18 ก.ค. 2020 เวลา 03:02 • กีฬา
อันเดร เชือร์เล่ นักเตะแชมป์ฟุตบอลโลก ประกาศแขวนสตั๊ดแบบช็อกโลกด้วยวัยแค่ 29 ปี ทั้งๆที่เขาสามารถอยู่โกยเงิน และโกยชื่อเสียงต่อไปได้อีกนาน ทำไมเขาเลือกแบบนั้น วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าแบ็กกราวน์ให้ฟัง
เวลาที่เรารักใคร หรือรักอะไรสักอย่าง เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มันมา แม้จะเหนื่อยแค่ไหน เราก็ยินดีทำ
แต่เมื่อวันใด เราไม่รู้สึกปรารถนากับมันแล้ว ทั้งกับคน หรือสิ่งของ เราก็พร้อมจะตัดทิ้งง่ายๆ แม้สิ่งนั้นจะดูสวยงามแค่ไหน เราก็ไม่สน
ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเราอาจเคยชอบศิลปินบางคนมากๆ เพราะเขาหน้าตาดี และมีเสน่ห์ แต่อาจมีเหตุการณ์อะไรสักอย่าง ที่เรารู้สึกเสื่อมศรัทธาศิลปินคนนั้น จนรู้สึกเลิกชอบไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้ศิลปินคนนั้นจะยังหน้าตาดี และมีเสน่ห์เหมือนเดิม แต่เราก็ไม่ได้อยากจะสนใจอีก นั่นเพราะเราหมดความปรารถนาในตัวเขาไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับอันเดร เชือร์เล่ นักเตะดีกรีแชมป์โลกชาวเยอรมัน ที่แขวนสตั๊ดในวัย 29 ปี ก็ไม่ต่างกัน
หลายคนตั้งคำถามว่า เชือร์เล่อายุแค่ 29 เอง ร่างกายยังแข็งแรงดี สามารถโกยเงินได้อีกตั้งหลายปี จะรีบร้อนเลิกเล่นทำไม อุตส่าห์ได้เป็นนักเตะอาชีพ ซึ่งเป็นงานในฝันของเด็กๆหลายล้านคนทั่วโลกทั้งที แล้วทำไมทิ้งโอกาสนี้ง่ายดายจัง
แต่คำตอบจากตัวเชือร์เล่นั้นชัดเจนมากอยู่แล้ว
คือเมื่อคุณหมด passion กับอะไรสักอย่างแล้ว มันยากที่จะฝืนทนต่อไป และการปิดฉากเส้นทางกับฟุตบอล ก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียใจแม้แต่นิดเดียว
ความฝันสูงสุดตอนที่อันเดร เชือร์เล่เป็นเด็ก เขาอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ตอนอายุ 5 ขวบ เขาสังกัดทีมรุ่นจิ๋วของสโมสรท้องถิ่น ลุดวิกเชฟเนอร์ เอสซี และเล่นในตำแหน่งกองหลังมาตลอด ซึ่งฝีเท้าของเจ้าหนูเชือร์เล่ก็อยู่ในระดับพอใช้ได้ แต่ไม่ได้มีสโมสรรุมจีบกันเป็นสิบๆทีม เหมือนอย่างมาริโอ เกิตเซ่ เด็กรุ่นเดียวกัน ที่ถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ
เชือร์เล่สมัยเด็ก
ตามปกติแล้วถ้าเป็นนักเตะที่มีแววจริงๆ สโมสรจะเซ็นเข้าสโมสรตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบ คือเตรียมเอามาปลุกปั้นกันตั้งแต่เด็ก อย่างมานูเอล นอยเออร์ เซ็นกับชาลเก้ตั้งแต่ 6 ขวบ ,เกิตเซ่ มาอยู่อคาเดมี่ ดอร์ทมุนด์ตอน 9 ขวบ หรือ โทมัส มุลเลอร์ เซ็นกับบาเยิร์น มิวนิค ตั้งแต่ 10 ขวบ เป็นต้น
แต่กับกรณีของเชือร์เล่ ไม่มีสโมสรใหญ่มาสนใจเขาจนถึงอายุ 15 ปี แต่สุดท้ายแล้วก็มีทีมที่สนใจเขาจนได้ ในปี 2006 สโมสรไมนซ์ที่มีเจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีม ยื่นข้อเสนอให้เชือร์เล่มาอยู่กับอคาเดมี่ของสโมสร ซึ่งแน่นอน เมื่อมีทีมจากบุนเดสลีกาติดต่อมา แม้จะไม่ใช่ทีมใหญ่ก็เถอะ เชือร์เล่รีบคว้าโอกาสไว้ทันที
