27 ก.ค. 2020 เวลา 13:18 • ความคิดเห็น
อย่าเป็นมะม่วงหล่นเน่าโคนต้น
โดย
นิติภูมิธณัฐ
มิ่งรุจิราลัย
คนที่จะรู้ไส้รู้พุงหรือรู้สิ่งที่อยู่ใต้สมองของสหรัฐ รวมทั้งรู้ถึงกลยุทธ์ที่สหรัฐจะใช้ทำลายประเทศอื่น ต้องอ่านประวัติศาสตร์มากหน่อย
โดยเฉพาะช่วงการสถาปนาอำนาจของสหรัฐตั้งแต่ ค.ศ.1898 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการสร้างจักรวรรดิอเมริกันบนภาคพื้นแปซิฟิก ผนวกหมู่เกาะฮาวาย ครอบครองฟิลิปปินส์ ยึดครองคิวบาและเกาะต่างๆ ที่เป็นยุทธศาสตร์ในแปซิฟิก
หลายท่านคิดว่าประเทศในตะวันออกไกลที่สหรัฐสนใจที่สุดคือญี่ปุ่น ทว่า อ้า ขอโทษครับ ท่านที่เคยอ่านสาส์นเปิดประตูหรือ Open Door Notes ของจอห์น เฮย์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐสมัยประธานาธิบดีแมคคินลีย์ที่เขียนเมื่อกันยายน ค.ศ.1899 และส่งให้อังกฤษ เยอรมนี รัสเซีย ญี่ปุ่น อิตาลี และฝรั่งเศส ก็คงจะทราบดีว่าสหรัฐสนใจจีน
จีนเป็นประเทศแรกๆ ที่รัฐบาลอเมริกันออกนอกกรอบลัทธิมอนโรที่บอกว่าสหรัฐจะอยู่อย่างสันโดษ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเทศใดที่อยู่นอกทวีปของตน
นักเขียนฝรั่งที่ผมเพิ่งอ่านบทความเสร็จไปเมื่อเช้านี้ แกยังไม่ลึกเรื่องประวัติศาสตร์ เพราะแกเขียนว่าสหรัฐเพิ่งวางนโยบายเกี่ยวกับจีนตอนที่จีนผงาดขึ้นมาเป็นมังกรตื่น
https://www.eurasiareview.com/13042020-why-the-pandemic-increases-risk-of-us-china-conflict-oped/
ผมเขียนมาตั้งแต่ พ.ศ.2540 ว่าสหรัฐมีแผนการ 2 ประเภทคือ Rolling Plan แผน 50 ปี ซึ่งสามารถยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์โลก และ Long Term Perspective Plan แผนระยะยาว 200 ปี ซึ่งไม่มีใครทราบดอกครับว่า ไอ้แผนที่สองนี่เริ่มเมื่อใด แต่สันนิษฐานกันน่าจะเริ่มเมื่อมีการสถาปนาจักรวรรดิอเมริกันในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
ประเทศที่ต้องการเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียวอย่างสหรัฐย่อมมองออกว่า อารยธรรมยิ่งใหญ่ 4-5 พันปีที่จะบูมตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นมหาอำนาจโลกได้อีกเมื่อโอกาสและจังหวะเวลามาถึงก็คือ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (อิรักและซีเรีย) อารยธรรมเปอร์เซีย (อิหร่าน) อารยธรรมสลาฟ (รัสเซีย) อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (อินเดียและปากีสถาน) และอารยธรรมจีน จึงต้องรุมตีพวกนี้ให้ล่มไปที่ละกลุ่มสองกลุ่ม
สหรัฐมีเทคนิคในการโยนภาพลบใส่บุคคลหรือประเทศอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อชักจูงทัศนคติของคนทั้งโลกให้เป็นไปในด้านลบต่อบุคคลหรือประเทศที่ต้องการโจมตี สหรัฐจะไม่ตอแยกับประเทศที่มีภาพลักษณ์ดี หรือถ้าจะเล่นงานประเทศที่มีภาพลักษณ์ดี สหรัฐก็ต้องวางแผนการยาวๆ ในการตีให้ช้ำไปทีละเล็กละน้อย
สัปดาห์ที่ผ่านมา นายปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐหยุดการเรียกโดยใช้คำว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิง หรือประธานาธิบดีจีน โดยหันไปใช้คำว่า ‘เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน’ บางครั้งก็เรียกว่า ‘เลขาธิการสีจิ้นผิง’ ก่อนหน้านี้นายปอมเปโอยังใช้คำว่ารัฐบาลปักกิ่งหรือรัฐบาลจีน แต่ตอนนี้นายปอมเปโอใช้คำว่า ‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ แทน
https://www.shropshirestar.com/news/viral-news/2017/10/19/is-china-actually-a-communist-country/
นายปอมเปโอต้องการย้ำกับคนทั้งโลกว่าที่ตนกำลังมีปัญหากับสหรัฐอยู่นี่ เป็นพวกคอมมิวนิสต์
เหมือนกับรัฐบาลในหลายประเทศที่เมื่อเผชิญปัญหาอย่างหนึ่งอย่างใดที่แก้ไขไม่ได้ ก็ใช้วิธี ‘ปลุกผีคอมมิวนิสต์’ ทั้งที่คอมมิวนิสต์ในประเทศนั้นสลายหายไปนานแล้ว แต่ก็มีผู้ครองอำนาจรัฐบางกลุ่มไม่ยอมให้ตาย และจะหยิบมาใช้เพื่อให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายของตน
สหรัฐก็ใช้กลยุทธ์ทำลายภาพลักษณ์สหภาพโซเวียตและผู้นำโซเวียตแต่ละคนอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อภาพลักษณ์อ่อนแอสุกงอมแล้ว มะม่วงก็หล่นลงมาเน่าที่โคนต้น จนสหภาพโซเวียตอันยิ่งใหญ่ล่มสลายไปเมื่อ พ.ศ.2534
ผู้นำประเทศใดที่ไม่สนใจภาพลักษณ์ เมื่อมีภาพลักษณ์เสียแล้วไม่รีบแก้ไขหรือไม่ปรับปรุง ปล่อยให้ภาพลักษณ์เสียหายติดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งความเสียหายสุกงอม มะม่วงก็จะหล่นลงมาเน่าเฟะที่โคนต้น อย่างที่โซเวียตเคยเจอมาแล้ว
สงครามของ 2 อภิมหาอำนาจจบโดยไม่เสียกระสุนแม้แต่นัดเดียว
ผู้นำหรือชาติรัฐที่ไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์
บั้นปลายท้ายที่สุด จะแพ้อย่างไม่รู้ตัว.
โฆษณา