3 ก.ค. 2020 เวลา 11:00 • กีฬา
โกหกต้องโดนแหก : 'จอร์จ โอเลียรี่' โค้ชที่โดนจับโป๊ะว่าปลอมวุฒิ...และแก้ไขมันอย่างลูกผู้ชาย
คุณอาจจะไม่รู้จัก จอร์จ โอเลียรี่ หรอก ... แต่เขาคือโค้ชทีมอเมริกันฟุตบอลที่โดนสื่ออเมริกันลากไส้เล่นงานเรื่องการปลอมแปลงเอกสารสมัครงานเป็นโค้ชทีมมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ด้วยวุฒิปริญญาโทปลอมจากมหาวิทยาลัยที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง
เขาโดนเล่นงานทุกด้าน, เสียหน้า, ครอบครัวได้รับผลกระทบ และแทบไม่มีพื้นที่ในวงการให้อีกต่อไป
ทว่าเมื่อเกิดมาเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ต้องการให้คนจดจำว่าเขาเป็น "ไอ้ขี้โกง" เขาจึงทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายต้องทำนั่นคือการยืดอกรับความจริงและแก้ไขมันด้วยความทุ่มเทที่กว่าจะสำเร็จได้ต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปีเพื่อลบล้างมัน
ติดตามเรื่องราวการเปลี่ยนชีวิตจากคนโกหกสู่ชายชราผู้ใช้ชีวิตบั้นปลายเยี่ยงตำนานได้ที่นี่
วันรับสมัครงาน
มหาวิทยาลัยนอเทรอดามเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนในสหรัฐอเมริกา รัฐอินเดียนา และก่อตั้งมายาวนานตั้งแต่ปี 1842 และปัจจุบันถูกจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 19 ของประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
Photo : University of Notre Dame Archives | Wikipedia
อย่างไรก็ตามไม่ใช่เรื่องวิชาการเท่านั้นที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้โดดเด่นพวกเขามีทีมกีฬาที่ชื่อ "ไฟติ้ง ไอริช" โดยส่งทีมเข้าเเข่งขันถึง 25 ชนิดกีฬา และกีฬาที่พวกเขาเก่งกาจที่สุดคือ อเมริกันฟุตบอล ที่ทีม "ไฟติ้ง ไอริช" คว้าแชมป์ระดับประเทศมาเเล้วถึง 11 ครั้ง
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในช่วงปี 2000-2001 ของ "นอเทรอดาม ไฟติ้ง ไอริช" ต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความตกต่ำ เพราะหลังจากหมดยุคของโค้ชที่ชื่อว่า ลู โฮลท์ซ ที่พาทีมชนะ 100 แมตช์และคว้าแชมป์ได้ถึง 2 ครั้ง ไฟติ้งไอริช กลับถอยหลังลงคลอง โดยเฉพาะในยุคของ บ็อบ เดวี่ ที่เข้ามาสานงานต่อที่สถิติแพ้ชนะแทบจะครึ่งๆไม่มีแชมป์ใดติดไม้ติดมือเลย
ดังนั้นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงจำเป็นจะต้องมาถึงเมื่อทางมหาวิทยาลัยไม่ต้องการให้ทีม ไฟติ้ง ไอริช ที่เป็นตัวชูโรงของสถานศึกษาตกต่ำยาวนานพวกเขาจึงยกเลิกสัญญา บ็อบ เดวี่ และเล็งไปที่ใครสักคนที่สามารถเข้ามาทำงานและพาทีมติดเครื่องและเข้าเกียร์หน้าเดินหน้าเข้าสู่ความสำเร็จได้ทันที
"โค้ชของทีมอเมริกันฟุตบอลระดับมหาวิทยาลับทุกคนล้วนแต่ต้องการงานที่นอเทรอดามทั้งนั้น นี่คืองานที่ใครหลายคนอยากจะได้มัน" จอร์จ กอดซี่ย์ ควอเตอร์แบ็คของ ไฟติ้ง ไอริช ในช่วงเวลาดังกล่าวฝากถึงว่าที่เจ้านายคนใหม่ของเขา
สำหรับสหรัฐอเมริกานั้น อเมริกันฟุตบอลในะระดับมหาวิทยาลัยถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ยอดเข้าชมในสนามบางนัดมากกว่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีกหรือบุนเดสลีก้าด้วยซ้ำไป ดังนั้นบอร์ดบริหารของนอเทรอดาม จึงเล็งไปที่โค้ชเบอร์ใหญ่ที่เคยทำทีมระดับ NFL มาเเล้วอย่าง สตีฟ มาริอุชชี่ จาก ซานฟรานซิสโก้ โฟร์ตี้ไนเนอร์ส และโค้ชระดับหัวแถวของเกมระดับมหาวิทยาลัยอย่าง บ็อบ สตู๊ปส์ ที่เคยทำงานกับ โอกลาโฮมา ซูนเนอร์ส
