30 ก.ค. 2020 เวลา 10:45 • ประวัติศาสตร์
สิ่งที่มีค่าที่สุดของคนเรา ไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง หรือ ความร่ำรวย แต่คือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างต่างหาก แต่คนส่วนใหญ่จะมองเห็นมันก็ต่อเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
1
ยูจีน โอเคลลี ประธานและซีอีโอของบริษัทระดับโลกอย่าง KPMG ซึ่งชื่อนี้คนไทยอาจไม่คุ้นหูเท่าไหร่ แต่คงพอเดาได้ว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญของโลกธุรกิจคนหนึ่ง
โอเคลลี อยู่กับ KPMG มาหลายสิบปี เขาค่อยๆ ไต่เต้าจากตำแหน่งเล็กๆ จนกระทั่งได้ขึ้นมาเป็นซีอีโอที่มีลูกน้องกว่า 20,000 คน
เขามีโอกาสร่วมรับประทานอาหารกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ, วอร์เรน บัฟเฟตต์, เจฟฟ์ อมเมลต์ ฯลฯ
เขาเป็นคนหนึ่งที่รักงานของตัวเองมากๆ ถึงขนาดทำงานตลอดเวลาทั้งวัน ทั้งคืน แม้กระทั่งวันหยุด เขาไม่เคยไปงานโรงเรียนของลูกสาวเลย ยุ่งถึงขนาดที่ว่าในรอบสิบปีเขามีโอกาสออกมากินมื้อเที่ยงกับภรรยาแค่สองครั้งเท่านั้น
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาต้องการจะทำสัญญากับวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของโลกแห่งหนึ่งให้มาเป็นลูกค้า ซึ่งประธานบริษัทที่มีอำนาจในการตัดสินใจนี้อยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
แต่เงื่อนไขสำคัญคือ เขาต้องประมูลแข่งกับอีก 4 บริษัท ซึ่งลูกค้าก็ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกเขาหรือไปทำกับเจ้าอื่น และประเด็นคือมันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่การประมูลจะถูกปิดลง เขาจึงพยายามที่จะติดต่อขอพบลูกค้าคนนี้ แต่ลูกค้าเองก็ไม่มีช่วงเวลาว่างเลย
เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาจึงไปคุยกับเลขาฯ ของท่านประธาน เพื่อถามว่าช่วงนี้เจ้านายจะเดินทางไปไหนบ้าง เลขาฯ จึงให้ข้อมูลว่า ท่านประธานมีทริปเดินทางสั้นๆ จากซิดนีย์ไปเมลเบิร์น
โอเคลลีเลยถามว่าท่านประธานจะนั่งเก้าอี้เบอร์อะไร เที่ยวบินไฟล์ทไหน เพื่อจะได้จองเที่ยวบินไฟลต์เดียวกัน ที่นั่งใกล้กับท่านประธาน เพื่อใช้เวลาระหว่างเดินทางคุยเรื่องการทำสัญญาธุรกิจ
พอได้ข้อมูลจากเลขาฯ เรียบร้อย โอเคลลีก็บินจากนิวยอร์กไปซิดนีย์โดยใช้เวลาบิน 22 ชั่วโมง เพื่อขึ้นเครื่องบินต่อจากซิดนีย์ไปเมลเบิร์นซึ่งเป็นไฟลต์เดียวกับท่านประธาน และเขาก็ได้นั่งคุยกันถึงข้อเสนอของ KPMG โดยมีเวลาเจรจากันหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ก่อนที่เครื่องบินจะถึงที่หมาย
และทันทีที่เครื่องบินแตะสนามบินเมลเบิร์น เขาก็ร่ำลาลูกค้า แล้วขึ้นเครื่องบินต่ออีก 20 กว่าชั่วโมงกลับไปนิวยอร์กทันที และอีกไม่กี่วันต่อมา KPMG ก็ได้รับข่าวดี คือการชนะประมูลพร้อมกับได้เซ็นสัญญามูลค่ามหาศาลกับลูกค้ารายนี้
ยูจีน โอเคลลี ในวัย 53 ปี เขามีทุกอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาอยากมี ทั้งครอบครัวที่น่ารัก หน้าที่การงานก็กำลังไปได้สวย เขาใช้ชีวิตอยู่ในห้องพักที่กว้างใหญ่ในนครนิวยอร์กและยังมีบ้านพักตากอากาศอีกหลายที่ เขาสามารถเดินทางไปไหนมาไหนก็ได้ด้วยเครื่องบินส่วนตัวที่จอดอยู่ห่างจากบ้านเพียงไม่กี่นาที เรียกได้ว่า เขากำลังอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ไม่สบาย…
แต่เอาจริงๆ เขาเองก็ไม่ค่อยจะป่วยมากนักในชีวิต เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนยุ่งแค่ไหน แต่เขาก็ดูแลตัวเองอย่างดี ระวังเรื่องอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ที่สำคัญเขาไม่อดนอนและค่อนข้างจะนอนเยอะด้วย เวลาที่ไปตรวจสุขภาพกับหมอจึงไม่ได้มีอะไรให้ซีเรียสมากนัก
จนกระทั่งผลออกมา…
ปรากฎว่าเขาเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย ชนิดที่หมอต้องบอกว่า การทำคีโม คงไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ และเขามีเวลาอีกประมาณ 100 วัน ที่จะอยู่บนโลกใบนี้
ทันทีที่ฟังผลตรวจจากหมอ ยูจีน โอเคลลี ร่วงหล่นจากจุดสูงสุดของชีวิตทันที…
สำหรับเขา นี่มันไม่ต่างกับการเป็นนักโทษที่ถูกคำตัดสินประหารชีวิต
แต่หลังจากที่เขาตั้งสติได้และยอมรับความจริงว่ายังไงนี่ก็เป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ ไม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า เมื่อคิดได้อย่างนั้นเขาจึงเริ่มจัดลำดับชีวิตใหม่
งานที่เคยเป็นจุดศุนย์กลางของชีวิต งานที่เขาเคยทำทุกวัน งานที่เคยเป็นสิ่งที่เขาทำตั้งแต่ลืมตาตื่นเช้าจนเข้านอน…
วันนี้คำว่า “งาน” กลับไม่มีความสำคัญอะไรกับเขาเลย ไม่มีความสำคัญถึงขั้นที่ตัวเขาเองยังสงสัย ว่าที่ผ่านมาเขาทำอะไรไป
อย่างไรก็ตาม โอเคลลี ก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ “บอกลา” คนที่เขาเคยมีความสัมพันธ์หรือเคยพบเจอมาในชีวิต
เขาติดต่อคนประมาณ 500 ตั้งแต่คนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า เพื่อนที่ห่างหายกันไป รูมเมทสมัยเรียน คนที่เขาเคยเจอ เคยกินข้าว เคยทำงาน เคยตีกอล์ฟ จนกระทั่งเพื่อนสนิท ครอบครัว ลูกๆ และ ภรรยา
เขาต้องการบอกให้คนเหล่านี้รู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตและเพื่อบอกลาทุกคน
เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทุกคนให้ค่ากับมันจริงๆ ไม่ใช่งาน ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ความรวย แต่คือ “ความสัมพันธ์”
และความสัมพันธ์กับคนรอบข้างนี่แหละ คือ ความหมายที่แท้จริงของ “ชีวิตมหาเศรษฐีอย่างโอเคลลี”
โอเคลลี เคยสัญญาที่จะพาลูกสาวคนเล็กไปเที่ยวกรุงปราก แต่เขาก็ไม่ได้พาไปเสียที เพราะคิดมาตลอดว่าเขายังมีเวลาอีกมากมายที่จะพาเธอไป เพราะเขามีเครื่องบินส่วนตัวที่จอดอยู่แค่ไม่กี่นาทีจากบ้าน ที่พร้อมจะพาเขาและลูกสาวไปที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้บนโลกใบนี้
แต่วันนี้ เขาไม่มีแรงพาไปอีกแล้ว เขาได้แต่ฝากภรรยาของเขาให้เป็นคนช่วยสานต่อสัญญาที่เขามีกับลูกสาว
จนสุดท้ายครอบครัวของเขาตัดสินใจไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศ ณ เลค ทาโฮ แทน ที่ๆ เขาได้บันทึกเอาไว้ว่า เป็นวันที่ “ดีที่สุด” ในชีวิตของเขา
มันเป็นเพียงวันธรรมดาที่เขาได้ออกไปนั่งเรือ ซึ่งปกติเขาจะเป็นคนขับและลูกสาวนั่งที่หัวเรือ
แต่วันนี้ต้องเป็นลูกสาวที่มาเป็นคนขับ ส่วนเขาก็ไปนั่งที่หัวเรือแทน ในระหว่างที่นั่งอยู่เขาหันกลับมามองลูกและภรรยา แล้วก็หัวเราะด้วยกัน
โอเคลลี บันทึกไว้ว่า “19,300 กว่าวันที่เขาอยู่บนโลกใบนี้มา… วันนี้… บนเรือกลางทะเลสาบแห่งนี้ คือ วันที่ดีที่สุด เท่าที่ชีวิตของเขาเคยมีมา…
และหลังจากนั้นโอเคลลีก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และย้ายกลับมารักษาต่อที่บ้านในนิวยอร์ก และจากไปอย่างสงบในวันที่ 10 กันยายน ปี 2005
ทิ้งบทเรียนที่หนักอึ้งไว้ให้พวกเราว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดของคนเรา ไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง หรือ ความร่ำรวย แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนรอบข้างต่างหาก เเต่คนส่วนใหญ่จะมองเห็นมันก็ต่อเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย”
อ้างอิง
หนังสือ วิธีคิดไร้กระบวนท่า หนังสือที่จะพลิกวิธีคิดคนทำธุรกิจอย่างคุณ...
.
“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
.
เเต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
.
สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ
ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล
โฆษณา