1 ส.ค. 2020 เวลา 22:59 • ปรัชญา
“ความจริงกับความจำ”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๒ สิงหาคม ๒๕๖๓
พูดถึงความจริงกับความจำ พอมีสมาธิแล้ว เวลาฟังธรรมจะเป็นความจริง จะบรรลุธรรมได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดแสดงพระปฐมเทศนาให้แก่พระปัญจวัคคีย์ ที่มีสมาธิกันแล้ว ได้ฌานกันแล้ว มีศีลอยู่แล้ว ทานก็สละให้หมดแล้ว ถ้าเป็นนักเรียนก็อยู่ในระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกแล้ว พอฟังธรรมก็บรรลุได้เลย แต่สำหรับบุคคลที่ยังไม่มีสมาธิ ศีลยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ได้ทำทานเท่าที่ควร ฟังแล้วจะไม่บรรลุกัน เพราะยังไม่มีศีลและทานที่จะสนับสนุนให้จิตใจสงบลงได้อย่างเต็มที่ ลงถึงฐานเลย ถ้ามีสมาธิแล้วพอฟังธรรมไป ก็พิจารณาตามความจริง ตามเหตุตามผลที่แสดงไว้ ก็จะเป็นการปฏิบัติในขณะที่ฟังธรรม เป็นการศึกษาไปด้วย ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอริยสัจ ๔ ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค พระปัญจวัคคีย์ก็พิจารณาตาม ก็ปรากฏมีหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เห็นว่าความทุกข์เกิดจากความไปยึดไปติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง ไปอยากกับสิ่งที่ไม่เที่ยง ทุกข์ก็คือความแก่ความเจ็บความตาย เหตุที่ทำให้ทุกข์ก็คือตัณหา อยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย เพราะยังอยากเสพสัมผัสกามรสอยู่ อยากดู อยากฟัง อยากดมกลิ่น อยากลิ้มรส อยากสัมผัสสิ่งต่างๆทางร่างกายอยู่ ก็จะยึดติดกับร่างกาย ก็จะเกิดภวตัณหาวิภวตัณหาขึ้นมา อยากจะให้ร่างกายอยู่ไปนานๆ ไม่อยากให้ร่างกายแก่เจ็บตาย พอพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอริยสัจ ๔ ทรงแสดงทุกข์ แสดงสมุทัย แสดงมรรคคือสติปัญญา ศีลสมาธิปัญญา พอฟังแล้วก็เกิดความเข้าใจขึ้นมา ก็ละสมุทัยได้ ก็เกิดนิโรธขึ้นมาในขณะนั้น
การมีดวงตาเห็นธรรมก็คือการเห็นพระอริยสัจ ๔ นี่เอง เห็นครบถ้วนทั้ง ๔ ประการ และทำกิจทั้ง ๔ ประการได้ในขณะนั้น คือทุกข์ได้กำหนดรู้ ได้ศึกษาว่าทุกข์คืออะไร ทุกข์ก็คือความแก่ความเจ็บความตาย เหตุของความทุกข์หรือสมุทัย ก็คือตัณหาความอยากทั้ง ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มรรคก็คือสติปัญญา พิจารณาว่าทุกข์คืออะไร ทุกข์ก็คือเกิดแก่เจ็บตาย อะไรทำให้ทุกข์ก็คือสมุทัย พอรู้ก็ตัดสมุทัย ยอมรับความจริง ยอมแก่ยอมเจ็บยอมตาย ความทุกข์ก็จะหายไป ความกลัวตายก็จะหายไป ความกลัวความเจ็บ กลัวความตายก็หายไป เป็นนิโรธความดับทุกข์ขึ้นมา จิตก็เบาโล่งสบาย เหมือนกับขึ้นสวรรค์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นความสุขอย่างมาก มากกว่าสุขที่ได้จากสมาธิเป็นความสุขที่ไม่ถาวร แต่ปัญญาเป็นความสุขที่ถาวร สุขนี้จะไม่มีทางเสื่อมไป แต่สุขของสมาธิยังเสื่อมได้ ถ้าไม่ปฏิบัติสมาธิอย่างต่อเนื่อง ทิ้งไว้สักระยะหนึ่งก็จะหายไปหมด เหมือนกับเอาน้ำที่แช่เย็นออกจากตู้เย็น ไม่เอากลับไปแช่ในตู้เย็น ไม่นานน้ำก็จะหายเย็น ถ้าเอาน้ำเย็นออกมาเทใส่แก้วดื่ม แล้วเราเอากลับเข้าตู้เย็น น้ำก็ยังจะเย็นอยู่เรื่อยๆ เวลาจะดื่มก็จะมีน้ำเย็นให้ดื่ม ถ้าเข้าสมาธิอยู่เป็นประจำ ก็จะมีความสุขอยู่เรื่อยๆ ในวันหนึ่งต้องเข้าหลายๆครั้ง พอออกจากสมาธิก็ต้องเดินจงกรมต่อ พอเหนื่อยพอเมื่อยแล้วก็กลับไปนั่งสมาธิใหม่ ถ้าทำอย่างนี้ก็จะสามารถรักษาฐานของสมาธิ รักษาฐานของความสงบไว้ได้ ถ้าไม่รักษาก็จะหายไปหมด
หลวงตาท่านเคยเล่าว่าจิตเสื่อมสมาธิเสื่อม เพราะท่านไปทำกลดอยู่อันหนึ่ง ก็เลยไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เดินจงกรม จิตอยู่กับการทำกลด พอไม่ได้นั่งสมาธิอย่างต่อเนื่องก็เลยเสื่อมไปหมด พอเสื่อมแล้วก็วุ่นวายใจอย่างมาก เป็นเหมือนเศรษฐีตกยาก ท่านว่ามันทรมานยิ่งกว่าคนที่ยากจน ที่ไม่เคยเป็นเศรษฐี เคยอยู่อย่างไรก็อยู่ได้ แต่คนที่เป็นเศรษฐีแล้วต้องอยู่อย่างคนจนนี้มันแสนจะทรมานใจ เพราะมีตัณหาความอยากจะร่ำรวยเหมือนเดิม แต่คนจนนี้ไม่มีก็อยู่ตามประสาของเขาไป จึงไม่มีความทุกข์ทรมานใจ นี่ก็พูดถึงเรื่องความจริงกับความจำ
จุลธรรมนำใจ ๒๐, กัณฑ์ที่ ๔๐๘
วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โฆษณา