1 ก.ค. 2020 เวลา 05:03
กว่าที่มหาอำนาจเอเชียจะขึ้นมาเป็นประเทศแถวหน้าของโลก...
ผมชอบสังเกตการแสดงความเห็นของหลาย ๆ คนเวลาที่มีการพูดถึงการพัฒนาของประเทศไทย ที่ชอบยกตัวเองเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียด้วยกันซึ่งมีแค่ไม่กี่ประเทศ หลักๆ ก็มักจะเป็นการเอาไปเทียบกับญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ แล้วก็บอกว่าทำไมเราไม่พัฒนาแบบเขาเสียที
จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียวหรอกที่มองเป้าหมายการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย หลายประเทศต่างก็อยากเป็นแบบประเทศเหล่านั้นเหมือนกัน และมักมีคำถามว่า ทำไมถึงไม่สามารถไปถึงจุด ๆ นั้นได้
ผมเลยอยากให้ลองมองในมุมของทั้งประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของประเทศหัวแถวเหล่านี้ รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม ประชากร และการเมือง ว่าทำไมถึงสามารถผลักดันให้ประเทศเจริญรุดหน้านำชาติอื่นบนโลกใบนี้ได้อย่างทุกวันนี้ โดยจะแบ่งเป็นข้อ ๆ สรุปง่าย ๆ ตามแนวความคิดของผู้เขียนเอง
1. อาณาจักรญี่ปุ่นถ้าตามข้อมูลในประวัติศาสตร์แล้ว เริ่มปรากฏเป็นที่รู้จักครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฮั่นของจีนราวปี พ.ศ. 337 - 763 ตามบันทึกสามก๊ก ราชอาณาจักรทรงอำนาจที่สุดในกลุ่มเกาะญี่ปุ่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 เรียก “ยะมะไตโกะกุ” มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธ เข้าประเทศญี่ปุ่นจากอาณาจักรแพ็กเจ หรือเกาหลีปัจจุบัน ก่อนจะค่อย ๆ รวมดินแดนแว่นแคว้นต่าง ๆ จนเป็นปึกแผ่น
ในช่วงตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ซึ่งมีปกครองโดยระบบเจ้าขุนมูลนาย มีโชกุนเป็นผู้ปกครองอาณาจักรยาวนานมาจนถึงยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากนั้นก็ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐรรมนูญโดยมีจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐในช่วงปี พ.ศ. 2490 แต่ก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นเองก็เคยมีอำนาจ มีกองทัพ มีวิทยาการ สามารถรุกรานจีน และเกาหลีได้ มีการสลับกันยึดครองดินแดนนอกหมู่เกาะญี่ปุ่นทั้งคาบสมุทรเกาหลีและไต้หวันกับจีนมาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าญี่ปุ่นมีความเป็นปึกแผ่นมาตั้งแต่สยามยังไม่มีอาณาจักรเป็นของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีบันทึกการมีถิ่นฐานของชาวญี่ปุ่นในราชอาณาจักร ที่เดินทางมาค้าขายและรับราชการในกรุงศรีฯ นั่นหมายความว่าญี่ปุ่นเองก็มีความสามารถในการเดินเรือในมหาสมุทรได้เองเพื่อมายังดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่อดีตกาล ซึ่งเป็นการบอกได้บางอย่างว่าญี่ปุ่นมีความพัฒนามาตั้งแต่อดีต สามารถข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งถิ่นฐานนอกดินแดนของตัวเองได้ไม่ต่างอะไรกับชาติมหาอำนาจในยุคนั้น เช่น ฝรั่งเศส โปรตุเกส อังกฤษ และดัตช์
