7 ก.ค. 2020 เวลา 08:51
สาระ ควรทราบ เพื่อคิด ปรับใช้ #30
มาทำความรู้จักกับ PC
Apple ของ สตีฟ จ๊อบส์
Microsoft ของ บิลล์ เกตส์
เครดิตภาพ https://digikong.com/?p=14299 https://www.specnotebook.com/product/apple-macbook-pro-16-core-i9-1tb-pro-5500m-space-gray/ https://www.macthai.com/2014/04/16/samsung-email-target-jobs-death-as-best-opportunity/ https://sites.google.com/site/billgatesbiografia/prawati
ในปัจจุบัน เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งการศึกษาและเทคโนโลยี ต่างๆ เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
คน Gen X ซึ่งจะอยู่ในช่วงอายุ 50-55 ปี ซึ่งจะมีการใช้เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ กัน ประปราย แล้ว ซึ่งมันจะมาบูมใน Gen Y และพัฒนาอย่างรวดเร็วใน Gen Z
โดยจะเริ่มที่PC(Personal Computer) ในตอนแรกที่มี 3 แบรนด์เท่านั้นที่แข่งขันกัน คือ ซีร็อกซ์, แมคอินทอช และ IBM ซึ่งจะแบ่งตลาดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.เพื่อทำงาน
2.เพื่อสันทนาการ
3.เพื่อเสริมบุคคลิก
โดยการทำงาน นั้น ในองค์กรทั้งรัฐและเอกชนจะเริ่มใช้กันก่อน ส่วนบุคคลนั้น จะเริ่มมีแบบตั้งโต๊ะ หรือที่เรียกว่า Desktop ก่อน แล้วจึงพัฒนามาเป็นทรงTower โดยในตอนนั้น PC ที่สามารถพกติดตามตัวได้ จะเรียกว่า Laptop(แล็ปท้อป)จะเริ่มฮิตเมื่อ คน Gen X พ้นวัยเรียนและเริ่มทำงานกันแล้ว
***หมายเหตุ***
**การเขียนบทความนี้ขึ้นมา สินค้าPC ที่กล่าวถึง เป็นสินค้าที่ใช้ในการวางตลาด ไม่ใช่สินค้าทดลองใช้ภายใน หรือ กำลังทดลอง**
เครดิตภาพ http://historysdumpster.blogspot.com/2019/04/the-1972-xerox-alto-worlds-first.html
เครดิตภาพ http://www.ilgiornaletecnologico.it/2018/06/10/il-10-06-1977-apple-mise-in-commercio-il-primo-pc-user-friendly-della-storia/
เครดิตภาพ https://th.wikipedia.org/wiki/ไอบีเอ็มพีซี
**ยุคของการ กำเนิด PC**
การคิดค้น PC ขึ้นมานั้น ก็บอกได้เลย ที่เห็นเป็นรูปธรรมก่อน ก็คือ Xerox เมื่อปี 1972 (2515) มีใช้กันประปรายแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่นิยมกัน ในตอนนั้น การใช้ฮาร์ดแวร์ เพื่อประกอบเป็นเครื่อง ก็ยังไม่มีผู้ผลิตในตลาดอย่าง จริงๆจังๆ ระบบปฏิบัติการ(OS)(Operating System)นั้น ก็ยังไม่มีเฉพาะเจาะจงขึ้นมา ซึ่งในยุคนั้นอาชีพโปรแกรมเมอร์ ส่วนใหญ่เป็นอิสระ และตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมารองรับ
ต่อมาในปี 1976 สตีฟ พอล จ๊อบส์ (Steve Paul Jobs) ชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนีย ร่วมกับ คู่หู ชื่อ สตีฟ วอซเนียก(Steve Wozniak)ชาวอเมริกันเชื้อสายโปแลนด์
โดยเปิดโรงรถที่บ้านของจ๊อบส์ เป็นที่ทำการ ได้จัดตั้ง บริษัท Apple Computer Inc. ต่อมาเมื่อเกิดการขยายตัว ก็ได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์ โดยเครื่อง PC
ของบริษัทแอปเปิลที่เปิดตัวมาครั้งแรกในปี 1977 คือ เครื่อง **Apple II** โดยมี OS เป็นของตัวเองที่ชื่อว่า macOS เป็นสินค้าสร้างชื่อชิ้นแรกของบริษัทแอปเปิลฯ ซึ่ง ก่อนหน้านั้นเคยออก **Apple I** ที่เป็นสินค้าที่ขายไม่ได้ ในปี 1976 ในปี 1984 พวกเขาจึงได้เปิดตัวสินค้า Mcintosh PC ในรุ่น Macintosh 128K, Macintosh 512K โดย
เจาะจงไปที่ งานกราฟฟิค ต่างๆ
ปี 1980 บริษัท IBM(International Business Machines) หรือที่มีฉายาเรียกว่า *บิ๊กบลู* ได้เปิดตัวสินค้า PC ในชื่อ IBM Compatible หรือ IBM Clone เริ่มเปิดตัว
สินค้าในปี 1981 (2524 )โดยมีชื่อรุ่นว่า IBM (รุ่น 5150) ซึ่ง IBM ได้ผลิตฮาร์ดแวร์ และ ใช้ซอฟท์แวร์ของ บริษัท ไมโครซอฟท์ คอร์เปอเรชั่น(Microsoft Corporation)
ไมโครซอฟท์ เป็นบริษัทที่ เกทส์ได้ร่วมหุ้นกันเปิดกับ เพื่อนซี้ตั้งแต่เด็ก และสนใจใน คอมพิวเตอร์มาก เหมือนกัน คือ พอล อัลเลน ในชื่อว่า Q-DOS(Quick and DirtyOperating System)
เครดิตภาพ https://www.youtube.com/watch?v=kWhitoA5FC8
เครดิตภาพ https://www.flickr.com/photos/ozguy89/3739062292
เครดิตภาพ https://www.slideserve.com/nodin/d-isk-o-perating-s-ystem
เครดิตภาพ https://www.freewarefiles.com/Active-NTFS-Reader-for-DOS_program_53884.html
ซึ่งในช่วงแรก OS ที่ IBM ใช้กับสินค้า นั้น จะเป็นของโปรแกรมเมอร์ทั่วไป ช่วงนั้น เกทส์ ยังไม่ได้ออกซอฟท์แวร์ของตัวเอง จึงแนะนำให้ IBM ไปทำสัญญากับ
โปรแกรมเมอร์ที่เกทส์ แนะนำ คือ บริษัท ดิจิทัลรีเสิร์ช โดย แกรี คิลดาลล์ ผู้สร้างระบบปฏิบัติการ CP/M เพื่อจะสืบทราบข้อตกลงที่เปิดผนึกของทีมงานผู้แทนของ IBM
โดย ทีมผู้แทนของIBM ได้คุยกับ โดโรธี ภรรยาของแกรี ซึ่ง ไม่ยอมเซ็นสัญญา เพราะคิดว่า IBM เอาเปรียบเกินไป ในการเปิดผนึกของ *บันทึกความเข้าใจ* หรือ
ที่เราเรียกกันว่า *MOU* (MOU-Memorandum Of Understanding) และ *บันทึกข้อตกลง* ที่เราเรียกกันว่า *MOA* (Memorandum Of Agreement)
เมื่อ ทาง เกทส์ ทราบถึง MOUและMOA ของ IBM ก็ได้ซื้อ Q-DOS ของ ทิม แพทเทอร์สัน แห่งบริษัท ซีแอตเทิล คอมพิวเตอร์ โปรดักส์  ในราคา 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น MS-DOS (MS Disk Operating System) เพื่อขายมันให้กับไอบีเอ็มในราคา 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทางเกทส์ก็ได้พัฒนา MS-DOS เรื่อยมา จนถึงเวอร์ขั่นสุดท้ายที่ใช้คู่กับ วินโดวส์ 3.0, 3.1, 3.11, Win95แล้วจึงเลิกใช้ MS-DOS
Q-DOS ของ ทิม แพทเทอร์สัน นั้น เป็นการลอกเลียนเป็นส่วนใหญ่มาต่อยอดนิดหน่อย จากระบบ CP/M ของ แกรี คิลดาลล์ ซึ่งทางเกทส์ ก็แนะนำให้ IBM ใช้ระบบ
CP/M ในเครื่องเพื่อขาย
โดยให้ IBM ใช้ควบคู่ไปกับ MS-DOS แล้วให้ผู้บริโภคเลือกระบบปฏิบัติการ เมื่อแกรี ได้รับเช่นนี้ ก็พอใจ และรับเงิน จากเกทส์ เป็นค่าลิขสิทธ์ ในการลอกเลียน CP/M เพื่อไม่ให้มีการฟ้องกลับ
windows 3.1 เครดิตภาพ https://sites.google.com/a/thantong.ac.th/rabb-ptibati-kar-window-windows-412/windows
ms-office 3.0 for win 3.1 เครดิตภาพ https://www.worthpoint.com/worthopedia/microsoft-ms-office-0-standard-1893795255
iMac first เครดิตภาพ https://www.youtube.com/watch?v=obhHMbnDpNk
เกทส์ ก็ได้พัฒนาโปรแกรม ตัวเอง จนออก ระบบปฏิบัติการหรือOS ตัวใหม่ในชื่อ วินโดวส์ โดยเวอร์ชั่นแรก คือ วินโดวส์1.0 จวบจนถึง วินโดวส์3.0(1989) เกทส์ถึงปล่อย
ออกมาเต็มตัว ใช้ง่ายกว่าการใช้งาน MS-DOS โดยมี รูปแบบที่คล้ายกับ macOS ของ จ๊อบส์ นั่นคือ การใช้ไอค่อนที่เป็นรูป แทนการพิมพ์เหมือนคำสั่ง MS-DOS
ทางบริษัท Microsoft ได้พัฒนา software ต่างๆ ที่เป็น Application Software อย่างเช่น office suite,Microsoft office เพื่อมาใช้งานกันจริงๆจังๆ บนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ซึ่งเป็นอันนิยมกันมากที่สุดในโลก ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ ระบบ Multi tasking (หลายหน้าต่างบนจอ) และ ที่เหนืออื่นใด(จนทำให้ไมโครซอฟท์เติบโตมาก) คือ
เกทส์ พยายามหลบเลี่ยงข้อความในการเซ็นสัญญากับ IBM ในด้านการขายOS ให้กับ IBM เจ้าเดียว ซึ่ง IBM ก็ไม่ได้ทำรูปแบบสัญญาเต็มที่ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบ ทั้งๆที่เป็นนัยยะสำคัญ ของ PC
Apple logo เครดิตภาพ http://www.graphicart-news.com/interview-with-rob-janoff-the-designer-of-the-original-apple-logo/
**โลโก้ ของ Apples**
โลโก้ ของ แบรนด์ แมคอินทอช นั้น จะเป็นรูป *แอปเปิลแหว่งรอยกัดกิน* เพื่อตอกย้ำการริเริ่มก่อนของ สตีฟ จ๊อบส์ ผู้คิดค้น PC ขึ้นมาก่อน โดยการออกแบบโลโก้ นี้
มีแนวคิดมาจาก 3 ประการ คือ
1 อดัมส์ ผู้เป็น มนุษย์ คนแรก แอบกินผลแอปเปิล จน เศษแอปเปิลติดคอ จนกลาย เป็นลูกกระเดือก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Adam's apple
2 การปลูกต้นแอปเปิลทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อ ส่งเสริมการเก็บผลขายเพิ่มรายได้ให้แก่ประชากรในยุคแรกเริ่มของการตั้งประเทศ
3 การค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงของโลก โดย เซอร์ ไอแซค นิวตัน ที่ไปนอน ใต้ต้นแอปเปิล แล้วผลแอปเปิลหล่นมาโดนหัว จึงคิดกฎแรงโน้มถ่วงขึ้นมาได้
Windows logo เครดิตภาพ https://www.versionmuseum.com/history-of/microsoft-windows
**โลโก้ ของ Microsoft**
เป็นรูปหน้าต่าง 4 บาน ซึ่งหมายถึงจุดเด่นของวินโดวส์ คือ ระบบ Multi tasking (หลายหน้าต่างบนจอ)
ในตลาดPC นั้น ก็มีบริษัทใหญ่ๆในอเมริกา อย่างเช่น ASUS, Compaq, HP, Dell ก็เริ่มทะยอยผลิตฮาร์ดแวร์PC ของตนออกมาตามลำดับ สามารถใช้ระบบปฏิบัติการ
ได้หลากหลาย โดยเฉพาะ สามารถใช้ MS-DOS และ วินโดวส์ ของบริษัทไมโครซอฟท์ ได้ และบางบริษัทก็จับมือกับเกทส์ในการให้ระบบปฏิบัติการที่ควบคู่ไปในฮาร์ดแวร์
และในความที่ต่างบริษัทฯ ต่างก็ทำตลาดกัน นั้น ก็สามารถทำให้ ระบบ OS ของ ไมโครซอฟท์ อย่าง MS-DOS และวินโดวส์ เติบโตตามไปด้วย
ต่างจาก Apple ของ จ๊อบส์ ที่ต้องใช้ ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ของแอปเปิล ซึ่งมีราคาค่อนข้างแพง เพราะ PC โดยทั่วไปนั้นก็ต้องไปตามกลไกตลาดของPC ในประเทศอเมริกา จึงทำให้ราคาถูกลงกว่าเครื่องของแอปเปิล เป็นอย่างมาก ถึงแม้ ต้องซื้อ แยกระบบปฏิบัติการเอง จึงทำให้คนหันไปนิยม PC ธรรมดา มากกว่า Apple
Jobs and Wozniak เครดิตภาพ https://tech.mthai.com/mobile-tablet/10876.html
Gates and Allen เครดิตภาพ https://www.geekwire.com/2019/bill-gates-patched-things-paul-allen-hoped-travel-world-microsoft-co-founder/
ต่อมา เมื่อ ในอเมริกา มีการแข่งขันตลาด PC กันสูง ก็เลย ขยายตลาด ออกนอกอเมริกาไปทั่วโลก โดยจ้างการผลิตฮาร์ดแวร์ จากประเทศไต้หวัน ซึ่งทำให้ในยุคปี
1994 - 2000 มีบริษัทในไต้หวันเปิดตัวกันมากมาย และสามารถต่อยอดเทคโนโลยีจากการรับจ้างผลิตฮาร์ดแวร์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาด PC ของอเมริกา โดยได้ know how มาจากการรับจ้างผลิต
เรามาดูกันว่า มีบริษัทอะไรบ้างเรียงตามลำดับ Tatung (ต้าถุง), Mitac (ไมแทค), Fujitsu (ฟูจิตสึ), Acer (เอเซอร์) ทำการผลิต PC และ สแปร์พาร์ทส์(spare parts)
ในเครื่องหมายสินค้าของตน รวมถึงรับจ้างการผลิตจำนวนมากๆ เพื่อ ให้ไปทำสินค้าในเครื่องหมายสินค้าอื่น ด้วย อย่าง สินค้า OEM(Original Equipment Manufacturer)ซึ่งจะมีดีไซน์ที่เหมือนๆ กัน เอาไปประกอบเครื่อง PC ในแบรนด์ของตนเองขาย หรือ ถ้ามีทุนมาก จะสั่งเป็น ODM(Original Design Manufacturer) ซึ่งต้องพอเพียงในสายการผลิตถึงจะมีแบบของตนเองได้
เราจะเห็นได้ว่า ในยุค 1994-2000 นั้น มีบริษัทในไทยที่สั่งเป็น ODM มาทำ แบรนด์ของตน เช่น Tavon (ถาวร) , Atec (เอเทค) , SVOA (เอสวีโอเอ) , Powell (โพเวล) และจะเห็น PC มากมาย ที่มีหลากแบรนด์มาก จากการสั่งสแปร์พาร์ทส์ มาประกอบกันเองในยุคนั้นโดยการสั่งเป็น OEM
หรือ แม้แต่ บริษัทใหญ่ๆ ในญี่ปุ่น ก็จ้างไต้หวันผลิตเป็น ODM โดยการทำตลาดกันเองของบริษัทฯ เช่น Toshiba (โตชิบา), SHARP (ชาร์ป), SONY (โซนี่), HITACHI (ฮิตาชิ), NEC (เอ็น อี ซี), MITSUBISHI (มิตซูบิชิ)ฯลฯ
รับจ้างผลิต เครดิตภาพ https://droidsans.com/samsung-smart-devices-iot/ https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000041456 https://www.thaiscooter.com/forums/showthread.php?t=594175#.Xv9xoqEzaUk https://rod.kaidee.com/product-342004139
การจ้างผลิต นั้น เป็นที่นิยมกันมาก เพราะ จะได้ลดค่าโลจิสติคส์ ซึ่งแม้แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ มาสด้าก็จ้างไต้หวันผลิตรุ่น มาสด้า1000 จวบจนย้ายฐานการจ้างผลิตไปที่เกาหลีใต้ก็ผลิตรุ่น มาสด้า1000 ไปจนถึง มาสด้าแฟมิเลียกระบะ โดยรถยนต์ที่เกาหลีทำในตอนแรกก็มาจาก skill รับจ้างผลิต มาสด้า1000 นี่แหละ ใช้ชื่อว่า Kiamaster
เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่เกาหลีใต้ผลิตเอง ซึ่งจะส่งไปขายยุโรปตะวันออก จึงใช้พวงมาลัยด้านซ้าย และที่เกาหลีใต้ก็ใช้พวงมาลัยด้านซ้าย ส่วนใหญ่ จึงผลิตแต่ พวงมาลัยด้านซ้าย ส่วนในประเทศไทย ก็มีนำเข้ามาทำตลาดกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ รถรุ่นนี้พวงมาลัยด้านซ้าย ตอนผู้เขียนยังเป็นเด็ก มีให้เห็นแต่ก็ไม่เป็นที่นิยม
เกาหลีใต้ นั้น รับจ้างผลิต หลากหลาย อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมPC อุตสาหกรรมเครื่องมือสื่อสาร อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า
ซึ่งเกาหลีใต้ หลังจากรับจ้างผลิต OEM, ODM แล้ว ก็เอาเทคโนโลยีและknow how เหล่านั้นมาต่อยอดผลิตสินค้าขายเอง อย่าง อุตสาหกรรม PC เครื่องใช้ไฟฟ้า เราจะเห็น Sumsung หรือ LG ตีตลาดญี่ปุ่นกระจุย(ซึ่งคนเกาหลีจะไม่ชอบญี่ปุ่น เพราะ เกาหลียุคโชซอนตอนปลายญี่ปุ่นบุลลี่เกาหลี อย่างหนัก
แม้แต่อุตสาหกรรมสื่อสารก็รับจ้างAppleผลิต จนเดี๋ยวนี้ Samsung สามารถแชร์ตลาดส่วนใหญ่จากApple ได้ หรือ อุตสาหกรรมรถยนต์ เกาหลีใต้ ก็มีฐานการตลาดอยู่ที่ยุโรปตะวันออก
Windows 10 เครดิตภาพ https://www.techtalkthai.com/new-security-features-on-windows-10/
MS-office 2019 เครดิตภาพ https://www.innovation-tech.co.th/product/26222/microsoft-office-2019-standard
Windows server 2019 เครดิตภาพ http://thai.pcsystem-software.com/sale-12344496-64-bit-dvd-microsoft-windows-server-editions-windows-2019-server-standard-version.html
**เปรียบเทียบ ระหว่าง สินค้า ของ จ๊อบส์ กับสินค้า ของ เกทส์**
*Apple*
1. ฮาร์ดแวร์ของเครื่องในนาม Apple
2. ซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการ ที่เรียกว่า macOS
3. ซอฟท์แวร์ประยุกต์ Application Software
โดยเน้นไปทางกราฟฟิค และ งานส่วนบุคคล ส่วน แอพพลิเคชั่น ซอฟท์แวร์ ทางด้านการทำงานออฟฟิศ นั้น ไม่เป็นที่นิยมจึงต้องพึ่งไมโครซอฟท์
*Microsoft*
1. ซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการ ที่เรียกว่า Windows
2. ซอฟท์แวร์ประยุกต์ Application Software โดยเน้นไปที่ ชุด Microsoft Office
หลักการทำงานของ PC
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ต้นทุน การผลิตสินค้า ของ ไมโครซอฟท์ จะถูกกว่า ทางแอปเปิล มากมาย เพราะ ไม่มีการผลิตฮาร์ดแวร์ และการทำตลาดนั้น แอปเปิล ต้องคอยเกาะกระแสของไมโครซอฟท์มาตลอด เพราะในการทำตลาดของไมโครซอฟท์นั้น ไม่ได้ทำตลาดเอง แต่มีบริษัทฯอื่น ช่วยในการตลาดมากมายไม่ต้องคิดมาก เพราะ เมื่อขาย PC ก็ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์กันทั้งนั้น
จะเห็นว่าแอปเปิลช่วงหนึ่งออกIMACออกมา จุดเด่นคือ เลือกใช้ระบบปฏิบัติการไหนก็ได้ ทั้งของแอปเปิลและไมโครซอฟท์ ก็ยังทำการตลาดไม่ได้ ซึ่งหลังจากที่ สตีฟ จ๊อบส์ กลับมาอยู่กับแอปเปิล ที่โดนเบียดออกไปช่วงหนึ่ง ก็กลับมาทำสินค้าในแนวของการสื่อสาร คือ สมาร์ทโฟน และสามารถทำให้แบรนด์ติดตลาดได้ รวมทั้ง PC, Laptop ของแอปเปิล ทำยอดแชร์ตลาด ได้ดีกว่าเดิมมาก จากการ ชูธงใน การทำตลาดสมาร์ทโฟน อย่าง ไอโฟน ขึ้นมา
ประวัติของ CPU
ในซอฟท์แวร์ของ ไมโครซอฟท์ นั้น หัวใจ คือ ระบบปฏิบัติการ หรือ Operating Systerm (OS) ที่เรียกว่า Windows ซึ่งถ้าไม่มีชุด Microsoft Office ก็อาจจะ ทำให้ ผู้บริโภค หันไปใช้ระบบปฏิบัติการอื่น เช่น แอปเปิล หรือ ลีนุกซ์ ก็เป็นได้ ดังนั้น สามารถกล่าวได้ว่า Microsoft Office เป็นหลอดเลือดหัวใจของไมโครซอฟท์ ได้เลย ถ้าเปรียบให้Windows คือ หัวใจการใช้งานใน PC
เราจะเห็นได้ว่า คน Gen X,Y,Z เป็นจำนวนถึง 85-90%ของมนุษย์ทำงานกับPC ทำงานกันด้วย ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ กันทั้งนั้น แม้แต่ ชุดกราฟฟิค ซึ่ง ไมโครซอฟท์ ก็ออก Microsoft publishing มา ซึ่งก็มีคนหันมาใช้เป็นจำนวนมาก จากที่งานพิมพ์เคยใช้แต่ของแอปเปิลอย่างเดียว จะมี โปรแกรมประยุกต์ที่เป็น ชุดออฟฟิศปลาดาว ซึ่งเป็นของฟรี ก็ไม่ค่อยมีคนใช้กันเพราะคุ้นเคยกับMicrosoft office กันมากกว่า
 
โดยที่ ไมโครซอฟท์เอง ก็ปล่อยให้คนแอบก๊อปใช้กันเกือบ 20 ปี จนติดกันแล้ว มาถึงปัจจุบันที่เป็นยุค 4 G จะปฏิเสธไม่ได้เลย ว่า คนทำงานติด MS-Office กันจนขาดไม่ได้ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อมี อินเตอร์เนตความเร็วสูง คนที่ไม่ใช้ ซอฟท์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ เริ่มจะเจอปัญหาในการใช้งานกันบ้างแล้ว โดยที่มันเป็นกลยุทธที่MS ปล่อยให้คนเสพติดซอฟท์แวร์ของเขาแล้วจะเริ่มเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์แล้ว
เมื่อเทียบอัตราที ผู้ใช้ไม่ถูกลิขสิทธิ์ต้องหันมาใช้แบบลิขสิทธิ์ นี่ก็จะเป็นหนทางทำเงินของไมโครซอฟท์อย่างมหาศาล ซึ่ง กลยุทธ์ของ จ๊อบส์ จะดูดีกว่า คือขายเครื่องพร้อมซอฟท์แวร์ ถึงจะมีราคาแพงกว่า แต่ก็จะไม่ติดขัดปัญหา ทีกล่าวมา
ผู้เขียนเคยแอนตี้ แอปเปิลว่าเป็นระบบปิดที่เห็นแก่ตัว นานมาแล้วตั้งแต่ปี 1994 จนถึง ปี 2010 จึงเห็นว่า แอปเปิลทำถูก ในการขายซอฟท์แวร์ตัวเอง และ สามารถใช้
ไมโครซอฟท์ออฟฟิศได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ เพราะ แอปเปิล เซ็นสัญญาให้ MS-Office สามารถรันบนmacOSได้ และให้ ไมโครซอฟท์ ซื้อหุ้น ของ แอปเปิล ตั้งแต่สมัย iMAC(1997) มาแล้ว และ โปรเจคท์นี้ เป็นโปรเจคท์แรกที่ จ๊อบส์ ได้ทำหลังจากกลับคืนมาอยู่กับแอปเปิล
มาตราการวัด
เจฟฟ์ เบโซส์ บุคคล ที่รวยที่สุดในโลก ปี 2018-2019 เจ้าของ E-commerce Amazon.com ผู้ที่ดัน บิลล์ เกทส์ ไปอยู่อันดับ 2 หลังจาก เกทส์ ครองบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มาถึง 18 ปี ตั้งแต่ 1999
ปี 2020 มารอดูกัน ใครจะเป็นเบอร์หนึ่งกันแน่ ผู้เขียนขอฟันธงไปที่ บิลล์ เกทส์ ตามเหตุผลที่เขียนมาในบทความนี้ คือ ทั้งสองคนนี้ ไม่มีต้นทุนการผลิต แต่ อเมซอน โดน อาลีบาบา แย่งลูกค้าไปเยอะ อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์ไวรัสโควิด อีก ทำให้ยอดค้าขายลดลงอย่างมาก แต่ ธุรกิจของ บิลล์ เกทส์ ถึงจะ work from home หรือ ธุรกิจที่ยังเดินต่อไป ต้องใช้ โปรแกรมของเขากันทั้งนั้น ธุรกิจของเขานั้น แค่ยอดตกนิดหน่อย แต่ไม่สะเทือน มาก เหมือนธุรกิจ อื่น สำหรับสถานการณ์โควิด และ ผลกระทบ แม้แต่อเมซอนเอง ก็ต้องเฉือนกำไรจ่ายค่าซอฟท์แวร์ของไมโครซอฟท์ เพราะระบบคอมพิวเตอร์ คือ หัวใจของ การค้าแบบอเมซอน
Mac Pro Latest เครดิตภาพ https://today.line.me/th/pc/article/Mac+Pro+ใหม่ล่าสุดขับเคลื่อนประสิทธิภาพด้วยกราฟิกการ์ด+AMD+Radeon+ประสิทธิภาพสูง-VmVRmy
Iphone12 เครดิตภาพ https://www.mobileocta.com/expect-iphone-12-to-have-4-models-support-5g-ready-to-reveal-the-price/
**เข้าสู่ยุค 4 G 5 G**
นอกเหนือจาก การที่ ไมโครซอฟท์ มีโปรแกรมที่ต้องใช้ส่วนบุคคล กันแล้ว ยังมีอีกอันที่ ไมโครซอฟท์เหมาเอาอีก คือ ระบบเครือข่าย ซึ่งก่อนหน้านั้น จะเป็น Netware ของ Novell ในยุคที่ยังใช้ DOS กันอยู่ พอเปลี่ยนมาเป็นระบบวินโดวส์ซึ่งไมโครซอฟท์ก็ทำไว้ รองรับอยู่แล้ว จนถึงปัจจุบันนี้ แม้ลีนุกซ์ของฟรี ก็ยัง ไม่มีใครอยากใช้ กันมาก เพราะจะต้องมีปัญหากับ Protocol ของ ไมโครซอฟท์
ถ้าหาก ไมโครซอฟท์เขียนชุดโปรโตคอลมา ไม่ให้รองรับ ซึ่งในปัจจุบันนี้ การใช้อินเตอร์เนตเพื่อการออนไลน์ ดังนั้น จะให้ PC หรือ คอมพิวเตอร์เมนเฟรม แต่ละเครื่องรู้จักกันนั้น มันอยู่ที่ โปรโตคอล ของระบบ ด้วย ถ้าไม่รองรับ ก็สามารถติดต่อกันได้ยาก ซึ่งไมโครซอฟท์จะใช้ระบบเปิด TCP/IP(Transmission Control Protocol / Internet Protocol) โดยมีชุดคำสั่ง Protocol เฉพาะของโปรแกรมวินโดวส์ไว้ด้วย เหมือนกันกับ แอปเปิล ที่ใช้ ของตัวเองคือApple Talk และใช้ในอินเตอร์เนตระบบเปิดเป็น TCP/IP
surface Pro 7 เครดิตภาพ https://digikong.com/?p=14299
Macbook Pro 16 corei9 เครดิตภาพ https://www.specnotebook.com/product/apple-macbook-pro-16-core-i9-1tb-pro-5500m-space-gray/
ดังนั้น สมาร์ทโฟน ที่ มีอยู่ เมื่อใช้ แอนดรอยด์ อนาคต ข้างหน้ามีปัญหาแน่ ต่างจาก ของ แอปเปิล ที่ เตรียมไว้สำหรับ คนทำงานบนคอมฯจริงๆจัง ไว้ โดยการจับมือกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์และชุดไมโครซอฟท์ออฟฟิศ ไว้แล้ว
ส่วน ไมโครซอฟท์ นั้น กำลังพัฒนา Smart Phone OS ของตัวเอง อยู่ ซึ่งเคยเปิดตัวมา คือ *วินโดวส์โฟน* และเก็บคืนไปพัฒนา หายไปจากวงการ สมาร์ทโฟน เลย เพื่อรอดูทีท่าต่างๆอยู่ ว่าจะจับมือกับใคร
แต่ตอนนี้เงียบเหมือนซุ่ม ทั้งวินโดวส์โฟน และ โนเกียที่ไมโครซอฟท์ซื้อกิจการไป และต้องไม่ลืมว่า โนเกียมีระบบแผนที่ดีที่สุด อเมริกามีดาวเทียม ที่ทำ GPS อยู่แล้ว แต่เรื่องของ GPS นี้ ตอนนี้ จีนก็สามารถทำGPS เองได้ จากการยิงดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลก ดวงสุดท้ายเมื่อเร็วๆนี้ ดังนั้น ยุค 5 G จะมีการแข่งขันกันทางด้าน IT สูงมาก
 
เมื่อเราพอทราบเรื่องราวต่างๆ ของ PC เรื่องของ Smart Phone ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะหลักการคล้ายๆกันกับ PC เพียงแต่ เพิ่มฟังก์ชั่นของโทรศัพท์มือถือเข้ามาแค่นั้นเอง
โฆษณา