3 ก.ค. 2020 เวลา 08:44 • ไลฟ์สไตล์
สาระ ควรทราบ เพื่อคิด ปรับใช้ #29
ศัพท์ ฮิต ปัจจุบัน
Talk of the town, Hate speech
Gossip, Meme, Viral, Spoil, Bully
เครดิตภาพ https://www.marketingoops.com/news/biz-news/10-talk-of-the-town-2018/ https://www.businessinsider.com/gossip-girl-where-are-they-now-2017-1 https://www.youtube.com/watch?v=IV3z2qwJOLs https://makingamiller.com/ttc-bd-af-wtf/ https://www.sanook.com/news/7755651/ https://sn4.scholastic.com/issues/2019-20/033020/should-you-stand-up-to-a-bully.html https://www.seattletimes.com/opinion/hate-speech-is-often-free-speech-but-how-can-we-stop-it/
วันนี้ เราจะมาคุยกัน กับ เรื่องที่เป็น Talk of the town. กัน ในตอนนี้ เช่น ลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีคอังกฤษ Hate speech ที่ทำให้ยอดโฆษณาของเฟสบุ้ค ลดลง
แต่เราจะไม่พูดถึง ต้นสายปลายเหตุกัน เพราะ มีคนหลากหลาย พูดคุยกันเรื่องนี้อยู่แล้ว เราจะมาพูดถึงความหมายของคำแต่ละคำ เพื่อนำไปใช้ในการพินิจพิเคราะห์ในการ
รับรู้ข่าวสาร โดยในบทความนี้ จะมีเพิ่มคำที่ฮิตๆใช้กันในปัจจุบันมาด้วย
Talk of the town1 เครดิตภาพ http://www.maya-channel.com/news/detail/1374
**Talk of the town (ทอล์คออฟเดอะทาวน์)**
คือ ศัพท์ หัวข้อสนทนา ที่คนส่วนใหญ่พูดกัน, ดังใหญ่, โจษขาน, ขึ้นชื่อ หรือแม้แต่ ศัพท์ฮิตของตลาดที่เริ่มมาจากกลุ่มวัยรุ่น ว่า ปัง และหากเรา แปลตามความหมาย ของประโยค ก็คือ **พูดกัน, กล่าวถึงกัน ทั้งเมือง**
ในลักษณะปัจจุบัน ที่นำเอามาใช้กัน ก็ไม่ต่างกัน ไม่ออกนอกแนวของตัวอักษร และใช้กันอย่างทั่วโลกในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นข่าวที่เป็น Talk of the town. กันเป็น
อันดับ 1 ในปลายเดือน มิถุนายน จนถึงวันชาติสหรัฐฯก็คือ การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีคอังกฤษ ของ ทีมลิเวอร์พูล ที่ห่างหายจากการเป็นแชมป์มานานถึง 30 ปี ซึ่งครั้งสุดท้าย คือ ปี 1990 โดยที่ยังใช้ชื่อเดิมคือ แชมป์ดิวิชั่น1 ของอังกฤษ ซึ่งต่อมา ได้เปลี่ยนชื่อเป็น พรีเมียร์ลีค อังกฤษ โดย ทีมที่เป็นแชมป์มากที่สุดคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้ 20 ครั้ง ส่วนลิเวอร์พูล ทำรวมไว้ 18 ครั้ง น้อยกว่า 2 ครั้ง ถ้ารวมครั้งนี้เข้าไปก็เป็น 19 ครั้ง ซึ่งผีแดงทำไว้มากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งต่อๆไป เราคงจะเห็นแฟนบอลทั้ง 2 ฝ่าย เกทับกันในเรื่องจำนวนครั้งที่เป็นแชมป์ โดยทาง ฝ่ายหงส์แดง ก็จะว่า ห่างกันแค่ครั้งเดียว และ ปีหน้าก็อาจจะได้อีกเพราะทีมของเขายังแข็งแกร่งอยู่อีกทั้ง ผู้จัดการทีมก็ยังเป็น เจอร์เก้น คลอปป์ คนเดิมอยู่ ส่วนทางฝั่งผีแดง ก็คงจะโต้ตอบว่า ผีแดง ได้แชมป์พรีเมียร์ลีคมากกว่าอยู่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ เกทับ กัน ของ แฟนๆทั้งสองฝ่าย ที่มี แฟนบอล ในโลกพอๆกัน ความยิ่งใหญ่พอๆกัน เราก็ปล่อยเขาพูดเกทับกันไป