2. ญี่ปุ่นก็เคยผ่านยุคมืดมาเหมือนกัน เนื่องจากการสู้รบกันตามแว่นแคว้นต่าง ๆ บนหมู่เกาะญี่ปุ่นที่ให้ญี่ปุ่นก็เคยแตกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย มีอำนาจ มีเจ้าเมืองเป็นของตัวเอง ปกครองงตัวเองมาหลายร้อยปี แต่แล้วในช่วงปี ค.ศ. 1600 "โตคุงาวะ อิเอยาสุ" โชกุนคนแรกของตระกูลโตคุงาวะ เป็นผู้รวบรวมญี่ปุ่นที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กลับมาเป็นปึกแผ่นอย่างมั่นคง แต่หลังจากนั้นไม่นาน โชกุนในตระกูลโตคุงาวะก็ตัดสินใจปิดประเทศ ไม่ทำการค้าขายหรือติดต่อใดๆ กับต่างชาติเลย หลังจากเกิดเหตุการณ์กบฎที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ สังคมญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคโดดเดี่ยวไม่สนใจโลกภายนอกมาเป็นเวลานานถึง 200 กว่าปี โชกุนแต่ละรุ่นในตระกูลโตคุงาวะสร้างสังคมศักดินาที่มีชนชั้นไดเมียวและซามูไร ปกครองประเทศมาอย่างช้านาน ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้ผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร วันพรุ่งนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น จนกระทั่ง "เรือดำ" ปรากฏตัวขึ้นที่อ่าวโตเกียว
3. เรือดำเหล่านี้คือกองเรือรบของสหรัฐอเมริกา ประเทศใหม่ที่กำลังแผ่อิทธิพลทางการเมืองในโลกยุคนั้น ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาต้องการค้าขายกับญี่ปุ่น จึงมอบหมายให้พลเรือแมธธิว เพอร์รี (Matthew C. Perry) เดินเรือครึ่งโลก นำเรือรบเข้ามาเจรจาให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ และเขาได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธหากรัฐบาลญี่ปุ่นไม่ยินยอม ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นคือ ญี่ปุ่นยอมเปิดประเทศทำการค้ากับต่างชาติอีกครั้ง ความเปลี่ยนแปลงหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเป็นเหตุให้ระบอบโชกุนล่มสลายลงอย่างเป็นทางการในปี 1868 หลังจากเรือดำปรากฏตัวขึ้นเพียง 15 ปี
และแม้การปรากฎตัวของเรือดำจะทำให้ระบอบโชกุนล่มสลาย และเขาสู่ยุคของจักรพรรดิ เพราะมีการสู้รบกับสหรัฐฯ หลายครั้งแต่ก็สู้ไม่ได้เพราะวิทยาการของอาวุธแตกต่างกันเกินไป หอก ดาบ ธนู ของญี่ปุ่น ฤาจะไปสู้ปืนใหญ่ ปืนไฟของสหรัฐได้ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ญี่ปุ่นได้รับเอาวิทยาการของตะวันตกเข้ามาอย่างเต็มที่ มีการสลายการปกครองระบอบศักดินาโชกุน เปิดพื้นที่ให้ทุกชนชั้นได้เล่าเรียน มีการศึกษา ที่ก่อนหน้านี้ผู้จะได้เรียนหนังสือหนังหาก็มีแต่ชนชั้นปกครอง พัฒนากองทัพให้เป็นแบบสมัยนิยมโดยเทคโนโลยีการต่อเรือแบบชาวดัตช์ ไม่นานญี่ปุ่นก็สามารถต่อเรือกลไฟลำแรกของตัวเองได้สำเร็จ และเดินทางไปยังซานฟรานซิสโกเพื่อเจรจาการทูตกับสหรัฐอเมริกา
