ตามแผนการจะแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 5 กลุ่ม (มีทั้งอายุ 18-60 ปี และ 60-80 ปี)
(1) กลุ่มแรก ฉีดเข็ม 1,2 ด้วยขนาด 10 ไมโครกรัม (มคก.)
(2) กลุ่มที่ 2 ฉีดเข็ม 1,2 ด้วยขนาด 30 มคก.
(3) กลุ่มที่ 3 ฉีดเข็ม 1,2 ด้วยขนาด 100 มคก.
(4) กลุ่มที่ 4 ฉีดเข็ม 1 ด้วย 30 มคก. และ เข็ม 2 ด้วย 10 มคก.
(5) กลุ่มที่ 5 ฉีดเข็ม 1 ด้วย 100 มคก. และเข็ม 2 ด้วย 10 มคก.
เหตุที่มีกลุ่ม 4,5 ขึ้นมา เพราะไทยเราไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย นักวิจัยจึงหาทางประหยัด ถ้าโชคดีกลุ่ม 4,5 ได้ผลดี ก็จะทำให้เราฉีดเข็ม 1 ด้วยปริมาณวัคซีนมาก และลดปริมาณวัคซีนลงในเข็มที่ 2 ทำให้ประหยัดเงินไปได้มาก
3.7 เฟส 2ในมนุษย์ (อาสาสมัคร 500-1,000 คน)
ใช้เวลาประมาณ 4 เดือนในการวิจัยทดลองเพื่อดูความเหมาะสมของขนาดวัคซีน อายุของผู้รับวัคซีน และระดับภูมิต้านทาน ว่ามีความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง มีภูมิต้านทานสูงในระดับป้องกันโรคได้ ทำนองเดียวกับเฟส 1 แต่ทดลองในกลุ่มตัวอย่างคืออาสาสมัครที่มีจำนวนมากขึ้น
3.8 เฟส 3ในมนุษย์ (อาสาสมัคร 10,000 คน)
ในขั้นตอนนี้ต้องเตรียมการเป็นอย่างมาก ทั้งการนำวัคซีนตัวอย่างจำนวนนับหมื่นโด๊ส มาเตรียมไว้ภายใต้อุณหภูมิที่เหมาะสม
การหาอาสาสมัครที่จะฉีดวัคซีนในเฟส 3 จะแตกต่างจากเฟส 1-2 เพราะจะต้องดูความสามารถของวัคซีนในการป้องกันโรคได้จริง จึงจำเป็นต้องทดลองในประเทศที่กำลังมีผู้ติดเชื้อใหม่จำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยขณะนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศ (นานถึง 48 วันแล้ว) ทำให้ไม่สามารถทดลองเฟส 3 ในประเทศไทยได้
ทีมวิจัยจึงทำการประสานติดต่อประเทศอินโดนีเซีย เพื่อมาร่วมวิจัยเฟส 3 เพราะอินโดนีเซียมีผู้ติดเชื้อใหม่จำนวนมาก (12 กค 63 ติดเชื้อ 75,699 คน เสียชีวิต 3,606 คน)