5 ส.ค. 2020 เวลา 22:53 • ปรัชญา
“การพัฒนาชีวิตที่ถูกทาง”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๖ สิงหาคม ๒๕๖๓
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะมีคุณค่ามีคุณประโยชน์เท่ากับพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระธรรมคำสั่งคำสอนนี้จะสอนให้เรารู้จักการพัฒนาชีวิตของเราอย่างถูกต้องตรงกับหลักความเป็นจริง จะสอนให้เรารู้ว่าการพัฒนาชีวิตของเรานี้ พัฒนาที่จิตใจไม่ใช่พัฒนาที่ร่างกายไปที่ลาภยศสรรเสริญหรือความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะการพัฒนาทางร่างกายทางลาภยศสรรเสริญสุขนี้ เป็นการพัฒนาไม่ยั่งยืนไม่ถาวร ต้องมีวันเสื่อมและมีวันหมดไปตามสภาพของร่างกาย พอร่างกายตายไป ลาภยศสรรเสริญสุขที่ร่างกายหามาได้มากน้อยเพียงใด ก็กลายเป็นของผู้อื่นไป ไม่สามารถเอาติดตัวไปได้ ใจที่ไม่ได้ตายไปกับร่างกายก็ต้องแยกออกจากร่างกาย ถ้ามัวแต่พัฒนาทางร่างกาย ทางลาภยศสรรเสริญ เวลาตายไปก็ไม่มีอะไรติดตัวไปได้เลย
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พุทธบริษัทมาพัฒนาทางจิตใจกัน เพราะพัฒนาทางจิตใจจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและถาวร เราตายไปเราก็เอาติดตัวไปกับเราได้ ใจเอาสิ่งที่ใจได้พัฒนาภายในใจของตนไปได้ แต่ไม่สามารถเอาทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ไม่สามารถเอาไปได้เวลาที่ร่างกายตายไป คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงให้เจริญให้พัฒนาทางจิตใจเป็นหลัก แต่ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องของการพัฒนาทางร่างกาย ทางลาภยศสรรเสริญ เพียงแต่ควรให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทางจิตใจมากกว่าการพัฒนาทางร่างกาย ร่างกายก็ดูแลพอให้อยู่ตามอัตภาพได้ก็พอ ลาภยศสรรเสริญสุขก็ให้พออยู่ได้ก็พอ คือภาษาชาวบ้านเขาก็เรียกว่าพอหอมปากหอมคอ ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สมบัติกองเท่าภูเขา มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นนายกเป็นรัฐมนตรี เป็นคนธรรมดาก็มีความสุขได้ มีเงินทองแบบคนธรรมดาก็มีความสุขได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นมหาเศรษฐี ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นใหญ่เป็นโต เพราะการที่จะพัฒนาให้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นมหาเศรษฐีนี้มันจะบีบคั้นจิตใจให้เกิดความเครียดขึ้นมา และถ้าไม่ระวังที่จะพัฒนาจิตใจก็จะกลับไปทำให้จิตใจเสื่อมต่ำลง
จิตใจนี้สามารถเจริญก็ได้เสื่อมก็ได้ ขึ้นอยู่กับบุญหรือบาปที่เราทำกันนี่เอง ถ้าเราทำบุญจิตใจเราก็จะพัฒนาขึ้น ถ้าทำบาปจิตใจก็จะเสื่อมลง นี่คือหลักของการพัฒนาของจิตใจ พัฒนาจิตใจด้วยบุญและทำให้จิตใจตกต่ำด้วยบาป คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมุ่งไปที่การละการกระทำบาปทั้งปวง สร้างบุญสร้างกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม และชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะการชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์นี้จะพัฒนาจิตใจให้ขึ้นสู่ระดับ “โลกุตตรธรรม” คือระดับที่เหนือโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