ชาวญี่ปุ่นทุ่มเท และความกระตือรือร้นในการศึกษาและรับอารยธรรมตะวันตกมาใช้ และปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตกทุกด้าน ทำให้รอดพ้น จากอิทธิพลการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก และทำให้ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาประเทศได้ ประกอบกับสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ทรงปกครองประเทศด้วยพรปรีชาสามารถ แถมมีเหล่าซามูไรรุ่นหนุ่มที่มากด้วยความสามารถมาช่วยพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศให้เข้าสู่ยุคใหม่ด้วยอุตสาหกรรม และรูปแบบของสังคมแบบใหม่ได้ไม่กี่ทศวรรษ ทั้งที่ประเทศตะวันตก ต้องใช้เวลาพัฒนานานนับศตวรรษ
ผลผลิตของการเปิดรับและพัฒนาเทคโนโลยีจากต่างชาติทำให้ญี่ปุ่น แม้ช่วงแรกจะเป็นการถูกบีบบังคับให้เปิดประเทศก็ตาม ได้กลายเป็นมหาอำนาจทางทะเลในระยะเวลาต่อมา และยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงขั้นรบชนะรัสเซียในยุคมหาอำนาจ หรือเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งเมืองนางาซากินี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นในการรับวัฒนธรรมของตะวันตกเข้าสู่ญี่ปุ่น
4. ญี่ปุ่นคือประเทศที่สามารถก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ มีกองกำลังในการรุกรานประเทศอื่น ๆ ทั้งในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล้าเปิดฉากสงครามโจมตีสหรัฐอเมริกาที่ "เพิลฮาเบอร์" รัฐฮาวาย ด้วยเครื่องบินรบ นั่นแสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นสามารถผลิตเครื่องบินรบ รถถัง เรือบรรทุกเครื่องบินได้เอง มีทั้งอำนาจเงิน อำนาจทางทหาร และวิทยาการที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากตะวันตกจนสามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เอง ในขณะที่ยุคนั้นสยามประเทศยังเป็นดินแดนที่ค่อนข้างล้าหลัง และติดอันดับประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชียหรือในโลกอยู่เลย
5. แม้จะพ่ายแพ้ในสงครามโลกจากการถูกทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะ และนางาซากิ จนเมืองทั้งสองราบเป็นหน้ากลอง ต้องใช้ระยะเวลาหลายปีในการฟื้นฟูประเทศจากความเสียหายทั้งหมดนี้ แต่อย่าลืมว่าญี่ปุ่นมียอดฝีมือในงานวิศวกรรมจากกองทัพมากมาย แม้บ้านเรือนจะพังเสียหาย แต่ความรู้ และทักษะยังคงติดตัวเหล่าผู้รอดชีวิตจากสงคราม หนึ่งในการพัฒนาประเทศของญี่ปุ่นก็คือ ระบบรถไฟหัวกระสุน ซึ่งการกำเนิดชินคันเซ็นนั้น เป็นฝีมือจากทหารช่างในกองทัพที่มาร่วมกันพัฒนารถไฟความเร็วสูง โดย 3 จาก 4 คนเป็นวิศวกรด้านเครื่องยนต์เครื่องบนรบ และเครื่องบินแบบพลีชีพ “กามิกาเซ่” มีความรู้เรื่องหลักพลศาสตร์และเครื่องยนต์หนักอยู่แล้ว เพียงเปลี่ยนแนวทางการต่อยอดมาเป็นผลิตรถไฟหัวกระสุนแทน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นอดีตผู้ว่าการรถไฟฯ ที่อายุจะแตะ 70 แต่ยังมีไฟทำงาน ซึึ่งทั้งสี่คนรวมทั้งช่างฝีมือทหารชั้นเยี่ยมกว่า 20 นายมาระดมสมองกันเป็นเวลาหลายปีเพื่อสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงประเทศญี่ปุ่นไปตลอดการนี้ขึ้นมา
3
