26 ก.ค. 2020 เวลา 23:29 • ไลฟ์สไตล์
👉เรื่องราวที่ให้ข้อคิดดีดี
…ใครก้อไม่รู้ส่งเพจ เรื่องราวของเตี่ยกับอาหมวย…
มาให้อ่านสองสามวันก่อน…
Pinterest.com
…เป็นเรื่องราวที่ให้ข้อคิดดีๆ ที่เตี่ยได้สอนอาหมวย ที่มีสาระให้ได้คิด และยังสามารถนำไปใช้ได้ด้วยครับ :)
…เตี่ยกับอาหมวย เดินจากตลาดมาถึงบ้าน ก็พอดีฝนเทลงมา
สองพ่อลูกหันมายิ้มด้วยกัน เหมือนกับจะบอกว่า " เรารอดแล้ว "
…รอดจากการเปียกฝน
อาหมวยหิ้วตะกร้าตรงเข้าครัว จัดการล้างผักให้เตี่ย
…โดยมีเตี่ยเป็นผู้กำกับ
"ผักมีดินติดอยู่ ต้องล้างผ่านน้ำก่อน แล้วค่อยลงแช่น้ำผสมด่างทับทิมนะ"
"ค่ะ เตี่ย เตี่ยบอกทุกครั้ง อั๊วจำได้"
"เอาน่า เตี่ยยังอยู่เตือนลื้อ ก็รับฟังเอาไว้ วันหนึ่งข้างหน้า เสียงของเตี่ยก็ไม่มีแล้วน้า"
อาหมวยหยุดมือ มองหน้าเตี่ย
"เตี่ย เตี่ยพูดแบบนี้อีกแล้ว อั๊วไม่ชอบฟัง"
เตี่ยไม่ตอบอะไร แค่อมยิ้ม มือยังคงล้างซี่โครงหมูผ่านน้ำ
"ซี่โครงหมูนี่นะ ต้องล้างผ่านน้ำ เอามือถูให้ทั่วๆ เอาสิ่งสกปรกออก แล้วก็ซับให้แห้ง แบบนี้" เตี่ยพร่ำสอน อาหมวย
เตี่ยวางซี่โครงลงบนเขียง ที่มีผ้าสะอาดปูบนหน้าเขียง จับชายผ้าทั้งซ้ายและขวา ขึ้นมาซับน้ำออกจากซี่โครงหมู จากนั้นดึงผ้าออก แล้วจึงสับให้พอดีคำ
"ทำไมต้องซับด้วยผ้าคะเตี่ยประเดี๋ยวลงหม้อ ก็เปียกอยู่ดี"
อาหมวยถามด้วยความสงสัย
"อ๋อ!.. ถ้าเปียก เวลาสับ น้ำจะกระเด็น เปรอะเปื้อน เสื้อผ้า ยังไงหล่ะ"
1
เตี่ยหยิบซี่โครงหมูที่สับแล้ว ใส่ลงหม้อทีละชิ้นๆ ปากก็พูดว่า
" ปัญหาแต่ละอย่าง มันมีวิธีแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน แต่ความรุนแรงของปัญหา จะเบาบางลงหากเราใช้วิธีที่นุ่มนวล เหมือนการที่เราเอาผ้าซับน้ำ ต่อให้ปังตอสับแรงแค่ไหน น้ำและเลือดจากซี่โครง ก็ไม่กระเด็นมาโดนเรา จริงมั๊ย?"