อย่างไรก็ตามมีชายคนหนึ่งที่อยากได้งานนี้มากๆ คนๆ นั้นคือ จอร์จ โอเลียรี่ โค้ชประวัติศาสตร์จากทีมมหาวิทยาลัย จอร์เจีย เทค หลังจากพาทีมเข้าไปแข่งในศึกชิงแชมป์มหาวิทยาลัยของอเมริกาเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี
โอเลียรี่ ยื่นใบสมัครเเละถูกผู้บริหารของ นอเทรอดาม เรียกตัวเข้ามาสัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางและทัศนคติการทำทีม ซึ่งตัวของ โอเลียรี่ เตรียมการมาอย่างดีด้วยการยื่นโปร์ไฟล์สวยหรูตั้งแต่การเป็นนักกีฬาในระดับมหาวิทยาลัยและผลงานการเป็นโค้ชที่ผ่านๆ มา เหนือสิ่งอื่นใดแสดงความต้องการงานนี้มากๆ ด้วยการบอกว่าการได้เป็นโค้ชของ นอเทรอดาม ไฟติ้ง ไอริช คืองานในฝันที่เขาต้องการมากที่สุดเทียบเท่ากับการได้คุมทีมระดับ NFL เลยทีเดียว
ประจวบเหมาะกับโค้ชที่เป็นตัวเลือกก่อนหน้าเขาประกาศปฎิเสธความสนใจที่เข้ามาทำงานกับ ไฟติ้ง ไอริช จึงทำให้ท้ายที่สุด จอร์จ โอเลียรี่ ก็ได้รับตำแหน่งเฮดโค้ชของทีมสำหรับฤดูกาล 2000-01
"ผมมาที่นี่เพื่อพาพวกคุณกลับไปยังจุดที่ต้องการจะอยู่และก้าวหน้าไปให้ไกลที่สุด นั่นคือการเป็นแชมป์ระดับประเทศ" โอเลียรี่ กล่าวหลังจากชนะใจในการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย และตัวเขาเองได้ค่าเหนื่อยถึงปี 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าตอนที่อยู่กับ จอร์เจีย เทค ถึง 4 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว
นอเทรอดาม ไฟติ้ง ไอริช แสดงความต้อนรับโค้ชคนใหม่ พวกเขาโล่งอกที่ภารกิจหาผู้นำสำเร็จเนื่องจาก การแข่งขันในฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเริ่มขึ้น และการปิดดีลนี้สำเร็จลุล่วงภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
ทีมมีความหวัง
ขณะที่ ไฟติ้ง ไอริช มองถึงศึกฤดูกาลใหม่โดยตัวของ โอเลียรี่ เริ่มจัดงานประชุมทีมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ เขาต้องการจะถ่ายทอดแนวทาง, ทัศนคติ และสไตล์การเล่นของทีมในยุคของเขา เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกันเเละช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อทวงความยิ่งใหญ่คืนมา
Photo : www.sfgate.com
ผู้บริหาร, ผู้เล่น และแฟนๆ ของทีม ต่างล้วนดีใจกับความหวังใหม่ที่จะเกิดขึ้น ทุกคนรู้ดีว่าช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นจะกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพวกเขาเพิ่งเริ่มฝันทุกอย่างก็สะดุดลงเมื่อ โอเลียรี่ คุมทีมซ้อมได้แค่ 5 วันและยังไม่ทันได้ลงสนามแข่งแบบทางการเลยสักนัดเขาก็ประกาศลาออก ท่ามกลางความช็อคของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ... ยกเว้นคนแรกที่รู้เรื่องนี้คือ เควิน ไวท์ ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยชายคนเดียวที่ได้คุยกับ โอเลียรี่ ก่อนที่เขาจะเซ็นสัญญาเข้ามาคุมทีม
ทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ... การที่ทีมๆ หนึ่งต้องการโค้ชมากๆ กลับเอาโค้ชที่เพิ่งแต่งตั้งได้ไม่ถึง 5 วันออกต้องมีเหตุผลแน่
