22 ก.ค. 2020 เวลา 12:40 • ความคิดเห็น
ผู้อ่านท่านที่เคารพ
โลกใบใหม่ของท่าน
โดย
นิติภูมิธณัฐ
มิ่งรุจิราลัย
https://www.wamc.org/post/coronavirus-triple-duty-working-parenting-and-teaching-home
ครอบครัวชาวแคนาดาโทรศัพท์มาเล่าว่า จะให้ลูกชายของตนหยุดไปโรงเรียนอย่างถาวร โดยจะให้ไปสอบเทียบความรู้ในระดับประถมและมัธยมแทน
สนทนาแล้วจึงได้ทราบว่าแนวโน้มของผู้ปกครองชาวแคนาดาจำนวนไม่น้อยอยากให้ลูกเรียนอยู่ที่บ้าน วิกฤติโควิด-19 ทำให้ทุกครอบครัวมีประสบการณ์ในการให้ลูกเรียนอยู่ที่บ้านและหาความรู้จากการเรียนออนไลน์
การแลกเปลี่ยนทัศนะด้านการศึกษาของลูกหลานในโซเชียลมีเดียของจีน ก็มีแนวโน้มคล้ายกัน คนจำนวนหนึ่งคิดว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานที่จำเป็นสำหรับเยาวชนอีกต่อไปแล้ว
การศึกษาสามารถทำได้ทุกที่ สิ่งที่ผุดขึ้นมาแทนก็คือสถาบันฝึกทักษะเฉพาะด้านที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าต่างๆ เช่น เรียนหุ่นยนต์ ทำอาหาร ศิลปะ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ
ใครอยากให้ลูกหลานมีความรู้และทักษะด้านใด ก็ให้ไปเรียนด้านนั้น เป็นการพัฒนาความสามารถของเยาวชนให้โดดเด่นเฉพาะจุด
โควิด-19 ทำให้คนทั่วโลกใช้บ้านเป็นสถานที่เรียนและทำงาน ประจวบกับเทคโนโลยีออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มนุษย์พัฒนาศักยภาพของตนและสมาชิกครอบครัวในรูปแบบที่ไม่เหมือนเดิม
ผมทราบจากอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชนว่าบางสาขาวิชาไม่มีนักศึกษามาลงทะเบียนเรียนเลยแม้แต่คนเดียว ถึงขนาดต้องปิดสาขา และในอนาคตอาจจะลามปามตามไปถึงการปิดภาควิชาและคณะ เพราะถึงแม้เปิดไปก็ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย
1
สถาบันการศึกษาเอกชนในระบบทั่วโลกกำลังเจอภาวะขาดทุน ถ้าเป็นสถาบันของรัฐก็ยังใช้ภาษีมาอุดหนุนจุนเจือทำให้พออยู่ได้ แต่ถ้าเป็นสถาบันเอกชน เรียนตามตรงว่าส่วนใหญ่จะไปไม่รอด
ยกเว้นสถาบันเอกชนที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่อยู่ได้เพราะงานวิจัยอย่างฮาร์วาร์ด เอ็มไอที ฯลฯ นอกจากนั้น สถาบันระดับโลกเหล่านี้ก็อยู่ได้เพราะค่าลงทะเบียนเรียน โดยเฉพาะค่าเล่าเรียนจากนักศึกษาต่างชาติ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน สถานที่ที่หล่อหลอมให้มนุษย์แต่ละคนเข้าสังคมได้อย่างราบรื่นคือโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนประถมและมัธยม หรือแม้แต่มหาวิทยาลัย
แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีคนคิดว่า สถานศึกษาเป็นสถานที่ที่ตีกรอบให้มนุษย์มีวิธีคิดและมีชีวิตเหมือนกัน มีระเบียบหลายอย่างที่ไม่ทันสมัย บางคนคิดถึงขนาดว่า สถาบันการศึกษาเป็นสถานที่ทำลายจินตนาการของมนุษย์ และสถาบันการศึกษาบางแห่งไม่ปลอดภัยต่อลูกหลาน
เยาวชนยุคโควิด-19 ที่ไม่ได้ผ่านการหล่อหลอมทางสังคมที่คล้ายกันจะมีความหลากหลายและมีความเป็นตัวของตัวเองสูง รูปแบบสังคมจะเปลี่ยนไปซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ครูอาจารย์ต้องปรับตัวสูงมากทั้งทางด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์ และต้องมีความเก่งเฉพาะด้านของจริง หมดยุคของคนที่รู้แบบเป็ด ผู้เรียนจะเจาะจงเรียนกับผู้สอนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ถึงแม้ไม่มีปริญญาหรือวุฒิการศึกษามาการันตี แต่ถ้ามีความเชี่ยวชาญ ก็สอนได้
เพราะเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแทบทุกอย่าง ชีวิตมนุษย์จึงจะง่ายขึ้น มนุษย์จะสนใจเพียงเรื่องหลัักคือ สุขภาพ เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์
ส่วนเรื่องอื่นๆ มนุษย์จะใช้ตัวช่วยจาก Big data เพียงกดโทรศัพท์มือถือก็เข้าถึงทุกเรื่องที่ตนต้องการ แม้แต่ด้านภาษา ซึ่งในเร็ววันนี้ มนุษย์อาจจะไม่ต้องใช้ล่ามที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน เครื่องแปลภาษาจะทำหน้าที่แทนได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
https://www.forbes.com/sites/joemckendrick/2019/12/17/artificial-intelligences-foothold-increases-going-into-2020/#6e77f80f415e
สิ่งที่น่ากลัวก็คืออาชีพหรืองานจำนวนไม่น้อยของมนุษย์จะหายไป ความเหลื่อมล้ำของมนุษย์ในอนาคตคือความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ที่จะสร้างองค์ความรู้ ต่อยอดพัฒนาอาชีพ สร้างงานและสร้างเงิน
ที่ผมรับใช้ไปวันนี้ เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายทั้งหลายเคยทำนายทายทักกันมานานแล้วทั้งนั้น แต่ที่มาไวเกินคาดก็เพราะวิกฤติโควิด-19 ที่เร่งให้ผู้คนทั่วโลกต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะประสบการณ์การเรียนและการทำงานจากบ้าน
ผู้อ่านท่านที่เคารพ โลกหลังโควิด-19 คือโลกใบใหม่ของท่าน.
โฆษณา