ตอนนั้นเชือร์เล่ ยังเรียนหนังสือในระดับมัธยมอยู่ ซึ่งเขาต้องเรียนให้จบตามหลักสูตร แต่ในอีกมุม เขาอุตส่าห์ได้ติดทีมอคาเดมี่ของไมนซ์ทั้งที ดังนั้นก็จำเป็นต้องไปซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าเขาไม่พัฒนาตัวเองขึ้นมา ก็อาจโดนสโมสรโละทิ้งได้เหมือนกัน
มันแปลว่า เชือร์เล่จำเป็นต้องทำ 2 อย่างในวันเดียว และปัญหาคือ บ้านและโรงเรียนของเชือร์เล่ อยู่ที่เมืองลุดวิกเชฟเนอร์ ซึ่งอยู่ห่างจากสนามฝึกซ้อมของไมนซ์ราว 80 กิโลเมตร ดังนั้นถ้าเขาจะทำควบสองอย่าง ก็จำเป็นต้องเดินทางไปกลับ 160 กิโลเมตรทุกวัน แค่คิดก็เหนื่อยแสนสาหัสแล้ว
แต่เชือร์เล่ยอมทำ เพราะเขาฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ในแต่ละวัน คุณแม่หลุยส์ จะขับรถไปรับเขาที่โรงเรียนในช่วงบ่าย จากนั้นขับไปส่งที่สถานีรถไฟ ให้เชือร์เล่ นั่งยาวไปลงที่ไมนซ์ ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่งในแต่ละเที่ยว จากนั้นก็ซ้อมฟุตบอล ซ้อมเสร็จนั่งรถไฟกลับบ้านอีก 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่เคยมีวันไหนที่เขากลับถึงบ้านก่อน 4 ทุ่ม คือมันเป็นชีวิตที่เหนื่อยมากจริงๆ กับเด็กอายุ 15
"ผมเหนื่อยนะ แต่ผมยอมทำ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ" เชือร์เล่กล่าว
3 ปีที่ต้องทำสองอย่างพร้อมกัน เชือร์เล่ ต้องยอมตัดใจทิ้งหลายๆอย่างไปจากชีวิต เขาไม่เคยไปปาร์ตี้กับเพื่อน ไม่เคยไปทัศนศึกษากับโรงเรียน ไม่เคยแม้แต่กินจั๊งค์ฟู้ดเพราะรู้ว่ามันไม่ดีต่อการเป็นนักกีฬา และเมื่อซ้อมเสร็จกลับบ้าน ก็ต้องรีบนอนให้เร็วที่สุด เพื่อเก็บแรงเอาไว้ใช้ชีวิตวนลูปเดิมซ้ำอีกครั้ง และอีกครั้ง
แต่มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า เพราะความทุ่มเทของเขา ไปเข้าตาโทมัส ทูเคิล โค้ชทีมเยาวชนของไมนซ์ และให้โอกาสเขาลงสนามมากขึ้นกับทีมไมนซ์ชุดยู-19
จากนั้นเมื่อเจอร์เก้น คล็อปป์ลาออกจากไมนซ์ย้ายไปคุมดอร์ทมุนด์ ทูเคิลได้ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ เขาจึงดึงตัวเชือร์เล่จากทีมเยาวชน ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ด้วยวัยแค่ 18 ปี กับอีก 9 เดือนเท่านั้น
เชือร์เล่สมัยอยู่ไมนซ์
สำหรับดาวรุ่งจากเมืองเล็กๆ ที่ชื่อลุดวิกเชฟเนอร์ เขากลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้แล้วจริงๆ ความฝันของเขา เขาไขว่คว้ามันมาครองได้สำเร็จ
ชีวิตของเชือร์เล่ มีแต่พุ่งกระโดด ไม่มีแผ่ว
พฤศจิกายน 2010 เขาถูกโยอาคิม เลิฟ เรียกตัวติดทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ ในเกมพบกับสวีเดน ตอนนั้นเชือร์เล่มีอายุแค่ 20 ปีเท่านั้น