มาถึงอีกเรื่องหนึ่งที่เป็น Talk of the town. กัน ก็คือ การที่ Facebook ขาดทุนกำไรมหาศาลจากการที่ยอดโฆษณาใน Facebook ลดลงจากสปอนเซอร์เจ้าใหญ่ๆ โดยมีกระแสอยู่ที่ Hate speech โดยที่การงดโฆษณานี้ Hate speech อาจจะเป็นข้ออ้างในยอดขายที่ตกลงไปของสินค้าในยุคโควิดและต้องการ save cost เพื่อดูทิศทาง และเกิดการเลียนแบบ จาก องค์กรที่มีขนาดเท่ากัน หรือขนาดลดหลั่นลงมา ทำให้ ยอดโฆษณาในFacebook ลดลง
และก่อนที่เราจะเข้าสู่ คำว่า Hate speech เราจะมาดูคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับ Talk of the town. เช่นคำว่า Gossip, Virul และ Meme และศัพท์บางตัว ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน อย่าง Spoil, Spoil System เพื่อที่ เราจะได้เข้าใจ ความแตกต่าง, การใช้ ศัพท์ที่ฮิตในปัจจุบัน เพื่อนำไปสู่ศัพท์ที่ค่อนข้างเข้าใจยาก อย่าง Hate Speech
Gossip1 เครดิตภาพ https://news.ucr.edu/articles/2019/05/03/uc-riverside-study-busts-myths-about-gossip
**Gossip(กอสสิพ)**
ความหมายของ Gossip ถ้าแปลจากความหมายของศัพท์คือ การนินทา,ซุบซิบ, ข่าวลือ ซึ่งจะแตกต่างจากคำว่า Talk of the town. ตรงที่ Gossip มันอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ได้ การพูดอาจไม่เต็มปากเต็มคำจึงต้องกระซิบกระซาบกัน ไม่ป่าวประกาศกัน อย่างเปิดเผยในวงกว้างเหมือน Talk of the town. เพราะกลัว การทำให้ เสื่อมเสียแก่คนที่อยู่ในข่าว ซึ่งอาจจะมี การโต้กลับ หลายระดับ ไปจนถึงกฎหมาย
Gossip นี้ มันจะมีทั้งเรื่องที่ดีหรือไม่ดี, จริงหรือไม่จริง สำหรับบุคคลที่อยู่ใน Gossip นี้ ได้ แต่เมื่อ Gossip กัน ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี, จริงหรือไม่จริง เราก็เรียกเป็น Gossip ทั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันนี้ Gossip ได้ยกระดับจากการพูดกันปากต่อปากในสมัยก่อนๆนี้ มาเป็น Gossip ทาง Social Media ซึ่งจะทำให้แพร่ขยายไปได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง การควบคุมทาง Social Media ยังสามารถทำได้ยาก