6. แต่การจะสร้างรถไฟหัวกระสุนขึ้นมาในสภาวะที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง เพราะพึ่งพ่ายแพ้ในสงครามมานั้น ไม่ใช่เรื่อง่ายเนื่องจากรัฐบาลก็ไม่ได้มีเงินมากเพียงพอจะมาทุ่มงบมหาศาลในการวิจัยและผลิตนวัตกรรมเหล่านี้ ทางทีมผู้สร้างจึงใช้วิธีการหาเงินทุน 2 ทาง คือ ทางแรกเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมีจำนวนน้อยนิดแทบไม่พอใช้ จึงต้องพึ่งทางที่สองด้วยการไปกู้เงินกับธนาคารโลกเพื่อใช้กรอบเงื่อนไขจากแหล่งเงินกู้ภายนอกมาบังคับโปรเจ็คนี้ให้สำเร็จให้ได้ เพราะถ้าหากทำไม่สำเร็จก็จะมีปัญหาเรื่องการผิดนัดชำระหนี้และโดนดอกเบี้ยมหาศาล ประเทศก็ยิ่งจะเสียเครดิตไปใหญ่ ซึ่งญี่ปุ่นมองว่า ในเมื่ออเมริกาและโซเวียตก้าวไปถึงขั้นแข่งขันกันสร้างยานอวกาศออกไปนอกโลกแล้ว แต่ญี่ปุ่นยังไม่มีแม้กระทั่งรถไฟดี ๆ ใช้ ฉะนั้นญี่ปุ่นยังถือเป็นประเทศด้อยพัฒนากว่ามหาอำนาจ จึงต้องขอกู้เงินมาสร้างรถไฟไปก่อน ซึ่งตอนแรกธนาคารโลกก็เหมือนจะไม่ปล่อยเงินกู้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลการนำเงินไปพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของประเทศทำให้ World Bank ยอมปล่อยกู้จนได้
7. หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาแม้จะเป็นผู้ทิ้งบอมใส่ญี่ปุ่นจนพังยับเยิน แต่ก็เป็นผู้ที่ช่วยเหลือและสนับสนุนญี่ปุ่นในการกอบกู้ประเทศใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่ให้เงินงบประมาณเท่านั้น แต่ให้ทั้งความรู้ ให้เทคโนโลยี ให้วิทยาการที่ทันสมัยต่าง ๆ เพราะมองเห็นศักยภาพบางอย่างของญี่ปุ่นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีความเจริญมั่งคั่ง และเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นรัฐกันชนกับคอมมิวนิสต์โซเวียต และการที่อเมริกาซัพพอร์ตญี่ปุ่นเต็มที่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นโดนคอมมิวนิสต์กลืนประเทศ เนื่องจากประเทศนี้ตั้งอยู่แค่ปลายจมูกโซเวียตและจีน ฉะนั้นการให้ญี่ปุ่นโดนกลืนจะเป็นเรื่องที่อันตรายกับอเมริกาและโลกประชาธิปไตย (ซึ่งรวมทั้งเกาหลีใต้ที่อเมริกาก็อัดฉีดกระหน่ำเช่นกันในช่วงสงครามเกาหลีฯ) ดังนั้นมหาอำนาจโลกอย่างอเมริกาถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการเป็นตัวเร่งให้ญี่ปุ่นพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความฉลาด ขยัน อดทน ตามสายเลือดแดนซามูไรอยู่แล้วทำให้ญี่ปุ่นยิ่งก้าวกระโดดจากผู้พ่ายสงครามขึ้นมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างรวดเร็วที่สุดเลยทีเดียว
8. รถไฟชินคันเซ็น คือเครื่องมือสำคัญของประเทศที่ญี่ปุ่นใช้บอกกับโลกว่าพร้อมแล้วที่จะเปิดตัวในยุคสมัยใหม่ ยุคแห่งความรุ่งเรือง และเป็นเส้นทางเอาไว้อวดชาวโลกที่ในตอนนั้นญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกส์ฤดูร้อน ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2507 ซึ่งรุ่น Series 0 ที่วิ่งระหว่างกรุงโตเกียว – โอซากา ด้วยความเร็ว 250 