"ในตอนแรกผมไม่มีความกล้าที่จะคุยกับฟิลิปป์ ลาห์ม หรือ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์เลยด้วยซ้ำ" เชือร์เล่เล่า ซึ่งก็ไม่แปลก นักเตะจากทีมเล็กๆที่ติดทีมชาติ มักจะกังวลใจเสมอ เมื่อต้องรายล้อมไปด้วยเหล่าซูเปอร์สตาร์
แต่สเตตัสของความเป็นสตาร์ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี 2011 เชือร์เล่ย้ายทีมจากไมนซ์ ไปเลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัว 10 ล้านยูโร และได้เพิ่มค่าเหนื่อยจากเดิมหลายเท่า และสิ่งแรกที่เขาทำ คือซื้อรถยนต์ ออดี้ R8 สีดำให้ตัวเองทันที
นี่คือชีวิตของสตาร์ มีแต่แฟนบอลปลาบปลื้ม ขณะที่ สื่อมวลชนก็ชื่นชมในพรสวรรค์ เขามีเงินมากมายเกินกว่าเด็กอายุ 20 ทั่วไปจะหาได้
เงินที่ได้จากเลเวอร์คูเซ่นว่าเยอะแล้ว แต่ในปี 2013 เมื่อเชลซีซื้อตัวเชือร์เล่ด้วยราคา 18 ล้านปอนด์ ค่าเหนื่อยของเขาก็พุ่งสูงขึ้นเป็น 80,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (สัปดาห์ละ 3.6 ล้านบาท) เขากลายเป็นอายุน้อยร้อยล้านของจริง
พอย้ายมาเชลซี เชือร์เล่ซื้อห้องหรูริมแม่น้ำเทมส์ ซึ่งเขาจะทำอะไรก็ได้ เงินเขามีเยอะเหลือใช้ขนาดนั้น
เรื่องฐานะ แน่นอน เขาร่ำรวยกว่าเดิม ส่วนสเตตัสในโลกฟุตบอลก็สูงขึ้น เขาอยู่ทีมเดียวกับ แฟรงค์ แลมพาร์ด และดิดิเยร์ ดร็อกบา และมีโค้ชคือโชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยที่การประกาศตัว 23 ขุนพล ชุดลุยฟุตบอลโลก 2014 โยอาคิม เลิฟ จะเรียกตัวเชือร์เล่ติดทีมไปด้วย และมอบเสื้อเบอร์ 9 อันทรงเกียรติของทีมอินทรีเหล็ก ให้เขาใช้งานในทัวร์นาเมนต์
ในฟุตบอลโลก 2014 นี่เอง ที่จุดพีกของเขาก็มาถึง ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เชือร์เล่ ยิงประตูใส่แอลจีเรีย ช่วยให้ทีมเข้ารอบมาได้ จากนั้นในรอบรองชนะเลิศ เปลี่ยนตัวลงมาครึ่งหลัง ก่อนซัด 2 ประตู ช่วยเยอรมันถล่มบราซิล 7-1 ตามด้วยในนัดชิง เขากลายเป็นซูเปอร์ซับทีเด็ด แอสซิสต์ให้มาริโอ เกิตเซ่ ยิงประตูชัย พาเยอรมันคว้าแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่
เชือร์เล่คือตัวเปลี่ยนเกมขนานแท้ของเยอรมัน ถ้าไม่มีเขา เราตอบไม่ได้เลยว่าเยอรมันจะได้แชมป์โลกหรือไม่ หลังจบเวิลด์คัพชีวิตของเขาพุ่งสูงที่สุด ความฝันของเขาในวัยเด็กได้ถูกเติมเต็มแล้วครบทุกอย่าง
อย่างไรก็ตาม ความสนุกในโลกฟุตบอลของเขา เริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้แชมป์โลก
สาเหตุเพราะหลังจบเกมนัดชิงที่มาราคาน่า เชือร์เล่มีเวลาพักแค่ 19 วันเท่านั้น ก็ต้องมาเก็บตัวกับเชลซี เพื่อสู้ศึกในฤดูกาล 2014-15 ซึ่งเขามีเวลาพักน้อยเกินไป ยิ่งสำหรับนักเตะที่ใช้กล้ามเนื้อในการวิ่งสปรินท์ด้วยแล้วล่ะก็ การไม่ปล่อยให้ร่างกายได้พักอย่างเพียงพอ มันทำให้กล้ามเนื้อเกิดความอ่อนล้าขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเชือร์เล่ในฤดูกาล 2014-15 คือร่างกายไม่ตอบสนองเขาอย่างที่เคยเป็นมา มันไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่เห็นชัด แต่มันเหมือนพลังร่างกายเสื่อมถอยลงไป
"ผมรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างในตัวผมกำลังมอดไหม้ สไตล์การเล่นของผมจะเน้นที่การสปรินท์ แต่กล้ามเนื้อผม มันรู้สึกไม่มีพลังเลย"
แน่นอน เมื่อผลงานลดมาตรฐานลงไป มีหรือที่โชเซ่ มูรินโญ่จะไม่รู้ เขาสั่งดร็อปเชือร์เล่จากตำแหน่งตัวจริงทันที
"มันเป็นการลงโทษที่รุนแรงมากๆ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าโค้ชไม่มีความเชื่อมั่นในตัวคุณเลย"
เชือร์เล่พยายามจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น เขาซ้อมหนักกว่าเดิม แม้แต่ไปทำการสแกนสมอง เพื่อเช็กว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ทำไมเขาเล่นแย่ลงขนาดนั้น แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากเดิม คือฟอร์มในสนามซ้อมของเขาก็ยังน่าผิดหวังอยู่ดี จนต้องเป็นตัวสำรองต่อไปอีก
คราวนี้ เชือร์เล่โดนสื่ออังกฤษเล่นงาน บทความหนึ่งเขียนว่า "หรือเชลซีจะใหญ่เกินไปสำหรับเชือร์เล่" ส่วนอีกบทความพาดหัวว่า "แชมเปี้ยนโลกข้างสนาม"
"สำหรับสื่ออังกฤษ ถ้าคุณไม่เป็นฮีโร่ คุณก็คือไอ้โง่ มันมีแค่สองทางเท่านั้น ไม่มีอะไรตรงกลาง ซึ่งเมื่อโดนด่ามากๆเข้า ผมเก็บเอามันมาอยู่ในใจ เก็บมันมาคิดมาก" เชือร์เล่กล่าว
ซีซั่น 2014-15 หลังจากเล่นกับเชลซีได้แค่ครึ่งปี โวล์ฟสบวร์กยื่นข้อเสนอซื้อตัวเชือร์เล่ให้เชลซีพิจารณา ซึ่งมูรินโญ่รู้ดีว่าเก็บเชือร์เล่ไว้ ก็เป็นได้แค่สำรอง ดังนั้นจึงยอมขายนักเตะในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการย้ายจากเชลซี ไปเล่นให้โวล์ฟสบวร์ก เป็นการลดเลเวลลงหนึ่งสเต็ป แต่เชือร์เล่ ยืนยันว่าต้องการย้ายไป เพื่อโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเขายังดีพอในเกมระดับนี้
แต่ผลงานกับโวล์ฟสบวร์กในซีซั่นแรกของเชือร์เล่ก็น่าผิดหวังมาก เขาลงเล่นไป 22 เกมทุกรายการ ยิงได้แค่ 1 ลูกเท่านั้น และแน่นอนโดนสื่อวิจารณ์ยับ เพราะโวล์ฟสบวร์กอุตส่าห์ยอมจ่ายเงินสถิติสโมสรซื้อมาจากเชลซีในราคา 32 ล้านยูโร ไม่แปลกที่ทุกคนคาดหวังว่าเชือร์เล่ควรจะเล่นได้ดีกว่านี้
ถึงตรงนี้ เชือร์เล่ไม่มีความสุขกับการเล่นฟุตบอลเท่าแต่ก่อนอีกแล้ว ผลงานก็ไม่ดี สื่อก็ด่า ร่างกายก็ไม่พร้อม คือมันรู้สึกไม่สนุกในการลงเล่นแต่ละนัด
เชือร์เล่อยู่โวล์ฟสบวร์กสองปี ก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ดอร์ทมุนด์ในซีซั่น 2016-17 โดยตอนนั้นโค้ชดอร์ทมุนด์คือโทมัส ทูเคิล ซึ่งเป็นคนปั้นเชือร์เล่ขึ้นมาสมัยอยู่ไมนซ์ และเชือร์เล่ก็คาดหวังว่า ด้วยความที่ทูเคิลรู้จักเขาดี อาจจะหาวิธีทำให้เขากลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง
แต่คำตอบก็คือ แม้แต่ทูเคิลก็ทำไม่ได้ เชือร์เล่ เล่นแผ่วลงเรื่อยๆ และสุดท้ายก็เสียตำแหน่งในทีมดอร์ทมุนด์ เขากลายมามีบทบาทแค่อะไหล่สำรองเท่านั้น
ซาบรีน่า พี่สาวของเชือร์เล่กล่าวว่า "คุณบอกได้เลยว่า อันเดรรู้สึกไม่สนุกอีกแล้ว เขาไม่มีความสุขเลย ซึ่งฉันเองก็บอกเขาหลายครั้งนะ ว่าทำใจสบายๆ อย่างคิดมาก ทำหัวให้โล่งไว้ แต่อันเดร เป็นคนคิดมาก เขาจะวนเวียนกับความผิดพลาดของตัวเองซ้ำๆแบบนั้น"
นับจากซัมเมอร์ปี 2014 เขาพยายามแล้วที่จะกลับมาอยู่ในฟอร์มที่พีกอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้
จริงๆแล้ว ถ้าใจรู้สึกสนุก อยากเล่นฟุตบอลอยู่ อะไรๆอาจจะแก้ไขง่ายกว่านี้ แต่เมื่อใจของเชือร์เล่เองก็ไม่สนุกแล้ว มันยิ่งกลายเป็นว่าเขาเริ่มออกห่างจากฟุตบอลมากขึ้นทุกที
ธันวาคม 2016 ด้วยการแนะนำจากเพื่อน เชือร์เล่ได้รู้จัก แอนนา ชาริโปว่า นางแบบสาวเชื้อสายคาซัคสถาน ซึ่งในแวบแรกที่เห็น ฝ่ายหญิงบอกว่าเชือร์เล่ดูดี แต่มีความห่างเหิน
อย่างไรก็ตามหลังจากทั้งคู่ลองใช้เวลาดินเนอร์ร่วมกัน ปรากฎว่าทุกอย่างดีกว่าที่คิด "เรานั่งกันจนถึงตี 4 และคุยกันไปเรื่อยๆ" แอนนาเล่า "เราแทบไม่คุยเรื่องฟุตบอลเลย แต่เราคุยเรื่องชีวิต คุยว่าเราสองคน มีอะไรที่เราอยากจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ"
การได้คุยกับแอนนา ทำให้เชือร์เล่เปิดโลก สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้คือ เออ ชีวิตมันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องฟุตบอลนี่นา เขามีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้ทำ เพราะไม่เคยมีโอกาสเลย เส้นทางชีวิตของเขาผูกไว้ด้วยฟุตบอลตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน
หลังจบซีซั่น 2017-18 เชือร์เล่กลายเป็นอะไหล่ส่วนเกินที่ดอร์ทมุนด์ สโมสรปล่อยเขาให้ฟูแล่มยืมตัว ตามด้วยปล่อยให้สปาร์ตัก มอสโก ในรัสเซีย ยืมต่ออีกทีม เขาโดนโยนไปทีมนั้นที ทีมนี้ที
เชือร์เล่ยิ่งรู้สึกเครียดกับฟุตบอลมากขึ้น เขากล่าวว่า "เกมฟุตบอลนั้นเขาจะวัดคุณค่าของคุณแค่ผลงานในสนามเท่านั้น และถ้าคุณมีจุดอ่อนใดๆ ต้องเก็บมันให้ลึกที่สุด ห้ามแสดงออกมาให้ใครได้เห็น"
1
ถึงจุดนี้ ความคิดเรื่องเลิกเล่นฟุตบอล แล้วไปทำอย่างอื่น เริ่มอยู่ในใจของเขา เพราะทำไมคนเราต้องทนอยู่กับความเครียดแบบนี้ไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยล่ะ
ในช่วงเดือนมีนาคม 2020 วิกฤติโควิด-19 ระบาด เชือร์เล่กำลังค้าแข้งอยู่ที่รัสเซียก็ต้องหยุดพักด้วย ถึงตรงนี้เขามีเวลาเรียบเรียงสิ่งที่สั่งสมในใจ
"การเล่นฟุตบอลอาชีพ แปลว่าคุณต้องโดนความคาดหวังจากสังคม ซึ่งมันย่อมทำให้คุณเครียด และผมก็คิดว่า แล้วเราต้องทนเครียดแบบนี้จนถึงอายุ 35-36 เลยอย่างนั้นหรือ"