ถึงแม้จะมีการคัดกรองด้วย Parameter ของ Application เอง AI ช่วยคัดกรองอยู่ก็ตาม เท่าที่เห็นก็คือ การคัดกรอง การใช้ถ้อยคำหยาบคาย และการก้าวก่ายลิขสิทธิ์เท่านั้น ซึ่งแต่ละเวบไซท์,บล็อก, แอพพลิเคชั่นซอฟท์แวร์(โปรแกรมประยุกต์)(เราชอบเรียกกันสั้นๆว่า แอพฯ) ก็จะทำการป้องกันด้วยตัวเองกันทั้งนั้น ยังไม่มีกฎหมายมารองรับทั้งโลก เพราะคนที่ทำ Gossip นั้น ก็ป้องกันตัวเองเหมือนกันจากการเอ่ยถึงมาตรงๆ แต่ก็มีบ้างที่โผล่ออกมาทั้งชื่อเสียงเรียงนามเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งเป็นเพราะ Social media ยังทำได้ไม่ดีพอ ภาษาทางเหนือ ทางบ้านเกิดผู้เขียน จะเรียกเหตุการณ์ Gossip ที่
หลุดคอนเซปท์มาทั้งหมด นี้ว่า *สู้บส้าบจ๊าง* (สู้บส้าบ หมายถึง ซุบซิบ , จ๊าง หมายถึง ช้าง) ซึ่งมีความหมายว่า *ซุบซิบที่โจ่งแจ้ง*
Viral1 เครดิตภาพ https://www.youtube.com/watch?v=IV3z2qwJOLs
**Viral(ไวรัล)**
การพูดถึง หรือ การบอกต่อกันแบบปากต่อปาก เป็นการรวมกันของ 2 คำ คือ  “Virus” ที่แปลว่าเชื้อโรคหรือหมายถึงการแพร่กระจาย และคำว่า “ออรัล”(Oral) ที่แปลว่าปาก แล้วมารวมกันจน กลายเป็นภาษาทางอินเตอร์เน็ตว่า ไวรัล
ปัจจุบัน เป็นการโฆษณาของสินค้าต่าง ๆ ที่ใช้กระแสของผู้คนใน Social Media มาเป็นตัวกระตุ้นให้สังคมอยากรู้ว่าสินค้านั้นคืออะไร และ สามารถที่จะพูดถึงกันไปแบบปากต่อปาก โดยอาศัยการเล่นกับความรู้สึกของผู้คน โดยมีเป้าหมายที่เหมือนกันคือการได้รับความสนใจจากสังคม ที่จะสามารถต่อยอด ด้วยการทำให้ คนมากมาย จดจำไวรัล ได้อย่างแม่นยำ ซึ่ง เป็นได้ทั้ง Advertising คือ การโฆษณา ในไวรัล เลย หรือ Public Relation การประชาสัมพันธ์ เพื่อให้คนรู้จักใน แบรนด์สินค้า หรือ บริการ รวมทั้ง คนที่ สร้างไวรัลขึ้นมา เพื่อผลทางการตลาดต่อไป
Viral Marketing เครดิตภาพ https://blog.metrabyte.cloud/viral-content-ช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็/
**Viral Marketing**
การตลาดในลักษณะที่ทำให้ คนพูดถึงกัน แบบปากต่อปากจนเกิดเป็นกระแสขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหมือน ไวรัส(ไวรัสโควิด-19)ที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันเรามักจะเห็น Viral Marketing ในลักษณะของ Video, Text Messages, Photo/Image, Game และ Interactive Application รวมถึง Information Graphic หรือ Animation Info.Graphic แนวกวนๆตลกๆ บน Social Mediaเพื่อสร้างกระแสให้คนแชร์ใน Social Media กันต่อไป
**หลักการที่เป็นหัวใจ**ของ Viral Marketing นั้น คือ การทำให้คนสนใจทันทีจำนวนมากๆ ก่อน แล้วถึงจะเจาะการตลาดต่อเนื่อง
Meme เครดิตภาพ มีการแชร์กันใน Line 3 ภาพ
