21 ก.ค. 2020 เวลา 03:25 • ประวัติศาสตร์
จะเทศนาต้องดูนิสัยคน
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวัน ใกล้เมือง นาลันทา ครั้งนั้นผู้ใหญ่บ้านมีนามว่าอสิพันธ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถามความข้องใจของตนว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงเกื้อกูลและอนุเคราะห์สัตว์โลกโดยทั่วหน้าอยู่มิใช่หรือ ?”
“อย่างนั้นสิ อสิพันธ์ ! ตถาคตย่อมเกื้อกูลและอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลายโดยทั่วหน้าอยู่”
“ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดพระองค์จึงทรงแสดงธรรม แก่คนบางพวกและไม่ทรงแสดงธรรมแก่คนบางพวกเล่า พระเจ้าข้า?”
“อสิพันธ์ ! ถ้าอย่างนั้นเราจะขอถามท่าน ท่านเห็นควรอย่างใด จงตอบอย่างนั้น ที่นาของชาวนาในโลกนี้ มีอยู่ 3 ชนิดคือ
- นาดี
- นาปานกลาง
- นาเลว
นาเลวมีดินเหลว เค็ม และพื้นดินเลว ท่านเห็นอย่างไร เมื่อชาวนาต้องการจะปลูกข้าว เขาควรจะปลูกข้าวในนาชนิดไหนก่อนเล่า ?”
นายบ้านกราบทูลว่า
“ควรปลูกในนาดีก่อน ต่อแต่นั้นจึงหว่านในนาปานกลาง ส่วนในนาเลวซึ่งมีดินเหลว เค็ม พื้นดินเลวนั้น จะปลูกบ้างหรือไม่ปลูกบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะในที่สุดก็จะเป็นอาหารของโคพระเจ้าข้า”
“อสิพันธ์ ! เปรียบเหมือนนาดีฉันใด เราย่อมแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่ภิกษุและภิกษุณีของเราก่อน ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุและภิกษุณีเหล่านี้ มีเราเป็นที่พึ่งเป็นสรณะอยู่
อสิพันธ์ ! นาเลวมีดินเหลว เค็ม พื้นดินเลวฉันใด เราย่อมแสดงธรรม......แก่อัญญเดียรถีย์ สมณะ พราหมณ์และ ปริพาชกของเราเหล่านั้น ในที่สุดฉันนั้น
เพราะท่านเหล่านั้น จะพึงรู้ธรรมแม้บทเดียว ความรู้ของท่านเหล่านั้น พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่เขาสิ้นกาลนาน..... ”
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ผู้ใหญ่บ้านอสิพันธ์ชื่นชม และแสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต.
ขยายความ พระสูตรนี้ ได้ให้ข้อคิดแก่นักธรรมะ ที่เป็นนักเทศน์หรือครูอาจารย์ที่สอนธรรมะแก่ผู้อื่นได้อย่างดีว่า แม้แต่พระพุทธองค์ ซึ่งเป็นยอดแห่งผู้ฝึกสอนคนยังทรงต้องเลือกสอนคน แล้วเราเป็นอะไร จึงคิดว่าจะสอนคนได้ทุกคน ?
ในการสอนธรรมะคนนั้น ควรจะมีองค์ประกอบสัก 3 ประการ คือ
- ความรู้ของเรามีพอที่จะสอนเขาได้เพียงไร
- กาลเทศะและบุคคล ที่จะรับคำสอน
- พื้นฐานของคนที่รับสอนนั้น มีบารมีหรือนิสัยหรือไม่ ?
ในการแสดงธรรมของพระพุทธองค์นั้น ทรงมุ่งมรรคผลเป็นสำคัญ ที่บางครั้งทรงรอเวลา ก็เพื่อให้บารมีของผู้รับฟังเต็มเปี่ยมก่อน มิฉะนั้นจะไม่ได้ผล หรือหากจะได้ผลก็เสียเวลามากเกินเหตุ
นักแสดงธรรมทุกวันนี้ ส่วนมากใช้วิธีเหวี่ยงแหเดาสุ่ม ผลจึงเกือบจะไม่มีเลย ที่สำคัญก็คือ ผู้สอนธรรมส่วนมาก มักลอกแบบหรือฝีปากคนอื่น แทนที่จะสร้างให้มีคุณธรรมอันเกิดขึ้นในจิตของตนเองก่อนแล้วค่อยคิดสอนผู้อื่น ด้วยเหตุนี้การสอนธรรมจึงล้มเหลวตลอดมา
ผู้สอนตนเองได้แล้ว จึงควรสอนผู้อื่น
โฆษณา