมาก็ยิงครึ่งสนามให้แมนฯ ยูไนเต็ด นั่นแหละครับ ถึงแม้จะเชียร์แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ก็เห็นถึงความเป็นไปของลิเวอร์พูลมาตลอด
ยุคแรกเริ่มที่ผมรู้จักลิเวอร์พูล ต้องบอกว่าเป็นยุคที่สาวๆ กรี๊ดนักเตะทีมนี้เป็นอย่างมาก เพราะช่วงนั้นนักเตะลิเวอร์พูลกลุ่มหนึ่งมีหน้าตาที่หล่อเหลา จนสื่อขนานนามให้นักเตะกลุ่มนี้ว่า “สไปซ์ บอยส์” โดยดัดแปลงมาจาก วงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังระดับโลกของอังกฤษในช่วงเวลานั้นอย่าง “สไปซ์ เกิร์ลส์”
กลุ่มนักเตะสไปซ์บอยส์ ประกอบไปด้วย เจมี่ เร้ดค์แนปป์, สตีฟ “แม็คก้า” แม็คมานามาน, ร็อบบี้ “เดอะ ก็อด” ฟาวเลอร์, เจสัน แม็คเอเทีย และ เดวิด เจมส์ ซึ่งอาจจะรวมถึง สแตน “เดอะ แมน” คอลลีมอร์ เข้าไปด้วยก็ได้
นักเตะกลุ่มนี้เป็นแกนหลักให้ลิเวอร์พูลในช่วงกลางยุค 90 ถึงช่วงปลายยุค 90 ยิ่งช่วงปลายๆ มีดาวรุ่งเร็วแรงทะลุนรกอย่างไมเคิล โอเว่น พุ่งพรวดขึ้นมา ทำให้ความหวังลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลดูมีความเป็นไปได้มากขึ้น เพียงแต่เป็นเพราะแนวรับที่ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ทั้ง นีล รัดด้อก หรือ ฟีล บ๊าบบ์ ไม่สามารถขันเกมรับให้แข็งแกร่งขนาดที่จะลุ้นแชมป์ได้ ลิเวอร์พูลชุดนี้เลยไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ต่อมาเมื่อสโมสรกล้าที่จะแหวกขนบธรรมเนียมประเพณี จ้างโค้ชต่างชาติ ที่เป็นคนนอกสโมสรอย่าง เชราด อุลลิเย่ต์ อดีตผู้จัดทีมชาติฝรั่งเศส มาคุมทีมเป็นคนแรก ลิเวอร์พูลก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในอีกรูปแบบหนึ่ง
ช่วงที่อุลลิเย่ต์เข้ามาคุมทีม ไมเคิล โอเว่น ถือว่าอยู่ในช่วงพีค ความเร็วของเขาฉีกกระชากกองหลังคู่แข่งเป็นชิ้นๆ กล่าวกันว่าในวันที่ “เดอะ ก็อด” ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เริ่มโรยรา ก็มี “เซนต์ ไมเคิล” ไมเคิล โอเว่น มากอบกู้ทีมได้ทันท่วงที และช่วงนี้ยังเป็นช่วงถือกำเนิดของดาวรุ่งอีกหนึ่งคนหนึ่ง ที่ในอนาคตเขาจะเป็นกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ สตีเว่น เจอร์ราด
ฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จที่สุดของอุลลิเย่ต์ เกิดขึ้นตอนฤดูกาล 2000/2001 ลิเวอร์พูลคว้า 3 แชมป์บอลถ้วยได้ทั้ง ยูฟ่า คัพ (ปัจจุบันคือ ยูโรปา ลีก) เอฟเอ คัพ และ ลีกคัพ ส่วนอันดับที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ ลีก คือรองแชมป์ ในฤดูกาล 2001/2002 แต่ถึงอย่างนั้น ในที่สุดฟุตบอลแบบฉบับอุลลิเย่ต์ก็มาถึงทางตัน เขาพาทีมไปให้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องแยกทางกันในที่สุด
ฟุตบอลของลิเวอร์พูลเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เมื่อกุนซือจอมแท็คติคชาวสเปน ราฟาเอล เบนิเตซ ก้าวเขามากุมบังเหียนทีม เขาต้องเริ่มสร้างทีมโดยปราศจากดาวยิงอันดับหนึ่งของทีมอย่างไมเคิล โอเว่น เพราะโอเว่นมองว่าลิเวอร์พูลในเวลานั้นคงจะบันดาลความสำเร็จให้เขาไม่ได้ เขาจึงต้องการจะไปประสบความสำเร็จที่อื่น