**Meme(มีม)**
ความคิดทางวัฒนธรรม สัญลักษณ์ หรือการปฏิบัติ ที่สามารถส่งผ่านจากจิตใจคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ผ่านการเขียน การพูด ท่าทาง พิธีกรรม ภาพล้อเลียน และมีคำศัพท์ต่างๆ ในภาพ ที่มีความหมายเชิงตลก หรือ ปรากฏการณ์ ลอกเลียนแบบอื่น ๆ คำว่า meme ในภาษาอังกฤษมาจากการผสมของคำว่า "gene"(ยีน หรือ สิ่งสืบต่อพันธุกรรม) และคำภาษากรีกว่า mɪmetɪsmos หรือ การเลียนแบบบางอย่าง  ผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ ได้ถือว่า เป็นสิ่งที่คล้ายกันทางวัฒนธรรมสู่ยีน มีการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองแรงกระตุ้นที่เลือกเฟ้น
กระแส มุกขำขันบางอย่าง ที่แพร่กระจาย อย่างรวดเร็ว ใน สังคม อินเตอร์เน็ตโซเชียล” โดย มีม เป็นได้หลายอย่าง ตั้งแต่ภาพ คลิปวีดีโอ คำพูด วลี ประโยคเด็ด และไม่ได้จำกัดว่า จะเป็น คนหรือสัตว์ ไม่ว่าอะไรก็เป็น มีม ได้ ถ้ามันตลกพอ
ในปีคศ.1976 คำว่า “มีม” หรือ “meme” ถูกบัญญัติขึ้นโดย Richard Dawkins  ในหนังสือ “The Selfish Gene”  ซึ่ง ตัว Dawkins เองให้ความหมายของมีมว่า การแพร่กระจายของไอเดีย หรือ ข้อมูลทางวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ โดยไม่ใช่การส่งผ่านทางพันธุกรรมด้วยการเลียนแบบ ซึ่ง มีม ก็สามารถถูกนำไปพัฒนา ต่อยอด หรือแม้กระทั่งผ่านการคัดเลือดทางธรรมชาติ ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม คำและความหมายของคำก็ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ปัจจุบันคำว่ามีมอาจไม่เหมือนกับมีมที่ Richard Dawkins ได้เขียนไว้ ตั้งแต่เริ่ม แต่การใช้งานของมีมก็ยังมีความคล้ายคลึงจากความหมายเดิมอยู่
ยังไงถึงจะเป็น*มีม*ได้ พูดถึง*มีม*ก็ต้องนึกถึงเรื่องความตลกอันดับ 1 เลย ต่อมาก็พวกภาพ วิดิโอต่างๆ แต่หากมีมที่เราทำนั้น เกิดการ ใช้ซ้ำจนมาเกินไป ทำให้เกิดภาวะ “มีมตาย” นั้น หมายถึงว่า *มีม* ได้กระจายไปกว้างจนเริ่มไม่ตลกแล้ว แต่หากต้นแบบของเรา นำไปต่อยอด ได้ในหลายๆ ทาง ก็ยิ่ง ส่งเสริม การใช้ซ้ำและมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ยืดชีวิตมีมไปได้อีก
สิ่งหนึ่งที่ ไม่พ้นจาก ความตลก ก็คือ การเข้าถึงได้ ถ้าข้อมูลในคอนเทนต์นั้นๆ มีความคล้ายคลึงกับชีวิตคนหมู่มาก ก็ส่งผลให้คนเข้าใจมุกได้เยอะ กระจายต่อได้อีกมาก แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้ง*มีม*มันจะเกิด มันก็เกิด บางอย่างที่ไม่นึกว่าจะตลกก็ตลกได้แบบงงๆ ซึ่งนั่นเป็นธรรมชาติของ*มีม* ที่มีเสน่ห์เฉพาะของมัน
*มีม* ก็คือ สิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันกันนั้นแหละ เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย เข้าใจง่าย ถ้าข้อมูลในคอนเทนต์นั้นๆ มีความคล้ายคลึงกับชีวิตคนหมู่มาก ก็ส่งผลให้คนเข้าใจมุกได้เยอะ กระจายต่อได้อีกมาก