ซึ่งเหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว ... มันเกิดจากความรีบของผู้อำนวยการด้านกีฬาอย่าง ไวท์ เอง ที่มัวแต่โมโหกับผลงานของ บ็อบ เดวี่ โค้ชคนเก่าที่เพิ่งออกไป โดยที่ไม่ได้เตรียมพร้อมถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ดีก่อน ดังนั้นด้วยเวลาที่กระชั้นชิดเขาจึงเสียท่าให้กับ โอเลียรี่ แบบไม่ทันรู้ตัว
Chicago Tribune สื่อชื่อดังระบุว่า ไวท์ เปิดประวัติการทำงานและใบสมัครงานของ โอเลียรี่ แบบผ่านๆ และเชื่อว่า ไวท์ นั้นไปสะดุดกับคำจำกัดความของ โอเลียรี่ สมัยที่อยู่ จอร์เจีย เทค ที่ว่า "เป็นโค้ชที่ตรงไปตรงมาซื่อสัตย์และยุติธรรม" และอีกสิ่งหนึ่งคือถ้วยแชมป์ที่เขาเคยทำได้ ดังนั้นการตัดสินใจก็จบลงแค่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่จริงเเล้วสิ่งที่ปรากฎลงบนเรซูเม่ของ โอเลียรี่ มีหลายอย่างที่ไม่ตรงกับความจริง
ในเรซูเม่ โอเลียรี่ บอกว่าเขาเคยเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลของมหาวิทยาลัย นิว แฮมป์เชียร์ และลงเล่นในระดับมหาวิทยาลัยมาถึง 3 ปี ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เขาเรียนที่นั่นแค่ 2 ปีและไม่เคยลงเเข่งขันเลยแม้แต่นัดเดียว
"ใช่ (กับการโกหกเรื่องนี้) ผมเข้าเรียนที่ นิวแฮมป์เชียร์ และไม่ผ่านการคัดตัวช่วงปรีซีซั่น ผมไม่มีโอกาสได้เล่นในทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัยในตอนนั้น" จอร์จ โอเลียรี่ พยักหน้ารับความจริงในการให้สัมภาษณ์กับช่อง ESPN สื่อใหญ่ระดับโลก
"เขายอมรับความผิดของเขาเเล้วสำหรับเอกสารประกอบการสมัครงานของเขา ... ผมเข้าใจว่าความไม่ถูกต้องเหล่านี้คือพื้นฐานของมนุษย์ แต่การทำเช่นนี้ถือว่าทำลายความไว้วางใจ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันอีกต่อไปได้" ไวท์ ชายผู้รับและเชือด โอเลียรี่ กล่าว
จับให้มั่นคั้นให้ตาย
เมื่อข่าวคราวการ "โกงโดยตั้งใจ" ของ จอร์จ โอเลียรี่ ดังขึ้นก็มีการขุดประวัติของเขาอีกมากมาย สื่ออเมริกันขยี้ข่าวเรื่องนี้กันแทบทุกสำนัก มีการขุดเรื่องราวในอดีตของ โอเลียรี่ จนพรุนและกลายยิ่งขุดก็ยิ่งเจอความตั้งใจโกงของเขาอีกหลายข้อเลยทีเดียว โดยเฉพาะในใบประวัติที่เขาเขียนว่า "จบปริญญาโทจากคณะคณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค" (NYU - Stony Brook University) ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเรื่องที่เขาโกหกเพื่อให้ได้งานโค้ชเช่นกัน เพราะสถาบันการศึกษาดังกล่าว "ไม่มีจริง"
Photo : www.mercurynews.com
"ไม่มีใครตรวจสอบภูมิหลังกันมากเท่าไหร่หรอกในระดับโค้ชมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่เรื่องของ โอเลียรี่ เท่านั้นแต่มันเป็นแทบทุกมหาวิทยาลัยในประเทศ พวกเขายึดถือกันเรื่องของคำพูดและไว้วางใจกับสิ่งนั้น นั่นคือเหตุผลที่เหล่าผู้บริหารเลือกจ่ายเงินจ้างโค้ชคนที่เขาอยากได้ พวกเขาอยากรู้แค่ว่าที่สุดเเล้ว 'ถ้าผมจ้างคุณ ผมจะได้อะไรจากคุณบ้าง?' เท่านั้นเอง" ผู้อำนวยการกองการกีฬาคนหนึ่งของ I-A ให้ความเห็นกับเรื่องดังกล่าว
แทนที่จะได้ความหวังใหม่ เรื่องดังกล่าวกลับทำให้ นอเทรอดาม ขายหน้าจากการผิดพลาดในเรื่องที่ไม่ควรผิด และงานโค้ชของทีม ไฟติ้ง ไอริช กลายเป็นงานเผือกร้อนที่ไม่ใครอยากเข้ามารับงานนี้ ...