อาหมวยยิ้ม พยักหน้า ตอนนั้นยิ้มเพราะไม่เข้าใจ ยิ้มไปอย่างนั้น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป นึกถึงทีไร ก็ยิ้ม ยิ้มให้กับความคิดแยบยลของเตี่ย ที่สั่งสอนธรรมะให้ลูก ผ่านการทำอาหาร
เตี่ยค่อยๆหยิบผักแต่ละชนิด จากกาละมังน้ำผสมด่างทับทิมที่แช่ผักเอาไว้
นำขึ้นมาล้างอย่างเบามือ ทีละชนิด แล้ววางลงบนตะกร้า เพื่อสะเด็ดน้ำ
ต่อจากนั้น เตี่ยบรรจงหั่นผักแต่ละชนิด ที่ต้องใช้คำว่าบรรจง เพราะเตี่ยบรรจงทำจริงๆ การทำอาหารของเตี่ย ดูแล้วเหมือนงานศิลปะ นุ่มนวล เนิบนาบ ตามนิสัยเตี่ย
"ใส่ซี่โครงหมูลงไป แล้วเติมน้ำสักครึ่งหม้อ ยกไปตั้งบนเตาให้เตี่ยที"
อาหมวยทำตามที่เตี่ยสั่ง
"ตั้งไฟแรงก่อน คอยดูไว้นะพอเดือด ก็ต้องเบาไฟ แล้วช้อนฟองออกทิ้ง จากนั้นก็แง้มฝา ความร้อนจะได้ระอุอยู่ในหม้อ ปล่อยให้เคี่ยวไปเรื่อยๆ ความหวานจากซี่โครงหมูจะค่อยๆออกมาเอง"
"บางสิ่ง บางอย่าง ต้องรอเวลา อย่ารีบร้อน มันถึงจะหอมหวาน"
เตี่ยพูดเบาๆเหมือนรำพึงกับตัวเอง มือยังคงหั่นผักไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไป ผักทั้งหมดนอนอวดตัวในถาด หัวไชเท้าแยกอยู่ในตะกร้า
"เอาไชเท้านี่ หย่อนลงหม้อก่อน ไชเท้าเนื้อแน่น หนา สุกยาก ต้องใส่ก่อน"
"ค่ะ เตี่ย"
แต่ อาหมวยก็เผลอเทพรวดลงทั้งตะกร้า น้ำซุปร้อนๆกระเด็นโดนแขนหลายที่ รีบวางตะกร้า แอบเอามือลูบแขนให้คลายร้อน ไม่ให้เตี่ยเห็น
เตี่ยแอบยืนมองแล้วยิ้ม พูดเบาๆว่า
"เพิ่งสอนไปหยกๆว่า ความรุนแรงมักก่อปัญหา ความเดือดร้อน เข็ดไหม อาหมวย เอ๊ย!"
อาหมวย ตกใจ ที่เตี่ยเห็นพยักหน้าที่งอหงิก หงักๆเพราะความร้อน
เตี่ยยกกระทะมาตั้งบนเตาไฟอีกเตา ตักน้ำมันหมูใส่ ตามด้วยกระเทียมสับ
"นี่เป็นก้านผักคะน้า และกวางตุ้ง ต้องแยกจากใบ เพราะก้านแข็งกว่าใบ ผัดแล้วต้องแยกไว้ ก้านใส่ก่อน ใบใส่ทีหลัง ส่วนกะหล่ำปลีเตี่ยฝานให้ติดใจผัก จะได้ไม่แยกออกจากกัน เดี๋ยวต้องเอามานาบกับกระทะ ใส่น้ำมันนิดหน่อย สีจะสวยน่ากิน และไม่เหม็นเขียว ส่วนคึ่นช่ายนั่นผัดเอาไว้ ใส่หลังสุด เพราะสุกง่ายที่สุด "
เตี่ยใช้มือทำงานไป พร้อมกับใช้คำพูดสอนลูกไป
"ทำไมต้องแยกคะเตี่ย เดี๋ยวก็ลงหม้อเดียวกัน "
อาหมวยถามด้วยความสงสัย
"ใช่ ใส่พร้อมกันก็ได้ เป็นวิถีของคนชุ่ยๆ ที่แปลว่า มักง่ายยังไงหล่ะ แล้วลื้ออยากเป็นคนมักง่ายหรือไม่ล่ะ"
อาหมวยส่ายหน้า คำว่า ชุ่ย คำว่า มักง่าย อาหมวยว่าเป็นคำด่าที่รุนแรง มันหมายถึงคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน หรือ คนที่ไม่รับฟังคำสั่งสอน
เมื่อโตเข้าวัยทำงาน หากใครถูก อาหมวยตำหนิว่า มักง่าย นั่นหมายถึงรุนแรงแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
"เตี่ย กินได้หรือยังคะ อั๊วอยากกินแล้ว"
"กินได้ แต่ยังไม่อร่อย ยังไม่ถึงเวลาของมัน อดทนไหม ถ้าอดทน ก็จะได้กินของอร่อย"
อาหมวยพยักหน้า ใครๆก็อยากกินของอร่อยทั้งนั้น