เสน่ห์เฉพาะ เริ่มมาจาก ยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เนื่องจาก สมัยนั้นยังไม่สามารถอัพโหลดภาพลงอินเตอร์เน็ตได้ Leetspeak หรือ 1337speak เป็นภาษาที่เกิดขึ้นจากการแทนตัวอักษรอังกฤษเป็นตัวเลขที่คล้ายคลึงกัน
Meme dancing baby เครดิตภาพ https://makingamiller.com/ttc-bd-af-wtf/
จนกระทั่งในปี 1996 ที่ กราฟิกดีไซเนอร์ Michael Girald ได้สร้าง ซอฟต์แวร์ที่สามารถโปรแกรมการเคลื่อนไหวคล้ายกับการ Rigging และ แสดงผลลัพธ์ ผ่านคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่ง โมเดลแรก ที่เขาสร้าง นั้นคือ เด็กทารกเต้น จากท่าใน Cha-Cha-Cha (Dancing baby)  เมื่อเขาได้ส่งโมเดลต้นแบบให้กับ บริษัท LucasArts ซึ่งภายหลัง ถูกแปลงไปเป็น GIF ไฟล์ภาพ GIF ของเด็กทารกเต้นตามจังหวะชะชะช่าก็ถูกส่งกระจายไปเป็นวงกว้างตามเว็บไซต์และอีเมลต่างๆ จนกลายมาเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า*มีม*จนปัจจุบัน
@@นิยามที่เจาะจงความหมายของ Meme *มีม*@@
มุกขำขันที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบันจะฮิตกันบน Social Network โดยจะเป็น ภาพ คลิปวีดีโอ คำพูด วลี ประโยคเด็ด ฯลฯ ก็ได้
*มีม* ที่ เล่นกันอยู่และแพร่หลายในวัยเด็กไทยของ คนเจนเอ็กซ์ ในสมัยที่ยังไม่มี คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (ที่เรียกกันว่า Personal Computer) ต้องใช้ กระดาษดินสอ หรือปากกา มาเล่นกัน ก็เป็นเรื่องของตัวอักษร อย่าง คำว่า LASSMUOO เมื่อกลับด้านดู จะได้คำว่า ออกพรรษา ก็เป็นที่เล่นกันอย่างแพร่หลาย
อีกอันหนึ่ง จะใช้ หลักการง่ายๆ ทางคณิตศาสตร์ มาช่วย เมื่อผลลัพธ์ ออกมา ก็เอาตัวเลขมาเทียบกับคำที่กำหนดไว้ โดยระบุหมายเลข เรียงกันไป 0-9 ซึ่ง ผลจะออกมาทางสัปดนนิดๆ เด็กผู้ชาย ชอบเอาไปหลอก เด็กผู้หญิงเนิร์ด ให้วี้ดว้ายกระตู้วู้ ตลก สนุกสนานกัน หรือ บางทีก็โดนด่าก็มี แต่คนโดนด่ากลับรู้สึกสบายใจไม่โกรธ คำนั้นคือ "ยาหมอควรจำ"
ตัวอย่างภาวะ “มีมตาย”
มีเพื่อนสนิท ของผู้เขียน คนหนึ่ง เขาจะ แคร์เพื่อน จึงชอบ ทำ *มีม* ตลกๆ ให้ เพื่อนดู โดยเฉพาะ ผู้เขียน เขาจะทำให้ดู เวลาที่ ผู้เขียนไม่สบายใจอะไรหรือเบื่ออะไร เวลาที่ไปไหนด้วยกัน
ในตอนที่ไปด้วยกันต่างสถานที่ เขาชอบที่จะแกล้งสะดุดล้ม ตรงที่ คนอยู่มากๆ ให้คนหัวเราะเยาะเขา แล้ว ผมก็จะหัวเราะ ในความเคราะห์ร้ายของเขา ที่เรียกว่า Bad Comedy ทำบ่อยๆเข้า ก็ไม่ตลกแล้วเรียกว่า “มีมตาย” เขาก็จะ เปลี่ยนมีม ก็ขึ้นอยู่กับ บุคคลและกาล-เทศะ ที่เขาต้องการมอบให้แหละครับ (กาล แปลว่า เวลา, เทศะ แปลว่า สถานที่) มีอยู่ *มีม* หนึ่ง ที่เขา จะสื่อสารกับคนอื่นไม่ค่อยตลก แต่กับผมจะตลกมาก
ตอนทำงานกันหลังจบใหม่ๆ เขาซื้อรถซูซูกิแคริบเบียนเกียร์ธรรมดา ขับทางไกล รถมันกระโดกกระเดกอยู่แล้วก็น่าเบื่อ ร้องเพลงกันจากคาสเสทเทป หมดหลายม้วนก็ยังไม่ถึงที่หมาย ร่วมๆ 10 ชั่วโมง