ทุกฝ่ายรวมกันจับให้มั่นคั้นให้ตายและสุดท้าย จอร์จ โอเลียรี ตัดสินใจจบเรื่องทุกอย่าง ด้วยการตั้งโต๊ะให้สัมภาษณ์ทุกเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับ EPSN ซึ่งเนื้อความส่วนใหญ่เป็นการยอมรับความผิดทุกกรณีโดยไม่มีบ่ายเบี่ยง เขายอมรับว่าเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ ...
"มันคือสิ่งที่ผมไม่ควรทำมันเลย มัน (การโกหก) อยู่กับผมมา 22 ปีเเล้ว และมันเป็นเรื่องที่ผมควรจะเสียใจที่มันอยู่ในเล่มประวัติของผม" เขากล่าวเริ่ม "จริงๆ เเล้วผมไม่เคยมี เรซูเม่ ครั้งแรกที่ผมได้งานในปี 1980 ผมได้งานเป็นโค้ชของทีม 'Syracuse Orangemen' ผมไม่ได้ไปสมัคร แฟรงค์ มาโลนี่ย์ ผู้บริหารของทีมโทรมาหาผมและถามว่าผมอยากจะได้งานเป็นโค้ชไหม ไม่ได้มีการซักประวัติอะไรเลย"
ไมค์ ทิริโก้ ผู้สัมภาษณ์รีบจิ้มคำถามสำคัญทันที "แสดงว่าคุณไปเติมมันเองหลังจากได้ทำงานใช่ไหม?" จอร์จ จึงยอมรับเต็มปากว่า "ใช่เเล้วผมทำมันเอง ... ไม่มีใครที่ ซีเรคิวส์ และ จอร์เจีย เทค รู้เลยแม้แต่คนเดียวว่าสิ่งที่อยู่ในกระดาษนั้นไม่ใช่ความจริง"
Photo : www.nbcsports.com
สำหรับ จอร์จ โอเลียรี่ เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นความผิด แต่มันเกิดจากบาปบริสุทธิ์ที่เขาคิดว่าสิ่งที่เขาเขียนลงไปจะไม่ทำร้ายใคร เพราะส่วนใหญ่แล้วในการสัมภาษณ์งานจะเน้นกันที่เรื่องของผลงานและแนวคิดมากกว่าการเปิดอ่านประวัติอะไรแบบนี้
อย่างไรก็ตามเขายังเป็นลูกผู้ชายมากพอ เพราะทันทีที่ เควิน ไวท์ บอร์ดบริหารด้านกีฬาของ นอเทรอดามถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ยอมรับเองและตามด้วยการยืนใบลาออกด้วยตัวเองทันที
"ผมพูดกับเควินว่า 'เควิน คุณฟังผมดีๆ อย่างเเรกเลยผมไม่อยากทำให้มหาวิทยาลัยต้องลำบากใจ และต้องสูญเสียความน่าเชื่อถือไปมากกว่า' แม้เขาจะพยายามปกป้องผมแต่ผมบอกว่า ผมจะจัดการลาออกเอง"
ชั่วโมงลบล้างบาป
ว่าการว่าบุญนั้นไม่อาจลบล้างบาปที่ก่อไว้ได้ฉันใด กรรมดีก็ไม่อาจจะลบล้างกรรมชั่วได้ฉันนั้น จอร์จ โอเลียรี่ เกิดนรกขึ้นในใจ เขานั่งสำนึกทุกอย่างในคืนสุดท้ายที่โรงเเรมก่อนจะบินกลับบ้านที่แอตแลนต้า สายแรกที่เขากดโทรศัพท์หาคือภรรยาของเขาและเล่าถึงสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น
Photo : www.si.com
หลังจากที่เขาโทรหาภรรยาได้ไม่นาน โทรศัพท์ของเขาก็มีสายโทรเข้าแบบไม่หยุด มันเป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องโกหกของเขาได้เผยแพร่ไปยังสื่อต่างๆ แล้ว ตอนนี้ทั่วประเทศรับรู้กับความผิดนั้น รวมถึงทุกคนในครอบครัวเขาโดยเฉพาะลูกๆ ด้วย
