3 ก.ค. 2020 เวลา 04:08 • สุขภาพ
"หมออุดม คชินทร" เชื่อไทยหนีไม่พ้น "โควิดระบาดรอบ2" หวั่นรุนแรงกว่าครั้งแรก
นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษามูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ความสำคัญของการดูแลสุขภาพตนเอง ในงานแถลงข่าวความร่วมมือจัดทำโครงการ "เด็กไทย สู้ภัยโควิด Thai Kids Fight COVID (TKFC) ว่า การที่ประเทศไทยไม่มีรายงานผู้ป่วยโรคโควิด-19 ภายในประเทศ หรือเป็น 0 ต่อเนื่องมา 1 เดือนกว่าๆ ไม่ได้แปลว่าประเทศไทยไม่มีเชื้อโควิด-19 อีกแล้ว
เพราะอาจจะมีคนไข้ที่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อยเหมือนไข้หวัดแล้วหายเอง แต่ยังแพร่เชื้อได้ ที่สำคัญในระดับโลกแนวโน้มก็ยังเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาสมดุลสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม อย่างไรก็ต้องเปิดประเทศ มีการค้าขายและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้เราจะมีมาตรการป้องกันเข้มข้น แต่เชื่อว่าจะมีหลุดบ้างแน่นอน
"การเดินทางโดยเครื่องบินเราไม่กลัว เพราะล็อกตัวได้ตั้งแต่แรก ที่น่ากลัวคือการเข้ามาทางบกจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า ลาว กัมพูชา หรือมาเลเซีย การมาตามด่านเราตะครุบได้ แต่แรงงานใต้ดินที่พยายามกลับเข้ามานั้นมีเป็นแสนๆ ราย ที่อาจจะเข้ามาทางอื่นนอกจากด่าน ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่รายงานผู้ป่วยก็เชื่อว่ายังต่ำกว่าความเป็นจริง
ดังนั้น เราจึงยังต้องปฏิบัติตัวตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มข้น เพราะเรามีบทเรียนมาแล้วว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนเมื่อปี 1918 ระลอก 2 นั้นแรงกว่าระลอกแรกมาก ช่วงแรกคนเสียชีวิต 5 ล้านกว่าคน แต่พอผ่อนคลายระลอก 2 เสียชีวิตถึง 40 ล้านกว่าคน" นพ.อุดมกล่าว
นพ.อุดม กล่าวว่า ตนเชื่อว่าไม่มีทางที่จะทำให้ผู้ติดเชื้อในประเทศเป็น 0 ไปได้ตลอด อาจจะต้องมีการติดบ้าง แต่จะต้องรักษามาตรการสาธารณสุข อยู่ห่างกัน ใส่หน้ากาก ล้างมือ เพื่อช่วยกันไม่ให้เกิดการระบาดเป็นระลอกใหญ่ หากมีการติดเชื้อก็ให้เรารับมือไหว โดยทรัพยากรที่เรามีทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เตียง เครื่องมือต่างๆ เรารับผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ประมาณ 30-50 คนต่อวัน หากมาเป็นร้อยก็คงรับไม่ไหว และอาจเกิดการเสียชีวิตเหมือนในต่างประเทศ
ซึ่งการคงมาตรการเหล่านี้ไว้ต้องทำให้เป็นชีวิตวิถีใหม่ไปอีกสักระยะอย่างน้อย 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง จนกว่าจะมียารักษาที่แท้จริง ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้อยู่ก็ยังไม่ใช่ หรือมีวัคซีนใช้ ซึ่งจากข่าวก็ยังไม่ใช่จะใช้ได้วันพรุ่งนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 1 ปี แม้จะพยายามลัดกระบวนการให้เร็วขึ้น แต่สุดท้ายก็ต้องดูว่าวัคซีนจะสำเร็จหรือไม่ และอาจต้องเผื่อใจไว้หากไม่สำเร็จด้วย
"การที่วัคซีนอาจจะไม่สำเร็จ เพราะเชื้อตัวนี้ไม่เหมือนเชื้อตัวอื่น เพราะเชื้อนี้ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน อย่างคนนิวยอร์กที่ติดเชื้อกันครึ่งล้าน คิดว่าภูมิคุ้มกันน่าจะเยอะ เมื่อเข้าไปเจาะตรวจดูภูมิคุ้มกันพบเพียง 21% ขณะที่สวีเดน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพื่อหวังว่าจะมีภูมิคุ้มกัน จากการเจาะตรวจและรายงานสัปดาห์ก่อนก็มีเพียง 7% แต่เราต้องการภูมิคุ้มกันหมู่ถึง 70%
แต่จากการลองเจาะเลือดแพทย์ พยาบาล ที่ดูแลผู้ป่วยที่ รพ.รามาธิบดี 800 คน พบเพียง 22 คน หรือประมาณ 3% ถือว่าน่ากังวลใจ เพราะเชื้อทำลายระบบภูมิต้านทาน วัคซีนอาจจะไม่ได้ผล ซึ่งแม้จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันขึ้นในหนูและลิง แต่ในคนอาจไม่ขึ้นก็ได้ เราหนีไม่พ้นก็ต้องช่วยกันปฏิบัติอย่างเข้มข้น" นพ.อุดมกล่าว
นพ.อุดม กล่าวว่า ขณะนี้ผ่อนปรนระยะ 5 มีการเปิดโรงเรียนทั่วประเทศ 3.5 หมื่นกว่าโรง เด็กเกือบ 5 แสนคน การป้องกันโรคนี้เด็กก็ต้องร่วมมือช่วยกันปฏิบัติ แต่เด็กเป็นวัยที่ยังจับกลุ่มกัน และบางคนก็ไม่สะดวกสวมหน้ากาก ตรงนี้ต้องช่วยกันรักษาระยะห่างให้ได้ 1.5-2 เมตร เพราะข้อมูลพบว่าละอองน้ำลายสามารถกระเด็นได้ไกล 1.86 เมตร ถ้าไอกระเด็นได้ไกล 15-18 เมตร และถ้าวิ่งแล้วไอกระเด็นไกล 20 เมตร
จะเห็นว่าประเทศที่ไม่สวมหน้ากากมีการติดเชื้อต่างจากประเทศที่สวมหน้ากากมหาศาล อย่างไรก็ตาม แม้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะเตรียมหน้ากากสำหรับเด็กไว้ แต่อาจไม่ทั่วถึง ซึ่งหน้ากากสำหรับเด็กจะแตกต่างจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็ก 6-12 ขวบหรือ ป. 1-6 ต้องการหน้ากากสำหรับเด็กที่เข้ากับหน้าและต้องกระชับ จึงนำมาสู่โครงการ TKFC
โฆษณา