ชีวิตบางทีก็มีความตลกร้าย ลิเวอร์พูลที่ปราศจากโอเว่น ราฟาเอล เบนิเตซ สามารถเข็นทีมที่มีสตาร์ดังแค่สตีเว่น เจอร์ราด พร้อมด้วยลูกทีมอย่าง มิลาน บารอส หลุยส์ การ์เซีย ซามี่ ฮูเปีย รวมถึง ฌิมี่ ตราโอเร่ เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูเอฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้วยังแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พลิกนรกกลับมาคว้าแชมป์ได้ทั้งที่โดนโคตรทีมในเวลานั้นอย่าง เอซี มิลานยิงนำไปก่อนตั้งแต่ครึ่งแรกถึง 3-0
แค่ปีแรก ราฟาเอล เบนิเตซ ก็แสดงฝีมือจนสะท้านสะเทือนแผ่นดิน แต่ผลงานในพรีเมียร์ ลีก ยังไม่เข้าตา ยังทำได้เพียงแค่เกาะอยู่ในท็อป 4 ยังไม่สามารถขึ้นมาลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว จนกระทั่ง เขาไปคว้ากองหน้ากระทิงเปลี่ยวมาได้ 1 คน
การจับคู่กันระหว่าง หน้าเป้า - หน้าต่ำ ตอร์เรส - เจอร์ราด เป็นที่กล่าวขวัญกันเป็นอย่างมาก ทั้งคู่เล่นด้วยกันอย่างเข้าขารู้ใจ เจอร์ราดสามารถทำให้ตอร์เรสกระหน่ำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ลิเวอร์พูลบินสูงถึงรองแชมป์พรีเมียร์ ลีก อีกครั้งในฤดูกาล 2008/2009 ถึงกระนั้น ลิเวอร์พูลก็ยังไม่ได้แชมป์อยู่ดี
และเมื่อขึ้นที่สูง เวลาตกลงมาก็มักจะเจ็บหนัก ฤดูกาลต่อมาหลังจากได้รองแชมป์ ลิเวอร์พูลเสียคีย์แมนคนสำคัญอย่าง ชาบี อลอนโซ่ ให้เรอัล มาดริด ผลงานก็รูดลงอย่างไม่น่าเชื่อ จากรองแชมป์ กลายมาอยู่อันดับ 7 ซึ่งแน่นอนว่าทั้งแฟนบอล และบอร์ดบริหารย่อมรับไม่ได้กับเรื่องนี้ และราฟาเอล เบนิเตซ ก็ต้องแยกทางกับทีมในที่สุด ปิดตำนานโค้ชกระทิงดุผู้เสกแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ให้กับสโมสร
ลิเวอร์พูลเริ่มต้นใหม่กับโค้ชสุดเก๋า รอย ฮ็อดจ์สัน ผู้ซึ่งกำลังมีผลงานที่ดีกับฟูแล่ม แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฟอร์มของลิเวอร์พูลต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ ฮ็อดจ์สันจึงมาคุมลิเวอร์พูลได้แค่ 6 เดือนเศษๆ ก่อนจะจากไปแบบชนิดที่เรียกว่าไม่มีอะไรให้จดจำ
เมื่อหาทางออกไม่เจอ ลิเวอร์พูลจึงไปขุดตำนานของสโมสรอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช เข้ามาคุมทีมเป็นคนต่อไป และหลังจากดัลกลิชเข้ามาคุมทีมได้ไม่กี่วัน ลิเวอร์พูลก็ไปดึงผู้เล่นคนสำคัญคนหนึ่งเข้ามาสู่ทีม “จอมโหดกัดไม่เหลือซาก” หลุยส์ ซัวเรส
ตลอดเวลาปีครึ่งที่เคนนี่ ดัลกลิชคุมทีม ต้องบอกว่าลิเวอร์พูลไม่มีวี่แววที่จะขึ้นมาประสบความสำเร็จใดๆ ได้เลย แฟนบอลจะไล่ก็เกรงใจเพราะดัลกลิชคือตำนานของสโมสร แต่ยังดีที่ดัลกลิชไม่ฝืนต่อ ยอมแยกทางกับลิเวอร์พูล และคนที่มารับไม้แทนก็คือ เบรนดอน ร็อดเจอร์ส
ช่วงเวลาของร็อดเจอร์ส เป็นช่วงเวลาที่หลุยส์ ซัวเรส กำลังสุกงอมอย่างได้ที่กับเวทีพรีเมียร์ ลีก เขายิงกระจุยกระจายให้ลิเวอร์พูลอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะฤดูกาล 2013/2014 เขายิงในลีก 31 ลูก มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก เทียบเท่าสถิติของ อลัน เชียร์เร่อ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และถ้าไม่มีเหตุการณ์ลื่นล้มของสตีเว่น เจอร์ราด ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูลอาจจะเป็นแชมป์ไปแล้ว คงไม่โดนแมนฯ ซิตี้ ปาดหน้าแย่งแชมป์ไปอย่างเจ็บแสบ