กม./ชม. กลายมาเป็นปฐมบทของตำนานชินคันเซ็นไปเป็นที่เรียบร้อย แต่มันแลกมาด้วยหนี้สินมหาศาลที่ญี่ปุ่นแบกอยู่หลายปี จนเกือบจะล้มละลาย ทำให้ญี่ปุ่นต้องปฏิรูปครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่นจากรัฐวิสาหกิจมาเป็นเอกชน ซึ่งในเวลานั้นถูกสหภาพรถไฟและคนของการรถไฟคัดค้านอย่างหนักหน่วง แต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้จนเป็น “JR Group” องค์กรที่ชาวญี่ปุ่นแข่งกันสอบเข้าทำงานอย่างดุเดือด เพราะในแต่ละปีเปิดรับคนไม่เยอะ และยังเป็นหนึ่งในองค์กรที่นักศึกษาญี่ปุ่นเลือกให้เป็นอันดับท็อบ ๆ ขององค์กรที่อยากจะเข้าไปทำงานอีกด้วย
9. ดังนั้นถ้าถามว่าญี่ปุ่นเจริญกว่าไทยกี่ปีอันนี้ไม่สามารถตอบได้ เพราะไทยไม่ใช่คู่แข่งญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เพราะสมัยที่ญี่ปุ่นรวมชาติได้ ไทยยังไม่เป็นอาณาจักรสยามเลย ยังให้มีด หอก ดาบ ช้าง ม้า รบกับพม่า แต่ญี่ปุ่นพัฒนาไปใช้ปืนไฟ และเดินเรือมาติดต่อค้าขายกับไทยตั้งแต่ยุคสุโขทัยที่เอาเครื่องสังคโลกไปขายแล้ว ส่วนไทยยังไม่รู้จักวิธีการเดินเรือข้ามสมุทรเองเลย และการจัดอันดับความฉลาดของชาติพันธุ์และประชากร ชาวญี่ปุ่นมีระดับความฉลาดใกล้เคียงหรือมากกว่าชาวตะวันตกในยุโรปอีกด้วย ซึ่งรวมไปถึง เกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน ที่ระดับความฉลาดอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน นั่นก็สะท้อนให้เห็นว่า ชาติพันธุ์ของมนุษย์มีผลต่อการพัฒนาประเทศจริง ๆ ยิ่งประกอบกับระบบการศึกษาที่เน้นความเป็นเลิศ ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การบังคับใช้กฎหมาย และการเคารพสิทธิ์ของประชากรที่เคร่งคัด ยิ่งส่งเสริมให้ประเทศแถบเอเชียตะวันออกมีความเจริญรุดหน้ากว่าประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ ของทวีป
สรุป : ทำไมประเทศมหาอำนาจโลกถึงเจริญกว่าไทย มันไม่ใช่มองแค่ยุค 50 หรือ 60 ปี เพราะมันต้องมองย้อนไปในยุคพัน ๆ ปี ที่ผ่านมาด้วย ทำไมยุโรปถึงมีประเทศเป็นมหาอำนาจมากมาย ก็เพราะยุโรปมีวิทยาการมาตั้งแต่ยุคกรีก โรมัน ที่คิดค้นและต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน ให้กลายเป็นเจ้าแห่งวิทยาการของโลก ส่วนจีนก็รุ่งเรืองมากว่า 5,000 ปี แม้จะผ่านช่วงแร้นแค้นในยุคที่อาม่า อากง โล้สำเภาลี้ภัยสงครามมาเมืองสยาม แต่อย่าลืมว่าอำนาจซื้อในประเทศจากพลเมืองนับพันล้านมันช่วยหนุนอยู่ แม้จะไม่ขายของกับโลกภายนอก แค่ขายกันเองก็ยังอยู่ได้ รวมทั้งคนจีนยังค้าขายเก่ง เก็บออมสุด ขยันสุด ทำให้เราเห็นจับกังในยุคที่มาสยามใหม่ ๆ กลายเป็นมหาเศรษฐีในไทยและในต่างประเทศกันเกลื่อน เป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ในมือ
1
ส่วนเกาหลีใต้เองที่เจริญมาได้เพราะความทะเยอทะยานล้วน ๆ ที่ถูกกดดันจากในอดีตที่โดนจีนยึดที สลับญี่ปุ่นยึดบ้าง อาณาจักรเล็ก ๆ ที่มีความง่อนแง่นสูง แต่เก่งเรื่องการเดินเรือเดินสมุทร ดังนั้นถ้าเกาหลีใต้จะอยู่ให้รอดก็ต้องพัฒนาตัวเองให้แกร่งให้ได้ท่ามกลางมหาอำนาจโลกทั้ง 2 ขนาบข้างอยู่ แถมข้างบนก็เจอเกาหลีเหนือฮึ่มๆ ใส่ทุกวัน และสหรัฐอเมริกานี่แหละคือผู้ทั้งผลักทั้งดันเกาหลีใต้ เพื่อเป็นรัฐกันชนกับเกาหลีเหนือเช่นกัน คิดดูว่าเกาหลีใต้แต่ปัจจัยเจอหนัก ๆ ที่รายล้อมทั้งประเทศทั้งนั้น ถ้าไม่รีบถีบตัวเองขึ้นมาจากการโดนล่า ก็คงพังไปแล้ว