ผู้ที่ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหาได้ จิตใจจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพ ถ้าเพียงแต่ทำบุญไม่ทำบาปจิตใจก็จะพัฒนาแต่การพัฒนาก็พัฒนาอยู่ในของไตรภพอยู่ คือพัฒนาจากมนุษย์ไปเป็นเทวดา จากเทวดาไปเป็นพรหม อันนี้ก็จะพัฒนาไปถึงขั้นสูงสุดคือสวรรค์ชั้นพรหม แต่ก็ยังติดอยู่ในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เพราะหลังจากได้ขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นพรหมแล้ว ไม่นานบุญที่ส่งให้ขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นพรหมก็หมด เหมือนกับเครื่องบินก่อนออกจากสนามบินก็เติมน้ำมันไว้เต็มเครื่อง แต่พอบินไปสักระยะหนึ่งแล้วก็ต้องแวะจอดเติมน้ำมันต่อเพราะน้ำมันหมด ถ้าไม่จอดก็จะตกลงมา อันนี้ก็เหมือนกัน
การพัฒนาจิตใจจึงแบ่งเป็น ๒ ระดับ ระดับที่ยังต้องเสื่อมและระดับที่ไม่เสื่อม ระดับที่เสื่อมเราก็เรียกว่า “โลกิยะ” ระดับที่ไม่เสื่อมก็เรียกว่า “โลกุตตระ” ระดับเสื่อมก็เป็นผลที่เกิดจากการละการกระทำบาปทั้งปวงและสร้างบุญสร้างกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม ถ้าทำ ๒ ข้อแรกนี้ได้ก็จะสามารถพัฒนาจิตใจให้ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเทพชั้นต่างๆ และระดับชั้นพรหมชั้นต่างๆ ได้ แต่ก็ยังจะต้องเสื่อมลงมากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วก็กลับมาพบกับความแก่ความเจ็บความตายใหม่ แล้วก็ต้องมาสร้างบุญสร้างกุศล ละการกระทำบาปใหม่อีก ก็จะต้องทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะว่ายังไม่สามารถที่จะพัฒนาจิตใจให้ออกจากโลกของการเวียนว่ายตายเกิดได้ จะทำได้ก็ต้องรอให้พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ทางหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ต้องให้พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ค้นพบทางที่จะนำไปสู่โลกุตตรธรรม นำไปสู่การพัฒนาจิตใจที่ยั่งยืนและถาวรได้ ต้องมีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเมื่อมีการตรัสรู้แล้วก็ต้องมีการเผยแผ่พระธรรมคำสอน ถ้าพระองค์ทรงรู้เพียงผู้เดียวแล้วไม่นำเอาความรู้นี้มาเผยแผ่แก่ผู้อื่นสั่งสอนผู้อื่น ผู้อื่นก็จะไม่มีวันรู้ได้ด้วยตนเอง อย่างพวกเรานี้ ถ้าเรามีความปรารถนาที่ต้องการที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราจะไม่มีความสามารถที่จะค้นพบทางได้ด้วยตนเอง
