6 ส.ค. 2020 เวลา 11:53 • ประวัติศาสตร์
ฉันชื่อ จุนโกะ โมริโมโต้
ฉันรอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู
และนี่คือเรื่องราวของฉัน...
ฉันชื่อ จุนโกะ โมริโมโต้
ตอนนี้ฉันอาศัยอยู่ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
แต่ฉันเกิดและเติบโตที่เมืองฮิโรชิมา
ตอนเกิดระเบิดขึ้นในเช้าวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945
ฉันยังเป็นเด็กนักเรียนอายุเพียง 13 ปี
ฉันอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดลง
ออกไปเพียง 1.7 กิโลเมตร
วันนั้นที่จริงแล้วฉันต้องไปโรงเรียน
แต่ครอบครัวของฉันบอกว่าวันนี้อยู่บ้านเถอะ
ถึงไปโรงเรียนคุณครูก็เอาแต่ให้ช่วยงานเพื่อสงคราม
ไม่ได้เรียนอะไรอยู่ดี
มันเป็นเวลาก่อน 08:15
ฉันกับน้องสาวกำลังคุยเล่นกันอยู่บนเตียง
พ่อของฉันออกไปตัดผมยังไม่กลับมา
ส่วนแม่ของฉันมีปัญหาเกี่ยวกับปอด
เธอเลยไปอยู่ที่เกาะเพื่อพักฟื้นร่างกาย
น้องชายของฉันเป็นหนึ่งในอาสาสมัครนักเรียน
ที่ทำงานในโรงงานเหล็กเพื่อสร้างอาวุธสงคราม
เขาเพิ่งจะกลับมาบ้านหลังจากทำงานกะกลางคืน
และนั่งเล่นกีตาร์อยู่ข้างหน้าต่าง และไม่ได้ใส่เสื้อ
เพราะตอนนั้นมันเป็นหน้าร้อนที่ระอุพอสมควร
พี่สาวของฉันก็เพิ่งกลับมาจากการทำงานเช่นกัน
เธอกำลังกินข้าว และมือกำลังถือตะเกียบ
และนาทีนั้นเอง
เราได้ยินเสียงดังจากเครื่องบิน
 
เราเคยได้ยินเสียงเครื่องบินญี่ปุ่นมาตลอด
แต่ครั้งนี้เสียงมันแตกต่างออกไป
“มันต้องเป็น B-29 แน่เลย”
ฉันยืนขึ้นตะโกนบอกกับคนในบ้าน
ซักพักเสียงเครื่องบินก็ค่อยๆ เลือนลางออกไป
ทันใดนั้นแสงสีขาวก็พุ่งเข้ามาหาเรา
มันแยงตาจนจนมองไม่เห็นอะไร
ฉันรู้สึกได้ถึงไอร้อน มันร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ฉันมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ฉันได้ยินเสียงสะท้อนแปลกประหลาดเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้
จากนั้นฉันได้ยินเสียงระเบิด
เพดาน ตัวบ้าน ทุกอย่างพังทลายลงมาทับตัวฉัน
แสงสว่างหายไปฉับพลัน
ทุกอย่างมันมืดไปหมด
ช่วงเวลานั้นสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวคือ
“ฉันกำลังจะตาย”
“ฉันกำลังจะตาย ฉันกำลังจะตาย”
ประโยคเดิมๆ เข้ามาในหัวตลอดเวลา
สติของฉันมันได้หลุดลอยไปเสียแล้ว
ช่วงเวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไหร่
สมองของฉันเริ่มทำงานขึ้นมาบ้าง
“ระเบิดตกมากลางบ้านของเรางั้นหรือ?”
ฉันคิดในใจ
ฉันเริ่มมองเห็นว่าตนเองถูกเศษซากบ้านและหลังคาทับถมบนตัว หลังคาที่หายไปทำให้มองเห็นท้องฟ้า
มันกลายเป็นสีเทาดำไปทั่วทั้งฟ้า
เสียงผู้คนในฮิโรชิมากรีดร้องนับพันคน
เสียงโหยหวนเข้ามาในหูของฉัน
มันน่ากลัวจนฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันได้ยินมันจริงหรือไม่
ฉันจับมือน้องสาวที่อยู่ข้างๆ
เราพยายามคลานออกมาจากซากที่เราเคยเรียกมันว่าบ้าน และตะโกนเรียกหาคนที่เหลือ
“จุนโกะจัง!!!”
“เทอิจัง!!!”
“อากิจัง!!!”
 
“พวกเธออยู่ที่ไหนกัน เราอยู่ที่นี่!!!”
แล้วฉันก็มองเห็นพี่สาวของฉัน
เธอนอนหงายอยู่จุดที่เคยเป็นห้องทานข้าว
ฉันรีบวิ่งไปหาเธอ
พี่สาวของฉันร้องไห้
ทำไมที่หน้าและตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด
หนึ่งในตะเกียบที่เธอเคยถือ
มันแทงทะลุแก้มเธอจนออกมาด้านนอก
ฟันของเธอหลุดไปหนึ่งซี่
น้องชายของฉันที่อยู่อีกห้องหนึ่ง
กระจกหน้าต่างถูกแรงระเบิดและพุ่งเข้าที่หลังของเขา
บัดนี้น้องชายฉัน เต็มไปด้วยบาดแผลจากเศษแก้วที่แตกละเอียดฝังเข้าไปในหลังของเขา
เราทุกคนแตกตื่นและตกใจ
พากันรีบวิ่งหนีออกมาที่ลานกว้าง
พวกเราต่างเจ็บปวดจากการที่ต้องเดินย่ำเท้าเปล่า
จากพื้นที่เต็มไปด้วยเศษไม้และเศษแก้วต่างๆ
จนน้องชายของฉันร้องไห้ออกมาเพราะสงสารพวกเรา
“จุนโกะ!! พี่สาว!! ทุกคนโอเคใช่ไหม”
พื้นที่ที่เคยเป็นตึก เป็นอาคารบ้านช่อง
บัดนี้มันกลายเป็นพื้นที่ราบไปทั้งหมด
ไม่มีอะไรเหลือ
ตรงข้ามบ้านเราเป็นฟาร์มผัก
เคยมีต้นเชอรี่ขนาดใหญ่อยู่ในสวน
พวกเราเคยไปนั่งเล่นอยู่เสมอ
บัดนี้มันหายไปไหนแล้วไม่รู้
ฟาร์มทั้งหมดสูญหายไม่เหลือซาก
เป็นครั้งแรกที่ฉันมองเห็นเมืองฮิโรชิมาได้ทั้งเมือง
เพราะพื้นถูกถล่มราบไปทั้งหมด
และไม่มีจุดไหนที่ไม่มีไฟลุกไหม้
พวกเราเป็นห่วงพ่อ
ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร
ต่อมาเรามองเห็นชายคนหนึ่งปั่นจักรยานอย่างกระเสือกกระสน
หน้าของเขาแปลกประหลาดมาก และเต็มไปด้วยเลือด
พ่อของเรานั่นเอง
เขาถูกไฟไหม้จนหน้า มือ
และตัวกลายเป็นสีดำไปหมด
“เราต้องออกไปให้ห่างจากตัวบ้าน”
พ่อของฉันพูด
“เราต้องไปที่แม่น้ำ”
ทางเดินเต็มไปด้วยเศษซากและกองไฟ
เราจึงต้องเดินตามรางรถไฟไปที่แม่น้ำ
เท้าเปล่าของเรารู้สึกได้ถึงความร้อนจากรางรถไฟ
ควันออกมาจากตัวรางที่ทำจากไม้
แต่ไม่มีทางอื่นให้เดินแล้ว
สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวฉันตอนนี้คือเราต้องไปให้ถึงแม่น้ำให้ได้
เราคงจะไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าเราเดินไปถึงแม่น้ำ
ตัวฉันเองไม่โดนอะไรไหม้
แต่ผมของฉันเต็มไปด้วยเศษผงและฝุ่นที่คลุ้งไปทั่วอากาศ
ตัวของฉันเต็มไปด้วยเลือด
แต่ฉันไม่ได้มีเลือดออก
มันเป็นเลือดจากพี่สาวของฉัน
เลือดจากบาดแผลของพี่สาวที่อยู่ห้องครัว
มันพุ่งแรงมากจนข้ามห้องมาถึงฉัน
ฉันไม่รู้ว่าเราเดินตามรางรถไฟมาไกลแค่ไหน
สุดท้ายเราก็มาถึงแม่น้ำ
ภาพที่ฉันเห็นมันเป็นภาพที่เลวร้ายจนเกินจะเชื่อได้
เหมือนเป็นฉากในนรก
ผู้คนมากมายมายังแม่น้ำ
บางเดินกระเผลก บ้างก็คลานมา
ทุกคนต่างเต็มไปด้วยบาดแผลถูกไหม้อย่างรุนแรง
ฉันเห็นทหารคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขายังหนุ่มหรือแก่
เขาใส่เศษเสื้อที่ไหม้ ยังพอให้เห็นว่าเป็นทหาร
หลังของเขาเต็มไปด้วยแผลไหม้
เขาถอดหมวกออกมา ผมของเขายังปกติดี
มีเพียงแต่ใบหน้าของเขาที่ถูกเผาจนไม่แทบเห็นส่วนใดของใบหน้า
กองทหารพยายามรักษาคนที่บาดเจ็บด้วยน้ำมัน
เขาเอาน้ำมันมาทาตรงที่แผลไหม้
บางคนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มันคงจะแสบมากๆ
บางคนร้องไห้
และบางคนก็นอนนิ่งเหมือนตายแล้ว
บางคนเดินมาแบบเปลือยกาย
เสื้อผ้าคงจะถูกเผาไปหมด
ฉันเห็นคนหนึ่งเดินแกว่งแขน
แขนของเขาลีบยุ่ยจนเหมือนถุงน่อง
แล้วอยู่ดีๆ แขนยุ่ยอาบเลือดท่อนนั้นก็หลุดลงไปเลย
ผิวของบางคนเป็นสีแดงเข้ม เห็นได้ชัดว่าผิวด้านนอกหายไปหมดจนเหลือเพียงผิวชั้นใน
ไม่มีใครพูด
ไม่มีใครคุยอะไรกัน
มันน่าสะพรึงกลัวมาก
ทุกคนมีอาการหิวน้ำมาก
บางคนทนไม่ไหวจนต้องก้มลงไปดื่มน้ำในแม่น้ำ
ถึงแม้จะมีคนพยายามตะโกนอยู่ตลอดเวลา
“อย่าดื่มน้ำในแม่น้ำ ถ้าดื่มในนั้น คุณจะต้องตาย”
แม่น้ำที่นี่กว้างมาก
มันไหลไปทั่วเมืองฮิโรชิมา
ฉันเริ่มเห็นบางอย่างลอยมาเรื่อยๆ
ฉันเห็นซากศพคนมากมาย
ฉันเห็นซากม้าตาย
มันลอยมาในน้ำ
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดยังไม่มาถึง
ผู้คนเริ่มเดินเป็นแถวออกจากตัวเมือง
มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือตามแม่น้ำ
พ่อของฉันให้พวกเราเดินตามพวกเขาไป
มีแม่คนหนึ่ง แบกลูกทารกไว้ด้านหลัง
แต่ลูกของเธอเสียชีวิตไปแล้ว
หัวของเขาห้อยกลับหลัง และอ้าปาก
เดินไปไม่นาน ฉันเห็นเด็กประมาณ 3 ขวบ
กรีดร้องโหยหวน นั่งกอดแม่ของเธอที่ฟุบลงไปกับพื้น
“แม่!!!”
เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากผู้หญิงคนนั้น
เธอน่าจะตายไปแล้ว
หัวของฉันในตอนนั้นมันตื้อไปหมด
ฉันจึงไม่ได้หยุดที่จะช่วยพวกเขาเลย
ครอบครัวของฉันไม่มีใครคุยกันเลย
ทุกคนอึ้ง และเงียบ
พวกเราไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกับอนาคตข้างหน้า
เราทำได้แค่เดินไปอย่างช้าๆ
ฉันไม่รู้ว่าเราเดินมานานแค่ไหนแล้ว
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเย็นหรือมืด
เพราะท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงสว่างมาตลอดตั้งแต่ระเบิด
ในที่สุดเราก็มาถึงนอกเมือง
มันเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและนาข้าว
ยอดของทุกต้นมีรอยไหม้จากแรงระเบิด
จากนั้นฉันได้ยินเสียงระเบิด
“มีระเบิดอีกครั้งหนึ่งหรือ?”
ฉันคิดในใจ
ทุกคนก้มหมอบลงกับพื้น
จากนั้นเม็ดฝนก็เริ่มร่วงสู่พื้นดิน
เสียงที่พวกเราได้ยินคือฟ้าร้องนั่นเอง
มันเป็นฝนตกฟ้าร้องที่เสียงดังจนประหลาดมาก
ฝนที่ตกทำเสื้อของฉันและคนอื่นๆ กลายเป็นสีดำ
เราไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือระเบิดปรมาณู
จุนโกะเขียนหนังสือเรื่องราวการรอดชีวิตของเธอไว้อย่างละเอียด ชื่อว่า My Hiroshima (บทความข้างตันไม่ได้นำมาจากหนังสือเล่มนี้ แต่มาจากการสัมภาษณ์ของเธอใน Junko’s Story: Surviving Hiroshima’s Atomic Bomb โดย SBS Australia Production)
โฆษณา