"ผมช็อคนะ ผมว่าผมเป็นคนที่ทำงานหนักมาตลอดชีวิต ใช้เวลาทำงาน 16 ชั่วโมงต่อ 1 วัน และเมื่อสิ่งนี้ถูกพรากไปผมก็ได้แต่นั่งลงและคิดว่าต่อจากนี้ชีวิตของเราจะทำอะไรต่อ? ผมไม่รู้ว่าเมื่อเรื่องมันใหญ่ขนาดนี้ฟุตบอลจะเหลือพื้นที่ให้กับคนอย่างผมอีกหรือเปล่า"
"สิ่งที่ผมรู้คือผมพร้อมจะขอโทษและพร้อมจะจ่ายกับบทเรียนเเสนเเพงครั้งนี้ ผมพร้อมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำด้วยตนเองและจะปัดฝุ่นเพื่อลุกขึ้นยืนต่อ สิ่งที่กังวลใจที่สุดคือครอบครัวพวกเขาจะรับได้ไหมกับเรื่องนี้...แต่ มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ผมแค่ต้องลุกจากจุดบาปชีวิตครั้งนี้"
ผู้สัมภาษณ์ถามเพื่อขยายอีกครั้ง "นั่นหมายถึงว่าคุณจะกลับไปเป็นโค้ชอีกครั้งหนึ่งใช่หรือเปล่า?"
บนความผิดที่เคยก่อ หากไม่ใช่คนที่มีสภาพจิตใจแข็งแกร่ง คงถอดใจไปแล้ว ยิ่งสำหรับชายวัย 55 ปีนั้นการวางมือเสียตั้งแต่ตอนนี้และปล่อยให้เรื่องเงียบไปตามเวลา โอเลียรี ก็สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ยอมให้มันจบแบบนั้น แม้เขาจะต้องกลายเป็นคนที่โดนแฟนทีมอื่นแซวและโดนนักข่าวตั้งฉายาว่า "จอมโกหก" แต่เขาขอลองสู้อีกสักครั้ง และจะทำให้ทุกคนเปลี่ยนภาพจำที่มีต่อเขา ไม่ใช่ไอ้ขี้โกง แต่คือชายผู้รักอเมริกันฟุตบอลและยอมทำทุกอย่างเพื่อมัน
"อืม ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ แต่ผมอยากจะเป็นโค้ชอีกครั้ง ผมไม่ใช่คนที่จะใช้เวลานั่งจับเจ่าในช่วงวัยชราตัดพ้อกับความบัดซบของชีวิต ผมรู้แก่ใจผมทำเรื่องที่ผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัย แต่อยากจะได้โอกาสอีกสักครั้งและแสดงให้เห็นความแท้จริงแล้วคนอย่างผมมันเป็นอย่างไร และสิ่งไหนบ้างที่ผมทำได้"
สิ่งที่ลูกผู้ชายทำเมื่อถูกจดจำในฐานะจอมโกหก
หลังจากตกงาน 1 ปีเต็ม โอเลียรี่ ได้งานเป็นโค้ชตำแหน่งไลน์แบ็คเกอร์ในเกมรับของทีม มินเนโซต้า ไวกิ้งส์ ทีมอเมริกันฟุตบอลระดับ NFL ส่วนคนที่ให้โอกาสเขาคือเฮดโค้ชที่ชื่อว่า ไมค์ ไทซ์ อดีตเพื่อนร่วมทีมของ โอเลียรี่ สมัยที่เล่นอเมริกันฟุตบอลไฮสคูลในโรงเรียน เซนทรัล อิสลิป ในยุค 70's
Photo : www.ucf.edu
ไม่มีเรซูเม่ ไม่มีการยืนประวัติทำงานใดทั้งสิ้นสำหรับการครั้งนี้ นี่คืองานที่พิสูจน์ว่า โอเลียรี่ อยากจะลบล้างคำผิดตามที่เขาพูดจริงหรือไม่ ตัวของโอเลียรี่เองพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้น้ำใจของเพื่อนต้องเสียเปล่า เขายังเป็นชายแก่ที่ใช้เวลานอนแค่วันละ 3-4 ชั่วโมงและใช้เวลาที่เหลือคิดเเต่เรื่องฟุตบอลเหมือนเคย