เป็นอีกครั้งที่ปีนขึ้นที่สูง เมื่อตกลงมาแล้วจะเจ็บหนัก ฤดูกาลต่อมาลิเวอร์พูลร่วงลงมาจบที่ 6 และหนักไปกว่านั่นเมื่อฤดูกาล 2015/2016 มาถึง ผ่านไปแปดเกมแรก ลิเวอร์พูลร่วงลงไปอยู่อันดับสิบ เบรนดอน ร็อดเจอร์ส อยู่ไม่ได้ คนที่เข้ามาแทนที่เขาก็คือ โค้ชหนุ่มไฟแรงจากเยอรมัน ผู้มีอารมณ์ร่วมกับฟุตบอลเต็มเปี่ยม เขามาพร้อมกับแทคติคการเล่นฟุตบอลที่จะสั่นสะเทือนพรีเมียร์ ลีก ในอนาคต เขาคือเยอร์เก้น คล็อปป์
คล็อปป์เข้ามาเปลี่ยนสไตล์การเล่นของลิเวอร์พูลไปอย่างสิ้นเชิง เขาใช้วิธีไล่เพรสซิ่ง บีบกดดันคู่แข่งเวลาคู่แข่งได้บอล จนสุดท้ายเมื่อคู่แข่งเสียการครองบอล เขาก็จะบุกจู่โจมอย่างรวดเร็วไม่ให้คู่แข่งได้ทันตั้งตัว และนี่คือแผนที่เขายึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยคุมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
เขาเติมผู้เล่นที่ละเล็กละน้อย ที่เห็นว่าเข้าระบบกับแผนการเล่นของเขาจริงๆ ทั้งซาดิโอ มาเน่ จินี่ ไวจ์นัลดุม โม ซาลาห์ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ดันเด็กเยาวชนที่ความสามารถล้นเหลืออย่างเทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และเมื่อเขารั้งเฟลิเป้ คูตินโญ่ ไว้ไม่อยู่ เขาก็เอาเงินที่ได้มาไปเปลี่ยนเป็น “จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย” จริงๆ อย่าง เฟอร์ จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์
จนเมื่อทีมของเขาสุกงอมได้ที่ ลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ถึงแม้ฤดูกาลนั้นในลีกลิเวอร์พูลจะได้เพียงแค่รองแชมป์ทั้งที่สะสมได้ถึง 97 คะแนน แต่ลิเวอร์พูลของเยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ใช่ทีมที่ตกจากที่สูงแล้วเจ็บหนักอีกต่อไปแล้ว
นอกจากจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงในแผนการเล่น เขายังเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในจิตใจให้นักเตะลิเวอร์พูลอีกด้วย หลังจากผิดหวังได้รองแชมป์มาในฤดูกาลก่อน ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเดินหน้าเก็บแต้มอย่างเป็นกอบเป็นกำ คะแนนทิ้งห่างแมนฯ ซิตี้รองจ่าฝูงแบบไม่เห็นฝุ่น และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก ซึ่งถ้าเป็นฤดูกาลที่แข่งปกติ ลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์ได้ในช่วงเดือนมีนาคมเลยทีเดียว
และนี่คือเส้นทางของลิเวอร์พูลตั้งแต่ผมตามดูพวกเขามาเรื่อยๆ มันไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบดอกไม้เลยแม้แต่น้อย กว่าจะตามหาทีมที่ลงตัว กว่าจะเจอโค้ชที่มีแทคติคที่เหมาะสม เรียกว่าล้มลุกคลุกคลานก็ไม่ผิด ต้องใช้ระยะเวลาถึง 30 ปี กว่าจะคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง และเมื่อทำได้สำเร็จ สิ่งที่อัดอั้นมานานมันจึงระเบิดออกมาจนสั่นสะเทือนไปทั้งโลกชนิดที่เรียกว่า “เข้าใจได้”
ตั้งแต่ผมเริ่มดูบอล จากที่เป็นลูกไล่แมนฯ ยูไนเต็ด จนมาถึงปัจจุบัน ที่กลายเป็นแมนฯ ยูไนเต็ดต้องไล่ตาม จนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะไล่ทัน แฟนแมนฯ ยูไนเต็ด ก็คงต้องทำใจอย่างเดียวในตอนนี้
ทุกอย่างเป็นวัฏจักร มีขึ้นมีลง มีสมหวัง มีผิดหวัง มีสุขสันต์ มีซึมเศร้า ความสนุกของกีฬาที่ชื่อว่าฟุตบอล มันก็อยู่ตรงนี้แหละ
...[“ ท่านชายในสายหมอก ”]...
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา