8 ก.ค. 2020 เวลา 01:38 • การเมือง
ถามว่าความล่าช้าในการปรับครม.เกิดจากปัจจัย”ภายนอก”หรือปัจจัย”ภายใน”
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคฝ่ายค้าน
ลำพังพรรคเพื่อไทยมี ส.ส. 130 กว่าคนจะไปมีฤทธิ์เดชได้อย่างไร ยิ่งพรรคก้าวไกลซึ่งในยุคพรรคอนาคตใหม่อาจมีถึง 80 กว่าคน แต่ ณ วันนี้ก็เหลือเพียง 50 กว่าคน
ถึงรวมพลังพรรคเพื่อไทย 130 กว่ากับพรรคก้าวไกล 50 กว่าก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าแมลงวันที่ตอมบริเวณหางของช้างที่ห้อยโตงเตงอยู่
จึงเด่นชัดอย่างยิ่งว่า ปัญหาและความล่าช้าในการปรับครม.ล้วนมาจากเหตุปัจจัย”ภายใน”
ทั้งมิได้เป็นระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา หรือพรรคเล็กจิ๋วอย่างพรรคพลังท้องถิ่นไท
หากแต่ด้านหลักมาจาก”ภายใน”ของพรรคพลังประชารัฐ
คำถามก็คือ เหตุใดเมื่อพรรคพลังประชารัฐผ่านการประชุมใหญ่สามัญประจำปีมาแล้วเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ก็น่าจะมีความแจ่มชัดโดยพื้นฐาน
นั่นก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค นายอนุชา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรค
การจัดสรรปันส่วน”ภายใน”พรรคพลังประชารัฐก็น่าจะราบรื่น
แต่แล้วกลับไม่มีสัญญาณใดๆว่าจะมีการปรับครม.ส่งมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งๆที่ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล ก็ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ทั้งๆที่ นายอุตตม สาวนายน ก็ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทั้งๆที่ นายสนธิรัตน์ สนธิวิจารณ์ ก็ไม่ได้เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
ในที่สุด ภาระธุระทั้งปวงของการปรับครม.ก็ตกอยู่บนบ่าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ความหมายก็หมายความว่า ไม่ว่าความล่าช้า ไม่ว่าความเรียบร้อยหรือราบรื่นล้วนมากองอยู่ตรงหน้าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วอย่างเด่นชัด
นั่นก็คือ เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีคนอื่น
ทุกสายตาจึงทอดจับไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น
โฆษณา