ที่สำคัญรัฐบาลเกาหลีใต้ใช้โมเดลของการเป็นทุนนิยมแบบสุดตัว ให้สิทธิประโยชน์เหล่าธุรกิจแชโบลอย่างเต็มที่ เรียกว่ารัฐบาลทุ่มเงินอุ้มกันมาตั้งแต่อดีต ชนิดที่บ้านเราคงเรียกคำพูดติดปากว่า “เอื้อนายทุน” แต่รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่สนใจ เพราะมันคือหนทางที่เกาหลีใต้เลือกที่จะใช้ในการผลักดันประเทศให้รุดหน้า ซึ่งเกาหลีใต้ก็ทำสำเร็จอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน กลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยีของเอเชียและของโลก จากประเทศที่เคยติดอันดับประเทศที่ยากจนที่สุดของโลกเมื่อราว 60 ปีที่แล้ว แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการผูกขาดทางธุรกิจของเอกชนรายใหญ่ในเกาหลีใต้ไม่กี่แห่งที่เป็นผู้กุมอำนาจเสาหลักค้ำยันเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ในกำมือ ทั้ง Samsung, LG, Hyundai, Lotte และ SK Group
รวมทั้งการไม่ถูกอำนาจทหารแทรกแทรงทางการเมืองตลอดหลายปีทำให้ประเทศมีเสถียรภาพมากเพียงพอที่จะเดินหน้าพัฒนา แต่ก่อนหน้านั้นเกาหลีใต้ก็วนเวียนกับกับโดนยึดอำนาจ โดนรัฐประหาร เวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายสิบปีเหมือนกัน
ขณะที่บ้านเรายังสอนให้คนเกลียดกลัว ต่อต้านทุนนิยมกันอยู่เลย แต่ประเทศทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นี่แหละคือประเทศแห่งทุนนิยม 100%
อย่างไรก็ตามประเทศต่าง ๆ ในโลกที่จะพัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองได้มันไม่ใช่แค่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง มันมีองค์ประกอบอื่น ๆ เยอะแยะมากมาย และประเทศเหล่านี้ก็คือทุนนิยมเต็มตัว แข่งขันกันเอาเป็นเอาตายเพื่อความสำเร็จ และผลกำไร แม้จะต้องเหยียบย่ำใคร เหยียบหัวใครขึ้นไปก็ต้องทำ เพื่อการเป็นที่หนึ่ง แล้วเราล่ะมองย้อนมาดูสิว่าเราเป็นแบบไหนกันแน่ พร้อมแข่งขัน พร้อมแลกกับความสบายเพื่อทำงานหนักหน่วง พร้อมเคารพกฎหมายอย่างไม่มีข้อแม้ข้ออ้าง และพร้อมเลิกดูถูกตัวเองหรือยัง?
อย่าลืมว่าการพัฒนาใด ๆ ในประเทศบนโลกใบนี้มาจากประชาชน รัฐบาลจะดีจะห่วยแตกก็มาจากประชาชนเลือก ผู้แทนก็มาจากคนที่มีพื้นฐานสังคมเดียวกันทั้งชาติ คุณภาพรัฐบาลจะเป็นอย่างไรก็สะท้อนได้จากคุณภาพของประชากรอย่างนั้น เพราะเราไม่ได้มีรัฐบาลญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือเกาหลีใต้ มาปกครองประเทศ คนที่ปกครองก็คือคนไทย ที่มาจากสังคมและวัฒนธรรมแบบไทย ๆ อย่างที่เราเป็นกันนั่นเอง
สุดท้ายนี้เรามีประชากร และมีรัฐบาลที่มี “คุณภาพ” พร้อมจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือยัง? คำตอบก็คงอยู่ในใจของทุกคนอยู่แล้ว...
โฆษณา