เขาก็เอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ขึ้นมาเล่น ตั้งแต่เป็นโจรคาวบอย หัวขโมยญี่ปุ่น ไปจนถึงเช็ดหน้าเช็ดพวงมาลัย ยกกระติกขึ้นดูดน้ำเย็น แล้วเอา ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น มาพับ แล้วเอารองคอปกเสื้อ กันคอเสื้อเปื้อน เวลาซักแปรงขัดมันจะลุ่ย(คนจนนิยม) จวบจน เข้าเกียร์รถ ผมก็นึกขึ้นได้ ทีนี้ก็หัวเราะ เขาก็หัวเราะ ที่ผมรับมุกเขาได้ ก็มีstory ให้พูดกันอีก จนถึงที่หมาย ซึ่งใน *มีม* นี้ คนรับสารต้องเคยเห็นโจรคาวบอย ต้องเคยเห็นหัวขโมยญี่ปุ่น ถึงจะอิมเมจภาพได้ ต้องเคย ขึ้นรถเมล์กับเขาบ่อยๆ และต้อง เคยคุยกันถึงเรื่องคนขับรถเมล์นั้น เขาเลียนแบบมาดมาหมด แต่ถ้า ใคร เคยขึ้นรถเมล์กับเขา จะนึกออก โดยไม่ต้องspoil
Spoil-kid เครดิตภาพ http://www.markmerrill.com/how-to-spoil-your-kids/
Spoil Mummy เครดิตภาพ https://poriuzlunar.wordpress.com/2017/06/12/halfreview-halfspoil-mummy2017/
**Spoil**
ตามความหมายของ คำศัพท์ ที่ใช้กันทั่วโลก คือ ทำให้เสียหาย, ตามใจจนเสียคน, การแย่งชิง, ทำให้แย่, ทำให้เสื่อมเสีย, ปล้น,แย่ง
สปอยล์ คือ การบอกจุดสำคัญ, การเฉลยเนื้อเรื่องหรือเรื่องราวส่วนสำคัญจุดใดจุดหนึ่ง ของเรื่องราว สาระ ที่มี คนทำออกมา ให้ รับอ่านรับชมรับฟัง กัน จนทำให้ เสียอรรถรสของการรับรู้นั้น
ปัจจุบันนี้ คนไทยจะนิยมนำมาใช้กับหนังมาก รองลงมาด้วย บทความ หรือ เรื่องสั้นต่างๆ ตลอดจน วรรณกรรม อื่นๆ
ในการทำงานในองค์กร หรือ การร่วมมือกันระหว่างคนหรือองค์กร จะมีระบบหนึ่งที่นิยมกันมากในหมู่ ประเทศกำลังพัฒนา (ใช่ว่า ประเทศพัฒนาแล้วจะไม่มีนะ มี แต่น้อยเท่านั้นเอง) ไม่ว่าจะ ความร่วมมือการกุศล, การบริหารประเทศ,การทำธุรกิจ ฯลฯ สิ่งที่ปฏิบัติกันมากกว่า 90% คือ ระบบเล่นพรรคเล่นพวก(Spoil System) นั่นเอง
เครดิตภาพ https://www.sanook.com/health/18825/
เครดิตภาพ https://www.samitivejhospitals.com/th/bully/
**Bully**
ในคำศัพท์ ที่ใช้กันทั้งโลก จะหมายถึง อันธพาล, ระราน, พาลข่มเหง,แกล้ง,ข่มขี่,คุกคาม ความหมายที่ใช้กันอยู่ใน ปัจจุบัน เป็น พฤติกรรมกลั่นแกล้ง รังแก ผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่า
พฤติกรรมรุนแรง กลั่นแกล้ง รังแกผู้อื่นทั้งทางวาจาและร่างกาย หากเกิดในชีวิตจริง มักเป็นการล้อเลียนรูปร่างหน้าตา สถานะทางสังคม รวมถึง การทำร้ายร่างกาย ส่วนโลกออนไลน์ ส่วนใหญ่เกิดจาก การประจานกันทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายครั้งการบูลลี่สร้างผลกระทบทางด้านความรู้สึกมากมายจนอาจเกิดเป็นแผลทางใจฝังลึกจนยากเยียวยา หรืออาจลุกลามไปจนเกิดการปะทะและสร้างบาดแผลทางกายได้
พฤติกรรมข่มขู่กับการบูลลี่ อาจแยกกันไม่ได้เด็ดขาด ด้วยส่วนใหญ่ มักเกิดจากการกระทำของ ผู้ที่คิดว่าตนมีอำนาจมากกว่า รังแกผู้ที่ด้อยกว่าหรือคนตัวใหญ่ชอบรังแกคนตัวเล็ก
พฤติกรรมเหล่านั้น อาจเกิดซ้ำ ๆ  ซึ่ง หากต้อง เผชิญการทำร้ายครั้งแรก ผู้ถูกกระทำอาจให้อภัยได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ ซ้ำๆ อาจกลายเป็นความเครียดหรือความแค้นในที่สุด นอกจากนี้ผู้กระทำส่วนใหญ่มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการให้ผู้อื่นอับอาย เจ็บตัว
เสื่อมเสีย หรือด้อยค่าลง  โดยสามารถจำแนกการบูลลี่ได้ ดังนี้
บูลลี่ทางร่างกาย
 เป็นการทำร้ายร่างกาย อีกฝ่าย ให้เกิดการบาดเจ็บ มีบาดแผล ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภายนอก บางกรณีอาจส่งผลต่อจิตใจอีกด้วย
 
บูลลี่ทางวาจา 
แม้ ไม่มีบาดแผลทางกายให้เห็น แต่การพูดส่อเสียด ล้อเลียน ใส่ร้าย การประจานด้วยคำพูดให้ผู้อื่นได้ยิน นอกจากจะสร้างความอับอาย วิตกกังวล อาจสร้างความเครียด เก็บกด ส่งผลถึงขั้นเป็น โรคซึมเศร้า หรือ หวาดกลัวสังคม ถือเป็นบาดแผลทางใจที่เจ็บปวดไม่น้อย
 
บูลลี่ทางสังคม
เป็นการ สร้างกระแสสังคมรอบข้าง ให้โหมกระหน่ำมายังเหยื่อของการบูลลี่ เปรียบเสมือน การยืมมือคนรอบข้าง ให้ร่วมกันทำร้ายบุคคลเพียงคนเดียว  เช่น การปล่อยคลิปของเหยื่อ  หรือการสร้างข่าวลือ จนผู้เสพหลงเชื่อและพร้อมจะแชร์และกระพือข่าวให้ไปในวงกว้างขึ้น จนกว่าผู้ถูกกระทำไม่มีที่ยืนทางสังคม
ซึ่ง การบุลลี่ทุกทางนี้ ผู้กระทำ ไม่รู้ไม่ทราบไม่เข้าใจและไม่สนใจ ว่า ถ้าตัวเองโดนบ้าง จะมีความรู้สึกอย่างไร นั่นก็คือ ไม่เจอไม่จำ หรือ ถ้าเจอก็ร้องแรกแหกกระเฌอป่าวประกาศออกไปก่อน ว่าโดน เพื่อ ไม่ให้คนหาต้นเหตุ เพราะ สังคมทุกวันนี้ เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ไม่มีการแก้ไขต้นเหตุ แก้ไขกันแต่ปลายเหตุ แล้วเอามาอวดกัน
เครดิตภาพ https://www.posttoday.com/politic/report/281329
เครดิตภาพ https://today.line.me/th/pc/article/ไม่หมดจากวงการสักที+คาลิดู+คูลิบาลี+เหยื่อเหยียดผิวรายล่าสุด-arEE7n
**Hate speech**
วาจา ที่สร้างความเกลียดชัง ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ในรูปแบบของถ้อยคำเท่านั้น แต่อาจมาจาก ภาพวาดการ์ตูนล้อเลียน ภาพถ่าย คลิปวิดีโอ บทกวี คำให้สัมภาษณ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ถูกตัดทอนเนื้อหามาอย่างจงใจ ฯลฯ สรุปแล้วโดยรวมหมายความว่า **การกระทำที่สร้างความเกลียดชัง**