บ่ายคล้อยแล้ว
ตอนนี้จับฉ่ายของเตี่ย ปรุงเสร็จแล้ว
เตี่ยปรุงรสเพียงเติมดอกเกลือเล็กน้อย ใช้เวลาเคี่ยวจนความหวานของผักเผยตัวออกมา รสชาติอ่อนๆ ผักทุกชนิดเปื่อยนุ่ม เท่าๆกัน ละมุนลิ้น ละมุนคอ นี่กระมังที่เค้าเรียกว่า
"นวลลิ้น"
เตี่ยนั่งลง ตรงข้ามอาหมวย เอ่ยถามว่า
"อร่อยมั๊ย อาหมวย"
อาหมวยเงยหน้าจากชามข้าว ใช้ตะเกียบคีบกะหล่ำปลีใส่ในชามข้าวของเตี่ย แล้วตอบ
"ที่สุดเลยค่ะเตี่ย ผักทุกอย่างนุ่มกำลังดีค่ะ"
"นุ่มเท่าๆกันด้วย ใช่มั๊ย"
"ค่ะ"
เตี่ยวางตะเกียบลงบนปากชามข้าว ก่อนจะเอ่ยว่า
"การทำอาหาร ก็เหมือนการใช้ชีวิต แต่ละช่วงวัย ก็ทำหน้าที่ตามวัย ไม่ก้าวข้าม ไม่ต้องรีบโต ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆเรียนรู้ จากการดู การฟังตามจังหวะของชีวิต แล้วฝึกทำ ไม่ก้าวกระโดด เติบโตตามวัยนั้น รับผิดชอบในหน้าที่ตนให้ดีที่สุด
รู้จักคิด รู้จักลำดับความสำคัญ อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำทีหลัง เป็นการสร้างวินัยในการดำเนินชีวิต
อะไรก็ตาม ที่ถูกที่ ถูกเวลา สิ่งนั้นจะสมบูรณ์ งดงามเสมอ"
"ค่ะ เตี่ย"
เตี่ยทิ้งท้ายอีกว่า
"สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรฝึกให้ลูก คือ ระเบียบ วินัย ความอดทน ต้องฝึก ต้องปลูกฝังกันให้เป็นนิสัย
เพราะเป็นยาขนานเอก ที่จะปกป้องลูก ไม่ให้เป็นคนมักง่าย โกรธง่าย และมีสติ ต้ังอยู่ในความคิดดี ความถูกต้อง"
………………………
ครับ อย่างที่เตี่ยพร่ำบอกไป …ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน
…ค่อยๆเรียนรู้เป็นขั้นเป็นตอนไป
เหมือนที่เราเรียนหนังสือที่โรงเรียน …
…นอกจากสาระทางวิชาการแล้ว
เราก้อยังได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ที่เติบโตไปพร้อมกับเพื่อนๆ
…ได้เห็นความคิดอ่าน
และการดำเนินชีวิตของรุ่นพี่ๆน้องๆ
ในสังคมโรงเรียน …
โดยเราก้อเติบโตไปพร้อมกับได้เริ่มเรียนรู้วิถีประชาวัยจิ๋วๆ
และกฏเกณฑ์ของสังคมโรงเรียนไปด้วยตั้งแต่อยู่ชั้นต่ำๆ
…พร้อมๆกับอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ …เราได้หัดคิดอะไรที่ยากที่ซับซ้อนขึ้น
…เหมือนกับที่สามล้อ^^_^^ได้เรียนรู้มาว่า …
…ความรู้ที่ได้จากโรงเรียนก้อส่วนหนึ่ง
แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย …ก้อคือ
…การมีโอกาสได้ค่อยๆเรียนรู้…
และมีการพัฒนาการในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมกับคนอื่น…
…ที่เพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆอย่างเป็นระบบนั่นเอง :)
…ครับนับเป็นเรื่องราวที่ดีๆที่น่าอ่านมากเลย
อาจมีคนได้อ่านมาบ้างแล้วจาก แหล่งอื่น
…แต่เพื่อไม่ให้คนอีกหลายๆคนที่นี่ที่ยังไม่ได้อ่าน…จะเสียโอกาสดีๆนั้นไป
ขอบคุณ
เพจ รอยทางของเตี่ย
……………………
ป.ล.ปั่นต้นฉบับไว้ตีสามกว่า …ตั้งเวลาโพสไว้ 06:29…นอนก่อนน๊าาาา :)
โฆษณา