ผลจากการทำงานหนักทำให้ เขาได้ขยับตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าโค้ชทีมรับในปีต่อมา หลังจากที่ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงเกมรับของ ไวกิ้ง ให้ดีขึ้นแบบสวรรค์กับนรก จากทีมที่เล่นเกมรับได้เป็นอันดับที่ 30 ของลีกในฤดูกาล 2001 กลายเป็นทีมที่มีความเหนียวแน่นระดับท็อป 10 ของ NFL เพียงข้ามปี
แม้ทาง ไวกิ้งส์ อยากจะให้เขารับตำแหน่งเดิมต่อไป แต่ โอเลียรี มีความต้องการจะเป็นเฮดโค้ชอีกครั้ง และหนนี้เขาได้รับการติดต่อจากมหาวิทยาลัย เซนทรัล ฟลอริด้า ที่มีทีมฟุตบอลชื่อว่า "ยูซีเอฟ ไนท์ส" และในช่วงปีนั้น (ปี 2004) พวกเขาคือทีมที่กำลังตกต่ำและอยู่ในสภาพที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ... แน่นอนมันคืองานยาก แต่การที่เขาจะเป็นที่จดจำในฐานะฮีโร่ได้ จอร์จ โอเลียรี่ ต้องการงานที่ยากเพื่พิสูจน์ตัวเองเช่นนี้
แม้ ยูซีเอฟ ไนท์ส จะไม่ได้ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาและต้องเจอกับเรื่องเพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจากการที่นักกีฬาของทีมเสียชีวิตระหว่างซ้อม จนศาลสั่งให้ทีมต้องจ่ายเงินเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นเงิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่ โอเลียรี ค่อยๆ เปลี่ยนทุกอย่างทีละเล็กทีละน้อย เขาของบประมาณให้มหาวิทนาลัยปรับปรุงสนามแข่งโดยขยายความจุเป็น 45,000 ที่นั่ง และของบสร้างศูนย์ฝึกซ้อมที่สะดวกและทันสมัยเพื่อพัฒนาการที่ยั่งยืน และที่สำคัญที่สุดเขาไม่ได้เป็นแค่โค้ชกีฬาเท่านั้น แต่เขายังทำให้เด็กๆ ในทีมกลายเป็นคนที่รับผิดชอบกับหน้าที่ของตัวเองด้วย
Photo : sports.yahoo.com
"จอร์จช่วยให้นักเรียนที่เป็นนักกีฬาของเราก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นทั้งในสนามและในห้องเรียน เขาสอนให้เด็กมองความสำเร็จในอนาคตด้วย" เเกรนท์ เฮสตัน โฆษกของทางมหาวิทยาลัยกล่าวชื่นชมในสิ่งที่ จอร์จ โอเลียรี่ เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีม
และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือเมื่อการเป็นโค้ชต้องวัดกันที่ถ้วนแชมป์ โอเลียรี่ ก็สามารถพาทีม ยูซีเอฟ ไนท์ส คว้าแชมป์รายการ เฟียสต้า โบวล์ ในปี 2013 ในตอนนั้นเขาอายุ 68 ปี ... และนั่นคือความสำเร็จยิ่งใหญ่ตลอดกาลของมหาวิทยาลัยแห่งนี้และทำให้เขากลายเป็นตำนาน ลบล้างความผิดพลาดที่เคยทำเมื่อครั้งอดีตได้อย่างหมดสิ้น