เจตนาของการสื่อสารในเชิง Hate Speech จะต้องเป็นการแสดงความเกลียดชังต่อบุคคล หรือกลุ่มบุคคลอย่างชัดเจน โดยพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ร่วมของกลุ่ม ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว สถานที่เกิด ที่อยู่อาศัย อุดมการณ์ทางการเมือง อาชีพ เป้าหมาย ก็เพื่อ การแบ่งแยกทางสังคม และขจัดคนอีกกลุ่มออกไป
Hate Speech แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ตามความรุนแรงจากน้อยที่สุดไปมากที่สุด คือ
ระดับที่ 1  การตั้งใจแบ่งแยก กีดกัน สร้างความเป็นเขา-เราต่อกลุ่มเป้าหมาย
 
ระดับที่ 2  มีการยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังต่อกลุ่มเป้าหมาย
 
ระดับที่ 3  มีการยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มเป้าหมาย
ใน Talk of the town. ของ Social Media เกี่ยวกับเรื่อง Hate speech ที่เป็น กระแสกันอยู่นั้น เรื่องที่คนสนใจที่สุด คือ เรื่อง การงดชั่วคราวของ บริษัทผู้ผลิตใหญ่ๆ งดการโฆษณาบนFacebook ชั่วคราว
ซึ่งก็มาจากหลายสาเหตุ ในช่วงที่เกิดภาวะไวรัสโควิด-19 นี้ ทำให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำอย่างสูงและแพร่หลายไปทั่วโลก ซึ่ง หนักกว่าวิกฤตครั้งใดๆของโลกที่เกิดขึ้นมาแล้ว และทำให้ บริษัทฯใหญ่ๆที่ทำธุรกิจด้านสินค้าฟุ่มเฟือย ต้องปิดตัวกันไปอย่างมากมาย ทั่วโลก ทำให้คนตกงานเยอะมากที่สุดในประวัติการณ์ มากกว่า วิกฤตการเงินใหญ่ๆที่เคยเกิดขึ้นมาในยุคของทุนนิยมในโลก รวมกันทั้งหมด ซึ่งเรายังไม่เห็นปลายทางของ
ความปลอดโปร่งปลอดภัยสุดๆในยุคโควิด ว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหน
ดังนั้น ทุกองค์กร ก็จะต้อง save ตัวเองให้รอดและดูทีท่าไปด้วย จะให้ไปจ่าย ค่าโฆษณา ตอนที่ มันยังไม่มีแนวชัดเจนในการดำเนินเศรษฐกิจของโลก
เป็นคุณเอง คุณจะจ่ายค่าโฆษณา เหรอ การที่จะไปบอกเขาว่าต้องการจะ save cost ก็กลัวเสียหน้าและน้ำหนักไม่พอ(ในการสร้างภาวะกดดันสัญญาที่ทำขึ้นมากันแล้ว) ต้องหา story มา เพื่อ การเจรจาต่อรอง และให้ Facebook ทำแนวทางให้ดี เป็น new normal ไปด้วย ในช่วงที่หยุดพักนี้ บริษัทฯอื่นๆที่มีขนาดเดียวกัน กับ โค้ก หรือ กลุ่ม
ยูนิลีเวอร์ รวมทั้งบริษัทฯที่มีขนาดรองลงมา ก็เอาอย่างกันมั่ง ทำให้เกิดเป็น Talk of the town เกี่ยวกับเรื่อง Hate speech ตอนเศรษฐกิจดีๆ ไม่เห็นมี คนว่ากล่าว Facebook เลย ไม่ใช่ว่าไม่มี Hate speech มาก่อน
ประจวบกับ การรณรงค์คนผิวสี รุนแรงทั่วโลก ด้วย จึงจับเอาตัวนี้ มาเป็น ข้อได้เปรียบในการเจรจา เพื่อ จะพักโฆษณา ไม่งั้นก็เป็นการผิดสัญญา ซึ่งสัญญาคงไม่มีระบุไว้ เรื่องบรรเทาค่าโฆษณาจากวิกฤตไวรัส(ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิด)
ความหมายของศัพท์ ที่ใช้กันมาก ในปัจจุบัน
โฆษณา