พอหมดสัญญากับสปาร์ตัก มอสโก เขากลับมาที่ดอร์ทมุนด์ จริงๆแล้วเชือร์เล่ เหลือสัญญากับดอร์ทมุนด์อีก 1 ปี แต่เขาขอดอร์ทมุนด์ยกเลิกสัญญา ซึ่งดอร์ทมุนด์เองก็ไม่ได้ใช้เชือร์เล่อยู่แล้ว เก็บไว้ก็เท่านั้น จึงตกลงยกเลิกสัญญาไปเลย ดีกว่าต้องจ่ายค่าเหนื่อยไปเรื่อยๆ 1 ปีเต็ม
และหลังจากยกเลิกสัญญา ตอนแรกยังมีข่าวลือมากมายว่าเชือร์เล่จะย้ายไปไหน อาจไปเล่นลีกจีน หรือข้ามไปเมเจอร์ลีก สหรัฐฯ แต่ 2 วันให้หลัง เขาประกาศแขวนสตั๊ดทันที ด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น ซึ่งเหตุผลก็ชัดเจนมาก นั่นคือเขาไม่มีความปรารถนาใดๆเหลืออยู่กับฟุตบอลอีกแล้ว
รายได้ที่เก็บสะสมเอาไว้หลายปี ก็มีเงินหลายล้านยูโร มากพอที่จะอยู่อย่างสุขสบายไปได้อีกนาน ขณะที่ชีวิตกับครอบครัว เขาเพิ่งแต่งงานกับแอนนา และทั้งคู่มีลูกสาว 1 คนชื่อไกอา โดยตอนนี้เธอมีอายุ 1 ปี กับอีก 3 เดือน ดังนั้นการแขวนสตั๊ดก็แปลว่า เขาจะมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้เห็นลูกสาวค่อยๆเติบโตไปอย่างช้าๆอย่างใกล้ชิด โดยที่เขาไม่ต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศนานๆ
ผู้สื่อข่าวจากสื่อเยอรมัน ถามเชือร์เล่ว่า ถ้าแขวนสตั๊ดไปทั้งๆแบบนี้ มันก็จะจบไปเงียบๆนะ ไม่มีการปรบมือสดุดีในเกมสุดท้ายของการค้าแข้ง แบบนั้นคุณโอเคหรอ ซึ่งเชือร์เล่ตอบว่า "แต่สำหรับผมมันโอเคมากเลยนะ"
แม้จะไม่มีเสียงปรบมือใดๆจากแฟนๆ แต่มันก็แลกมากับสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เขามีเวลาได้อยู่กับครอบครัวมากกว่าเดิม ได้เห็นพัฒนาการของลูกสาว และได้มองหาสิ่งใหม่ๆที่จะลองทำต่อจากนี้
"ความสุขที่ผมได้รับตอนนี้ ผมไม่ต้องการเสียงปรบมือจากแฟนฟุตบอลอีกแล้ว" เชือร์เล่กล่าว
บทสรุปของการอำลาสนามของเชือร์เล่ เราจะเห็นได้ว่า เรื่องความรัก มันไม่มีอะไรต้องซับซ้อน
ถ้าเรารักใคร หรือรักอะไร เราจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครองมันให้ได้ แต่เมื่อวันหนึ่งความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว มันก็ง่ายมากที่จะเอาตัวออกมา เพราะมันหมดความต้องการไปแล้ว
ตอนสมัยเด็กเชือร์เล่อยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาทุ่มเทยอมเดินทางวันละหลายชั่วโมง ยอมอดทนสารพัด เพื่อเป้าหมายของตัวเอง จนในที่สุดก็ได้เป็นนักบอลจริงๆ
แต่เมื่อเติบโตขึ้น เจอความเครียด และเจอสารพัดปัญหามากขึ้น ฟุตบอลจึงไม่ใช่ความรักของเขาอีกแล้ว เชือร์เล่ค้นพบว่า ในโลกนี้มีสิ่งอื่นที่เขาอยากลองทำ และอยากให้เวลากับมันมากกว่า เมื่อคิดได้แบบนั้น ก็เลยตัดสินใจเอาตัวออกมาได้อย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรต้องอาลัยอาวรณ์
เพราะสัจธรรมของ สิ่งที่เรียกว่าความรัก แท้จริงมันเคลื่อนตัวได้ตลอด
วันนั้นเคยรัก ไม่ได้แปลว่าจะต้องรักเหมือนเดิมเสมอไป
และถ้าชีวิตเจอทางที่ใช่มากกว่ารออยู่ข้างหน้า
ก็เก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆไว้ แล้วก้าวเดินต่อไป แค่นั้น
#SCHURRLE
โฆษณา