แก่อย่างมีความสุข
ในวันเกิดฉลองอายุ 70 ปี จอร์จ โอเลียรี เดินทางกลับมาที่บ้านของเขาเพื่ออยู่กับครอบครัว "ชารอน" ภรรยาของ โอเลียรี่ เล่าให้ฟังว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่สามีของเธอมีเวลาฉลองวันเกิดของตัวเอง
Photo : www.thecardinalconnect.com
โอเลียรี ค่อนข้างทำตัวไม่ถูก เขาถาม ชารอน ว่า "วันเกิดนี่ผมต้องทำอะไรบ้างนะ?" ชารอน เปิดใจกับ Orlando Sentinel ว่า "เขาเป็นแบบนี้แหละ 48 ปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยอยู่ฉลองวันเกิดของฉันเลยสักครั้ง"
โอเลียรี ในวัย 70 ปี ขำก๊ากเมื่อภรรยาเหน็บเขาให้สะดุ้ง เสียงหัวเราะของเขาเหมือนกับชายที่กำลังเพลิดเพลินกับวัยเกษียณ และมันคืออารมณ์ที่เขาไม่เคยเจอ
Photo : www.ucf.edu
"ให้ตายเถอะผมไม่เคยสนุกมากขนาดนี้เลย และในทางเดียวกันผมไม่เคยห่างจาก ห่างจากอเมริกันฟุตบอลได้เกิน 2 นิ้วสักครั้งในชีวิต เพื่อนๆ บางคนของผมเอาเวลาไปตกปลา, ล่าสัตว์ และ ตีกอล์ฟ แต่ขอโทษเหอะสิ่งที่ผมอยากทำในตอนนี้คืออยู่สงบๆ นี่แหละ แล้วพยายามลองเรียนรู้กับความพ่ายแพ้ดูสักครั้ง" โอเลียรี่ กล่าว
"ผมสนุกกับชีวิตวัยเกษียณ ผมไม่เคยตื่นเช้ามาพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ต้องกังวลกับเรื่องของคนอื่นๆ ตอนนี้ผมสนุกกับการโดดขึ้นเจ็ตสกี และพาหมาไปเดินเล่น มันเยี่ยมมากไม่มีใครรบกวนผมเลย เพราะใครจะเดินเข้ามาก็เจอหมาผมเห่าใส่เสียหลักหมด" ชายแก่ยังคงเล่าไปหัวเราะไป
Photo : KnightNews.com
หากถามว่าทำไมเขาจึงมีความสุขนักกับชีวิตในเวลานี้ คำตอบคือเขากล้ายอมรับความจริง กล้าพูดถึงสิ่งที่ตัวเองผิดพลาดโดยไม่มีหมกเม็ด และสำคัญที่สุุดคือเขาเผชิญหน้าแก้ไขมันด้วยการแสดงออกให้ทุกคนเห็นว่าหากคุณให้โอกาส คนที่คุณคิดว่าเลวที่สุดก็กลายเป็นคนๆ เดียวกันกับที่มหาวิทยาลัย เซนทรัล ฟลอริด้า จะสร้างรูปปั้นเกียรติยศให้ได้
อย่างไรก็ตาม "ก้าวแรกยากที่สุด" ตราบที่ใครคนหนึ่งไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิด หนำซ้ำยังคิดว่าตัวเองทำถูก เขาจะต้องกลายเป็นคนที่หนีความจริงไปตลอด และเดิมพันได้เลยว่าในบั้นปลายชีวิตเขาจะไม่สามารถมองกลับไปยังอดีตและหัวเราะไปกับมันได้อย่างสบายใจเหมือนที่ จอร์จ โอเลียรี่ ทำมันแน่นอน
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา