4 ส.ค. 2020 เวลา 11:27 • กีฬา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มต้นอย่างกระท่อนกระแท่น แต่กลับจบซีซั่นด้วยการได้อันดับ 3 อย่างไม่มีใครคาดคิด วิเคราะห์บอลจริงจังจะสรุปทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับทีมปีศาจแดงในโพสต์เดียว
[ รีวิวฤดูกาล 2019-20 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ]
ในโลกของฟุตบอล เวลาจะตัดสินผู้จัดการทีมคนไหน ว่ามีอนาคต หรือไม่มีอนาคต เขาให้ดูจากผลงาน First full season หรือแปลเป็นไทยว่า การคุมทีมแบบเต็มๆฤดูกาลครั้งแรก
คืออย่าไปวัด ผลงานกลางฤดูกาล ในกรณีที่มาแทนที่ผู้จัดการทีมคนอื่น
เจอร์เก้น คล็อปป์ย้ายมาคุมลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2015-16 มาเสียบแทนเบรนแด็น ร็อดเจอร์สที่โดนไล่ออก ก่อนจะพาหงส์แดงจบอันดับ 8
ถ้าดูจากตัวเลขอันดับ 8 เราอาจมองว่าเฮ้ย คล็อปป์ผลงานแย่ว่ะ แต่นั่นคือการเสียบกลางซีซั่นไง มันวัดยาก แล้วพอปีต่อมา 2016-17 คล็อปป์ได้คุม First full season สุดท้ายพาลิเวอร์พูลจบอันดับ 4 ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก ถึงตรงนี้แฟนลิเวอร์พูลจึงได้เข้าใจว่า เออ นี่ล่ะ คือผลงานที่แท้จริง
สำหรับโอเล่ กุนนาร์ โซลชานั้น ก็ไม่ต่างกัน ในซีซั่น 2018-19 เขามาเสียบแทนโชเซ่ มูรินโญ่ แรกๆก็เหมือนจะดี 12 นัดแรกของโซลชา ชนะ 10 เสมอ 2 พลิกสถานการณ์มีลุ้นไปแชมเปี้ยนส์ลีก แต่ 8 เกมสุดท้ายก็แผ่ว ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 4 สุดท้ายจบอันดับ 6
มีเสียงก่นด่าไม่น้อยเลย จากแฟนแมนฯยูไนเต็ดเองตอนนั้น ว่าเฮ้ย จะเอาโซลชาจริงดิ ผลงานในฐานะโค้ชก็ยังไม่ได้เด่นอะไร เคยได้แชมป์กับโมลด์ แต่นั่นมันลีกนอร์เวย์ พอมาคุมคาร์ดิฟฟ์ก็ตกชั้น
แต่ตามทฤษฎีที่เราบอกว่าไว้นั่นแหละ ถ้าจะตัดสินใคร ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ให้ดูจากผลงาน First full season ดังนั้น ก่อนจะด่าโซลชา ต้องดูผลงานในซีซั่น 2019-20 ก่อน ว่าเขาทำทีมมีอนาคตหรือไม่
[ ความเปลี่ยนแปลงต้นฤดูกาล ]
สิ่งที่โซลชาสัญญากับแฟนแมนฯยูไนเต็ด ไม่ใช่เรื่องอันดับว่าจะจบเท่าไหร่ แต่เขาสัญญาว่า "จะกลับมาเล่นเกมรุกอีกครั้ง"
โซลชาเติบโตมากับดีเอ็นเอของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันที่ฟุตบอลคือเกมบุก ไม่ใช่เกมรับเต็มรูปแบบอย่างยุคโชเซ่ มูรินโญ่ ดังนั้นเขาจึงทำทุกอย่างตรงไปที่เป้าหมายนั้น
ในช่วงซัมเมอร์ โซลชาตัดสินใจทำสิ่งสำคัญมากสองอย่าง นั่นคือ การขายโรเมลู ลูกากู ให้กับอินเตอร์ มิลาน ตามด้วยปล่อยอเล็กซิส ซานเชซ ให้อินเตอร์ยืมตัวเช่นกัน
ลูกากูพอย้ายไปอิตาลี ก็ยิงประตูกระจุย ในซีซั่นนี้เขาซัดไป 23 ประตูในเซเรียอา เป็นดาวซัลโวอันดับ 3 ของลีก ซึ่งในช่วงแรก มีคนแขวะโซลชาเหมือนกันว่า เป็นไงล่ะ ใช้งานไม่เป็นก็แบบนี้แหละ
ส่วนเคสอเล็กซิส เขาเองก็โดนด่าไม่น้อย เพราะปล่อยไปให้อินเตอร์ยืมก็จริง แต่แมนฯยู ก็ยังต้องช่วยจ่ายค่าเหนื่อย หลายแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ คือถ้าจะต้องเสียเงินขนาดนั้น สู้เก็บไว้ใช้ดีกว่าไหม แล้วชื่อชั้นอเล็กซิส ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรสักหน่อย ตอนอยู่อาร์เซน่อลเขาก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นของจริง
1
แต่โซลชา ก็ยังเลือกที่จะปล่อยทั้งคู่อยู่ดี เพราะสไตล์การเล่นมันไม่ได้ โซลชาอยากให้แมนฯยูไนเต็ด เล่นฟุตบอลเร็ว ต่อบอลเท้าสู่เท้าคม แต่ลูกากูเป็นผู้เล่นสไตล์ Post Player ตัวใหญ่ บังบอลดี ขณะที่อเล็กซิสก็ชอบครองบอลนานเกินไป ดังนั้นการมีสองคนนี้อยู่จะทำให้จังหวะเสียมากกว่า
ในมุมของเขา มาร์กซียาล-แรชฟอร์ด คืออนาคต ไม่ใช่ลูกากู-อเล็กซิส ดังนั้นเมื่อรู้ว่าคิดจะทำอะไร ก็เดินหน้าไปจุดนั้นเลยดีกว่า
อีกอย่างที่อังกฤษเขามองว่าอเล็กซิสเป็น Bad Apple คือผลไม้เน่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บไว้แล้วทำให้คนอื่นเน่าตามไปด้วย
ขณะที่การซื้อตัว นโยบายของยูไนเต็ดคือ ไม่ต้องซื้อกว้านแหเป็นสิบตัว แต่เอาคนที่ซื้อมาแล้วใช้ได้เลย แพงหน่อยก็จ่ายไป
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ถูกซื้อจากเลสเตอร์ในราคา 80 ล้านปอนด์ แอร่อน วาน-บิสซาก้า 50 ล้านปอนด์จากพาเลซ และ แดเนียล เจมส์ 15 ล้านปอนด์ จากสวอนซี
แน่นอนแมนฯยูไนเต็ดเองย่อมรู้ว่า ซื้อแม็กไกวร์ 80 ล้านปอนด์ ในราคาสถิติโลก ที่แพงกว่าฟาน ไดค์ ก็ย่อมต้องโดนแซวกระจุยอยู่แล้ว แต่ในเมื่อทีมจำเป็นต้องมีเซ็นเตอร์แบ็กคุณภาพ มันก็ไม่มีทางเลือกมากนัก จะให้ทนใช้ฟิล โจนส์ต่อไปมันก็ไม่มีอนาคตแน่ ดังนั้นแม้จะรู้ว่าแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ก็ยังต้องยอมจ่าย
ซึ่งจะว่าไป ซื้อมาแล้วแมนฯยูไนเต็ด ก็ใช้คุ้มอยู่ เพราะแม็กไกวร์ เป็นนักเตะเอาต์ฟิลด์เพลเยอร์ แค่คนเดียวในทีม ที่ลงเล่นเป็นตัวจริงครบทั้ง 38 เกมในฤดูกาลนี้ 80 ล้านปอนด์ ไม่ได้จ่ายซื้อกองหลังอย่างเดียว แต่จ่ายเพื่อซื้อผู้นำในเกมรับด้วย
2
[ ครึ่งซีซั่นแรกที่ไม่มั่นคง ]
แมนฯยูไนเต็ด เปิดซีซั่นได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยการถล่มเชลซี 4-0 โดยสองคนที่เด่นมาก คือมาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ยิง 2 ลูก และ อ็องโตนี่ มาร์กซียาล ที่ยิง 1
อีกคนที่เล่นดีมากจริงๆคือพอล ป็อกบา พลังการขับเคลื่อนจากแดนกลางของเขามันเยี่ยมมากๆ ลูก 4-0 ป็อกบาลากเดี่ยวจากกลางสนาม ก่อนจ่ายคิลเลอร์พาสให้แดเนียล เจมส์ ยิงเข้าประตูไป
แต่ปัญหาคือหลังจากผ่านไป 4 เกม ป็อกบามีอาการบาดเจ็บ และไม่สามารถลงเล่นได้อีกเลยในครึ่งซีซั่นแรก นั่นทำให้โซลชาต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ จากเดิมที่ สามารถใช้ป็อกบาเป็นตัวสร้างสรรค์เกมได้ เขาต้องกลับมาเล่นเกมเคาน์เตอร์แอทแท็ก โดยมีมาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นศูนย์กลางของทีม
ในครึ่งซีซั่นแรก ปัญหาของแมนฯยูไนเต็ด มี 2 อย่าง คือ 1) โซลชาไม่ค้นพบ 11 ตัวจริงที่ดีที่สุด และ 2) พวกเขาไม่สามารถเจาะทีมเล็กได้
ในข้อแรก เรื่อง 11 ตัวจริง โอเค นายทวารยังไงก็ต้องเด เกอา คู่เซ็นเตอร์ยังไงก็ต้องแม็กไกวร์ กับลินเดอเลิฟ แบ็กขวาก็ต้องวาน-บิสซาก้า แต่ตำแหน่งอื่นล่ะ?
คู่มิดฟิลด์ตัวกลาง มีเฟร็ดที่โดดเด่นขึ้นมา จับคู่กับแม็คโทมิเนย์ ที่เป็นพวกความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ส่วนมิดฟิลด์ตัวรุก เริ่มจากใช้ฆวน มาต้า เปลี่ยนมาใช้เจสซี่ ลินการ์ด ก่อนเปลี่ยนเป็นอันเดรียส เปเรยร่า ซึ่งไม่มีใครเลย ที่สร้างความแตกต่างได้
สามกองหน้า แรชฟอร์ด กับ มาร์กซียาล การันตีตัวจริง แต่แดเนียล เจมส์ ก็ดูเหมือนจะมีแต่ความเร็ว แต่ทักษะอื่นๆ ทั้งยิง และจ่าย ดูจะด้อยหมด
ทีมยังไม่มีความบาลานซ์ โซลชาพยายามทดสอบพลิกไปพลิกมา แต่ก็ยังไม่เจอทีมที่ลงตัวเสียที
ขณะที่ ปัญหาข้อ 2 คือแมนฯยูไนเต็ด เจาะทีมเล็กไม่ได้ นั่นเพราะพวกเขาเล่นเกมเคาน์เตอร์แอทแท็กเป็นหลัก ซึ่งวิธีการนี้ จะได้ผลดี เมื่อเจอทีมใหญ่ อย่างลิเวอร์พูลที่ชนะมา 100% พอมาเจอแมนฯยู ก็สะดุดจบเกมที่สกอร์ 1-1 แบบที่อดัม ลัลลาน่า ต้องตีเสมอนาที 85
เจอแมนฯซิตี้ ที่เอติฮัด แมนฯยู เล่นเกมสวนกลับอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนบุกไปชนะ 2-1 หรือเจอสองทีมลุ้นท็อปโฟร์ทั้งเลสเตอร์ และ สเปอร์ส ทีมปีศาจแดงก็เก็บชัยชนะได้หมด
แต่ปัญหาคือ เวลาเจอทีมเล็กที่เล่นเกมรับนี่ล่ะ ด้วยจังหวะของแมนฯยู คือเกมโต้กลับที่เน้นความเร็วของแรชฟอร์ด กับมาร์กซียาล ถ้าหากคู่แข่งไม่คิดจะบุก ปล่อยให้ทีมปีศาจแดงครองบอลล่ะ? พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เมื่อต้องเล่นเกม Possession Game มันต้องมีผู้เล่นที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างจังหวะขึ้นมา ซึ่งแมนฯยูไนเต็ดไม่มีจุดนี้ ผลก็คือ ผีแดง แพ้คริสตัล พาเลซ แพ้เวสต์แฮม แพ้นิวคาสเซิล แพ้วัตฟอร์ด แพ้บอร์นมัธ เสมอแอสตัน วิลล่าคาบ้าน คือจะเห็นว่า แต่ละทีมที่แย่งแต้มจากแมนฯยูไนเต็ดได้ คือทีมครึ่งล่างของตาราง ที่มาเน้นแพ็กเกมรับทั้งสิ้น
ผ่านไปครึ่งฤดูกาล 19 นัดแรก แมนฯยูไนเต็ด อยู่อันดับ 8 ของตาราง ยังไม่เห็นวี่แวว ว่าจะได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกได้
[ บรูโน่ ผู้เปลี่ยนแปลงทีม ]
แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็มาถึง หลังการมาของบรูโน่ เฟอร์นันเดส เพลย์เมกเกอร์ชาวโปรตุเกส
ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินเรื่องว่า จะมีนักเตะบางคนที่ยกระดับทีมขึ้นได้ในพริบตา ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องในการ์ตูน แต่ความจริงแล้ว มันมีนักเตะแบบนั้นจริงๆ
ฟาน ไดค์ย้ายมาลิเวอร์พูล ทำให้เกมรับหงส์กลายเป็นเบอร์หนึ่งของลีก หรือถ้าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น จานฟรังโก้ โซล่า ย้ายมากลางฤดูกาล 1996-97 พาเชลซีคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ทันที แถมเขายังได้รางวัล PFA Awards อีกต่างหาก
นักเตะแบบนี้มีอยู่จริง แต่มันหายาก การจะหาใครสักคนที่คลิกกับทีมได้ขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
บรูโน่ ย้ายมาแมนฯยูไนเต็ด หลังจบเกมนัดที่ 24 ของฤดูกาล โดยทีมปีศาจแดง เพิ่งแพ้เบิร์นลีย์มาคาบ้าน 2-0 ดูห่างไกลมากกับโอกาสติดท็อปโฟร์
จุดที่น่าสนใจคือ บรูโน่ย้ายมาร่วมทีม วันที่ 30 มกราคม จากนั้นอีกแค่ 2 วัน เขาลงตัวจริงทันที ในเกมที่แมนฯยูไนเต็ดเจอกับวูล์ฟแฮมป์ตัน คือเรียกได้ว่า ไม่ได้ผ่านการซ้อมกับเพื่อนเลย โซลชาส่งเขาลงเล่นแบบทันควันมาก และเกมนั้นจบลงที่สกอร์ 0-0
สิ่งที่บรูโน่มี และมันถูกนำมาใช้ทันทีคือ เขาทำให้จังหวะของแมนฯยูไนเต็ด "เร็วขึ้น" (Keeps the tempo up) เขาไม่ครองบอลนาน ไม่เลี้ยงโดยไม่จำเป็น แต่ออกบอลเร็วและคม นอกจากนั้นยังเคลื่อนที่ตลอดเวลา และไม่ทำตัวเป็นฮีโร่ คือมีจังหวะส่งก็ส่ง
2
ที่เหนือกว่าฝีเท้า คือทัศนคติที่ถูกต้อง เขาไม่จำเป็นต้องเด่นดังคนเดียว แต่ดึงเอาสิ่งดีๆของเพื่อนออกมาให้มากที่สุด ซึ่งเมื่อทุกคนเล่นได้อย่างมั่นใจแล้ว ผลประโยชน์ก็จะตกมาสู่ทีมในท้ายที่สุดเอง
หลังจากทดลอง มาต้า, ลินการ์ด และเปเรยร่า มาตลอดปี ในที่สุดโซลชาก็ได้ค้นพบ กองกลางตัวรุกที่ใช่ที่สุดเสียที ซึ่งผลงาน 8 ประตู 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่นแค่ 14 นัด บวกด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือน 2 หน นี่มันคือปีศาจชัดๆ
การได้บรูโน่ มันทำให้โซลชามีอุปกรณ์ในมือครบ คือไม่ต้องเล่นเกมรับแล้วรอโต้อย่างเดียว แต่สามารถเล่นเกมได้ทุกรูปแบบ ทั้ง Possession Game ครองบอลเยอะๆ เพราะมีตัวที่สามารถแอสซิสต์ได้ หรือจะเล่นแบบเพรสซิ่งบีบให้คู่แข่งพลาด ก็ทำได้เหมือนกัน
คราวนี้เมื่อปัญหามิดฟิลด์ตัวรุกเคลียร์แล้ว โซลชาจึงหันมาแก้ไขปัญหาอื่นต่อ
เกมแรกที่บรูโน่ลงเล่นแมนฯยู ใช้แนวรุกคือ แดเนียล เจมส์ - ฆวน มาต้า - มาร์กซียาล ปรากฏว่ามันไม่คลิกเลย จากนั้นก็ทดลองหลายแบบ หลายคอมบิเนชั่นมาก จนในที่สุดหลังพักเบรกโควิด-19 กลับมาแข่งอีกครั้ง โซลชาจึงค้นพบว่า ในแผน 4-2-1-3 บรูโน่ต้องเป็นตัวจริงในตำแหน่งกลางรุกแน่ๆ ส่วนอีกสามประสาน ก็ควรมีแรชฟอร์ด กับ มาร์กซียาล ดังนั้นจะเหลือโควต้าเดียวในตำแหน่งปีกขวา
เกมกับสเปอร์ส นัดแรกหลังพักเบรกโควิด แมนฯยู ใช้แดเนียล เจมส์ ซึ่งเกมนี้ ทีมครองบอลได้ถึง 61% แต่ไม่สามารถจบสกอร์ได้เลย แต่พอเปลี่ยนตัวเจมส์ออกนาทีที่ 62 แล้วส่งเมสัน กรีนวู้ดลงมา จังหวะทีมดีขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายมาตีเสมอได้ 1-1
1
พอจบเกมสเปอร์ส นัดต่อมาแมนฯยู เจอเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด คราวนี้โซลชาตัดสินใจถอดเจมส์ออก แล้วใช้กรีนวู้ด เป็นตัวจริง ปรากฏว่าทีมถล่มขาดลอย 3-0 มาร์กซียาลยิงแฮตทริก เกมต่อมาโซลชาใช้ 11 ตัวจริงชุดเดิมต่อ เจอไบรท์ตัน คราวนี้ถล่ม 3-0 อีก กรีนวู้ดยิง 1 จ่าย 1
2
ตามด้วยอีกนัด เจอบอร์นมัธ โซลชาใช้ 11 ตัวจริงชุดเดิมอีก คราวนี้ถล่มกระจุย 5-2 กรีนวู้ดยิง 2 ขณะที่แรชฟอร์ด มาร์กซียาล และบรูโน่ ยิงคนละลูก
1
ถึงตรงนี้โซลชาในที่สุดก็ค้นพบ 4 ประสานที่ดีที่สุดแล้ว นักเตะแต่ละคนอายุยังน้อย มีทัศนคติที่ดี และมีสไตล์ที่ตอบโจทย์เกมบุกอันรวดเร็วที่เขาต้องการอย่างที่สุด
1
ขณะที่กองกลาง เมื่อมีบรูโน่คอยเล่นเกมบุกแล้ว มิดฟิลด์อีกสองคนที่เหลือ โซลชาจึงจัดการได้ง่ายขึ้น และเขาเลือกใช้พอล ป็อกบา กับ เนมานย่า มาติชเป็นตัวจริง
ไม่ใช่ว่าเฟร็ดไม่ดี ในครึ่งซีซั่นแรกเขาเป็นฮีโร่ของทีม แต่การจัดไลน์อัพแบบนี้มันสมดุลกว่า เพราะมาติชจะโฟกัสที่เกมรับได้อย่างเต็มตัว ขณะที่ป็อกบาจะได้โอกาสเป็นตัวฟรี ทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ
ป็อกบาเป็นประเภทศิลปิน คืออย่าเอาความคาดหวังว่าจะเป็นผู้นำไปโยนใส่เขามากเกินไป ถ้าหากป็อกบาได้อิสระในการคิดจะทำอะไรก็ได้ เขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่อันตรายมาก ซึ่งในที่สุด ป็อกบาก็กลับมาเฉิดฉาย กลายเป็นทีเด็ดของแมนฯยูไนเต็ดอีกครั้ง
[ ชัยชนะของโซลชา ]
เมื่อได้ทีมที่ลงตัว โซลชาจึง on fire เขาเดินหน้าถล่มทุกทีมจนราบคาบ นับตั้งแต่บรูโน่ย้ายมา 14 เกมสุดท้ายในพรีเมียรลีก แมนฯยูไนเต็ดชนะ 9 เสมอ 5 แพ้ 0
ถ้านับเฉพาะคะแนนในพรีเมียร์ลีก 14 เกมสุดท้าย แมนฯยูไนเต็ดคืออันดับ 1 ซึ่งมันคือที่มาของการโดนแซวว่า "บรูโน่ลีก" นั่นเอง
1
โซลชานั้น ยังคงโดนวิจารณ์อยู่เสมอ แม้จะทำทีมผลงานดีขนาดนี้ แม้แต่เกมรองสุดท้ายที่เสมอเวสต์แฮมในบ้าน 1-1 เขาโดนแฟนปีศาจแดงส่วนหนึ่งด่าว่าโง่ เจอทีมหนีตายในบ้านตัวเอง ยังชนะไม่ได้ แต่โซลชาไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ เกมต่อมาที่เจอเลสเตอร์ นัดที่ 38 ของซีซั่น ที่เป็นเกมตัดสินว่าใครจะติดท็อปโฟร์ โซลชาพาทีมบุกไปชนะ 2-0
แม้กระทั่งการเปลี่ยนตัวเอาเจสซี่ ลินการ์ดลง คนก็ด่าโซลชาว่า เปลี่ยนตัวอะไรแบบนี้ จะเอาตัวโจ๊กมาทำไมให้ทีมพัง แต่กลายเป็นลินการ์ดยิงประตูปิดกล่องให้ทีมได้เฉยเลย
โซลชาให้สัมภาษณ์หลังชนะเลสเตอร์ว่า "ดูเหมือนว่าพวกคุณจะไม่คิดว่ามันจะออกมารูปแบบนี้นะ ก่อนหน้านี้มีแต่คนทำนายว่า เราจะจบอันดับ 6-7 แต่มันก็ไม่เป็นไร การโดนวิจารณ์ ทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น และ การที่ผมไม่ถูกชม มันจะทำให้ผมไม่ประมาท นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผมพาทีมจบอันดับ 3 ได้"
1
[ บทสรุปฤดูกาล ]
บทสรุปในซีซั่นนี้ แมนฯยูไนเต็ด ทำได้ดีมากกว่าที่หลายคนคาด พวกเขาอาจเริ่มต้นไม่ดี แต่มาเร่งเครื่องแรงในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง จนจบได้ถึงอันดับ 3 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่มีใครคาดเลย
บรูโน่ คือการเซ็นสัญญาแห่งปี ค่าตัว 47 ล้านปอนด์ พร้อมอ็อปชั่นเสริมอีก 21 ล้านปอนด์ กลายเป็นคุ้มค่าทุกเพนนี
กรีนวู้ดยิงระเบิดเถิดเทิงทั้งซ้าย ทั้งขวา ส่วนแรชฟอร์ดแบกทีมในครึ่งซีซั่นแรก ส่วนครึ่งซีซั่นหลังแผ่วลงไป แต่ก็ยังเป็นหัวใจที่ทีมขาดไม่ได้
ขณะที่ อ็องโตนี่ มาร์กซียาล ตั้งแต่โดนจับมาเล่นหน้าเป้า เขาเล่นได้ร้ายกาจมากๆ และดูดีกว่ายืนเป็นปีกอย่างชัดเจน ปีนี้มาร์กซียาลยิงไป 17 ลูกในพรีเมียร์ลีก โดยไม่มีจุดโทษแม้แต่ลูกเดียว ลองคิดว่าถ้าแมนฯยูในปีนี้ที่ได้จุดโทษ 14 ครั้ง แบ่งให้มาร์กซียาลยิงสักครึ่งนึง ป่านนี้เขาแซงเจมี่ วาร์ดี้ เป็นดาวซัลโวไปนานแล้ว
อีกสถิติหนึ่งที่น่าทึ่งของมาร์กซียาล คือในบรรดาดาวซัลโว 20 อันดับแรกของพรีเมียร์ลีก เขาเป็นผู้เล่นที่ยิงตรงกรอบมากที่สุด (68%) มาร์กซียาลได้ง้างเท้ายิง 59 ครั้ง เข้ากรอบไป 40 หน คือจะเห็นเลยว่า ทุกครั้งที่คิดจะจบสกอร์ มันมีลุ้นเสมอ มาร์กซียาลไม่เคยยิงพร่ำเพรื่ออย่างไม่จำเป็น
4 ประสานของปีศาจแดง มาร์กซียาล-กรีนวู้ด-แรชฟอร์ด-บรูโน่ ยังไปได้ไกลกว่านี้
ขณะที่เกมรับ ดาบิด เด เคอา ปีนี้มีเหวอเยอะก็จริง แต่ในภาพรวมเกมรับแมนฯยู ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น พวกเขาเสียประตูในลีก 36 ลูก เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล (33) และ แมนฯซิตี้ (35) เท่านั้น ที่เหลือเกมรับดีกว่าทุกทีมในลีก
ยิ่งถ้าเทียบกับซีซั่นที่แล้ว แมนฯยูเสียไป 54 ลูก (เสียประตูน้อยสุดอันดับ 11 ของลีก) ปีนี้ลดลงเหลือ 36 (เสียน้อยสุดอันดับ 3 ของลีก) ก็ต้องบอกว่าเกมรับดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับเป้าหมายในตลาดนักเตะซัมเมอร์นี้ เบอร์ 1 ที่ต้องการคือ เจดอน ซานโช่ คือต่อให้สามประสานแนวรุกเก่งแค่ไหน แต่ทั้งหมดจะลงตัวจริงทุกเกมมันไหวหรือ ยิ่งมีโปรแกรมแชมเปี้ยนส์ลีกรออยู่ด้วยนะ
ซานโช่ มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติแล้ว เล่นแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นประจำ ดังนั้นนี่จะเป็นจิ๊กซอว์ที่ลงตัวมากของทีมปีศาจแดง นี่คือ Priority ลำดับแรก ที่พวกเขาต้องปิดดีลให้ได้สำเร็จ ต้องมาดูกันว่า การซื้อขายจะสำเร็จหรือไม่
[ ตัดเกรด ]
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทำผลงานได้ดีกว่าที่หลายคนคิด แต่แน่นอน เขาได้เครดิตน้อยมากจนเกินไป น่าแปลกที่คนให้เครดิตนักเตะมากกว่า ทั้งๆที่คนคิดแผน และจัดไลน์อัพก็คือผู้จัดการทีม เขาเองก็ควรได้รับเครดิตในปริมาณใกล้เคียงกัน
แม้จะไปแชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ แต่เขายังโดนวิจารณ์ในโลกออนไลน์ว่า จะดีใจอะไรขนาดนั้น ช่องว่างกับลิเวอร์พูลก็ยังห่างตั้ง 33 แต้ม หรือกับแมนฯซิตี้ ก็ยังห่างตั้ง 16 แต้ม
แต่นั่นเป็นเพราะเราเอาไปเปรียบเทียบกับสองทีมที่มีความลงตัวอยู่แล้ว คือถ้ามองผลงานเพียวๆของแมนฯยูไนเต็ด มันไม่ได้แย่อะไรเลย
ถามว่าโซลชาประสบความสำเร็จไหม? ถ้าเราไปดู ผลงาน First full season ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ตอนคุมแมนฯซิตี้ปีแรก (2016-17) ก็จบอันดับ 3 อย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ (2016-17) ก็จบอันดับ 4
ดังนั้นการที่โซลชาฝ่าปัญหา ฝ่าวิกฤติมากมาย และพาทีมก้าวไปถึงอันดับ 3 ได้ นี่คือผลงานมาสเตอร์พีซแล้ว และในสายตาของคนนอกที่ไม่ได้เชียร์แมนฯยูไนเต็ด คิดว่าทีมปีศาจแดงตอนนี้ มีอนาคตยิ่งกว่ายุคของหลุยส์ ฟาน กัล และโชเซ่ มูรินโญ่ ด้วยซ้ำ
ตัดเกรด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2019-20 : B+
#MUFC
โฆษณา