คนที่จะค้นพบได้นี้ต้องเป็นระดับพระพุทธเจ้าซึ่งนานๆ จะมีปรากฏขึ้นมาสักหนึ่งพระองค์ นานๆ นี้ก็คือระยะเวลาเป็นกัปเป็นกัลป์ ถ้าในสมัยปัจจุบันก็อาจจะเอาล้านมาคูณล้านแล้วก็คูณล้านอีกสิบครั้งอีกทีถึงจะได้ ๑ กัปขึ้นมา ถึงจะมีคนฉลาดที่จะมาค้นพบทางสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและถาวรได้ แล้วพอได้ทรงค้นพบแล้วก็ขึ้นอยู่ว่าจะนำเอาความรู้นี้มาเผยแผ่สั่งสอนให้แก่ผู้อื่นหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของสังคมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเกิดอยู่ ถ้าเกิดอยู่ในสังคมที่ไม่มีใครสนใจเรื่องการพัฒนาจิตใจ มีแต่สนใจในเรื่องของการพัฒนาทางลาภยศสรรเสริญสุข พระองค์ก็คงจะไม่สอน เพราะสอนก็คงจะไม่มีใครที่จะยินดีที่จะปฏิบัติ ถ้าเราอยู่ในสังคมที่มีแต่การพัฒนาทางด้านลาภยศสรรเสริญทางความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้ จะไม่มีใครอยากจะฟังเรื่องของการพัฒนาทางด้านจิตใจ เพราะว่าการพัฒนาทางด้านจิตใจนี้มันจะขัดกับการพัฒนาทางด้านลาภยศสรรเสริญสุขนั่นเอง เราไม่ต้องดูไกลดูประเทศเรา ตอนนี้คนจะหันไปทางพัฒนาทางลาภยศสรรเสริญสุขกันมากกว่าการพัฒนาทางจิตใจ ถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อสมัยปู่ย่าตายายนี้คนจะเข้าวัดมากกว่าคนสมัยนี้ คนสมัยนี้จะไปพัฒนาทางด้านลาภยศสรรเสริญทางรูปเสียงกลิ่นรสกัน จึงไม่ค่อยมีคนเข้าวัดกันเท่าไหร่ ยิ่งถ้ามีการเจริญทางวัตถุมากขึ้นเท่าไหร่ ความเจริญทางด้านวัตถุนี้ก็จะดึงดูดจิตใจให้ไปหลงใหลกับการพัฒนาทางด้านลาภยศสรรเสริญสุขกัน
ในสมัยก่อนการเจริญทางด้านวัตถุนี้ไม่ค่อยเจริญเหมือนสมัยนี้ คนจึงไม่มีที่ไปกันก็เลยไปวัดกัน สมัยก่อนเป็นสังคมของเกษตรกรรม คนส่วนใหญ่ก็ทำไร่ไถนาปลูกผักปลูกผลไม้ ก็พอเลี้ยงดูชีวิตอยู่กันได้ตามอัตภาพ แต่ไม่มีวัตถุต่างๆ มาดึงดูดใจให้ไปแสวงหาเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้มีวัตถุมีข้าวของเยอะแยะไปหมด มีรถหลายระดับหลายราคา มีอาคารที่พักหลายระดับหลายราคา มีเครื่องใช้ไม้สอยชนิดต่าง ๆมีเครื่องประดับชนิดต่างๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายทั้งในประเทศทั้งนอกประเทศ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการพัฒนาทางด้านลาภยศสรรเสริญ การพัฒนาทางรูปเสียงกลิ่นรสกัน พอมีสิ่งเหล่านี้มาดึงดูดใจ ใจก็เลยไม่มีเวลาที่จะไปเข้าวัดเข้าวาเพื่อไปศึกษาเพื่อให้รู้ว่าการพัฒนาที่แท้จริงนี้ต้องพัฒนาที่จิตใจ ไม่ใช่พัฒนาที่ร่างกายที่ลาภยศสรรเสริญสุขที่รูปเสียงกลิ่นรสที่คนสมัยนี้กำลังหลงใหลกัน แทบจะไม่มีคนชอบเข้าวัดกันแล้วสมัยนี้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ถ้าไม่มีพ่อแม่ดึงเข้านี่รับรองได้ว่าจะไม่เข้า ต้องอาศัยผู้หลักผู้ใหญ่ผู้เห็นคุณค่าของการพัฒนาทางด้านจิตใจที่จะคอยดึงเด็กให้เข้าวัดกัน ถ้าไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เห็นคุณค่าในการพัฒนาจิตใจ ไปเห็นคุณค่าในการพัฒนาทางด้านลาภยศสรรเสริญ ก็จะดึงดูดจิตใจของเด็กอนุชนรุ่นหลังนี้ให้ไปสู่ทางพัฒนาทางร่างกายทางลาภยศสรรเสริญกัน
เดี๋ยวนี้เน้นการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มีกำลังวังชา ตอนเช้าออกบิณฑบาตนี่จะเห็นวิ่งกัน แทนที่จะมาใส่บาตรกันกลับไปวิ่งกัน อันนี้ก็คนละทางกันแล้ว ถ้าอยากจะพัฒนาทางจิตใจก็ใส่บาตรเอาเวลาตอนเช้ามาใส่บาตร แต่ถ้าอยากจะพัฒนาทางร่างกายตอนเช้าก็ออกมาวิ่งมาออกกำลังกายกัน อันนี้ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้ที่จะให้ความรู้แก่อนุชน ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็หลงไปกับการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนคือพัฒนาทางร่างกายพัฒนาทางลาภยศสรรเสริญ ส่งเสริมให้อนุชนได้พัฒนาไปทางด้านนี้กัน การศึกษาก็เน้นเรื่องวิชาความรู้ที่จะได้เอามาพัฒนาทางลาภยศสรรเสริญสุขกัน วิชาที่พัฒนาเกี่ยวกับทางด้านจิตใจก็ถูกตัดไปๆ ศีลธรรมคำสั่งคำสอนของศาสนาก็ถูกตัดไป เพื่อเอาวิชาความรู้ที่จะมาพัฒนาทางด้านวัตถุทางด้านลาภยศสรรเสริญมาสอนแทน เพราะหลงใหลไปกับความเจริญทางด้านวัตถุกัน เห็นชาติที่เขาพัฒนาทางด้านวัตถุก็อิจฉาหรืออยากจะเป็นเหมือนเขา เห็นเขามีความสุขความสบายทางด้านลาภยศสรรเสริญทางด้านรูปเสียงกลิ่นรสก็อยากจะได้เหมือนเขา แต่สิ่งที่มองไม่เห็นที่มากับการพัฒนาทางด้านวัตถุก็คือ ภาวะของความเครียดต่างๆ ของจิตใจที่จะมีเพิ่มมากขึ้นๆ ไปตามลำดับ คือปัญหาทางด้านโรคจิตสุขภาพจิต จิตใจนี้จะเสื่อมลง คนจะเป็นโรคเครียดกันมาก คนจะฆ่าตัวตายกันมาก เพราะเมื่อถึงเวลาไปเจอปัญหา ไปเจอความเสื่อมของลาภยศสรรเสริญสุข ก็จะเกิดความเสียอกเสียใจและไม่รู้วิธีที่จะทำใจรับกับการสูญเสียหรือการเสื่อมเสีย ก็หาทางออกด้วยการฆ่าตัวตายกัน
นี่คือผลที่จะตามมาถ้ามัวไปหลงใหลกับการพัฒนาทางด้านร่างกาย ทางลาภยศสรรเสริญทางรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ เวลาที่ไปพบกับความสูญเสียเวลาไปพบกับความผิดหวังจะเกิดความทุกข์เกิดความทรมานใจขึ้นมามาก จนอาจจะมีความรู้สึกไม่มีความอยากจะอยู่ต่อไป เพราะว่าการพัฒนาทางด้านลาภยศสรรเสริญนี้ไม่มีทางออก ไม่มีใครสอนทางออกให้ว่าเวลาที่เกิดความสูญเสียเวลาเกิดความผิดหวังนี้จะทำอย่างไรกัน นี่คือปัญหาหรือผลที่เกิดจากการที่ไปให้ความสำคัญต่อการพัฒนาแบบไม่ยั่งยืน พัฒนาแบบชั่วคราวพัฒนาทางลาภยศสรรเสริญทางรูปเสียงกลิ่นรส เงินทองได้มามากน้อยเพียงไรมันก็มีโอกาสที่จะหมดได้ ไม่หมดตอนเป็นก็ต้องหมดตอนตาย ยศตำแหน่งต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน มีโอกาสที่จะหมดได้ทั้งในขณะที่ยังไม่ตายหรือขณะที่ตาย บางคนพอครบอายุเกษียณยศตำแหน่งต่างๆ ก็ต้องหมดไปเปลี่ยนให้คนอื่นไป เคยเป็นนายพลก็หมดไปนายพันก็หมดไป เคยเป็นตำแหน่งอะไรต่างๆ พอถึงวาระที่ต้องหมดก็ต้องหมดไป เวลาหมดก็มีความรู้สึกไม่สบายใจมีความทุกข์ใจ เวลาตายไปก็เอาไปไม่ได้ เป็นนายกตายไปก็เอานายกไปไม่ได้ เป็นประธานาธิบดีตายไปก็เอาประธานาธิบดีไปไม่ได้ เอาอะไรไปไม่ได้เลย ลาภยศสรรเสริญสุขนี่จะต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นเขาเป็นไป พอนายกคนเก่าตายไปก็มีนายกคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ พอประธานาธิบดีคนเก่าตายไปก็มีประธานาธิบดีคนใหม่มาแทนที่ คนที่ตายไปก็ไม่มีอะไรติดตัวไป สิ่งต่างๆ ที่ได้พัฒนาทางด้านร่างกายนี้เอาไปไม่ได้เลย คือลาภยศสรรเสริญ รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ นี่คือเรื่องของการพัฒนาที่ผิดทาง
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา