10 ส.ค. 2020 เวลา 09:35 • กีฬา
การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นสมัยแรกของ ลิเวอร์พูล (หากนับรวมดิวิชั่น 1 เดิมเข้าไปด้วยคือ 19 สมัย) ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ มี 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดของเขาแล้ว และแทบไม่เคยเจอปัญหานักเตะตัวหลักบาดเจ็บพร้อมๆ กันทีเดียวหลายคน
การที่นักเตะระดับกระดูกสันหลังของสโมสรได้ลงเล่นต่อเนื่อง ช่วยให้ทีมฟอร์มดีแทบไม่มีสะดุด
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงการันตีแชมป์แบบรวดเร็ว โดยโกยแต้มทิ้งขาดชาวบ้านได้แบบม้วนเดียวจบ
ฤดูกาล 2019-20 ทีมหงส์แดงมีนักเตะที่ลงสนามในพรีเมียร์ลีกไม่น้อยกว่า 30 นัดถึง 8 คน นำมาโดยกองกลางกัปตันทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
ที่เหลือประกอบด้วย เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
ทุกชื่อที่ว่ามา คือกำลังหลักตั้งแต่ชุดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลก่อนทั้งหมด
นี่ถ้าหากมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง ฟาบินโญ่ และนายประตูมือหนึ่งอย่าง อลีสซง เบ็คเกอร์ ไม่เคยมีช่วงเจ็บหนักจนต้องหายหน้าจากทีมไปนาน เชื่อว่าแข้งทั้ง 2 รายก็คงได้ลงเล่นในลีกซีซั่นนี้เกิน 30 นัดทั้งคู่ด้วยเหมือนกัน
ทีนี้เรามาทบทวน 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้กันอีกครั้ง ว่ามันต้องมีใครกันบ้าง
ระบบการเล่นคือ 4-3-3 แน่นอนว่านายประตูมือหนึ่งต้องเป็น อลีสซง เบ็คเกอร์
กองหลังจากขวาไปซ้าย คือ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
แผงมิดฟิลด์ได้แก่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (กัปตันทีม), ฟาบินโญ่ และ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม
และแน่นอนว่า 3 แนวรุกต้องเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
แต่เชื่อหรือไม่ครับ ว่า 11 ตัวจริงชุดที่ว่านี้ ได้ลงพร้อมกันหมดแค่ 2 ครั้ง เท่านั้นในฤดูกาลนี้
ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ แค่ 2 นัดเท่านั้น ประกอบด้วยเกมเปิดบ้านถล่ม คริสตัล พาเลซ 4-0 และเกมแรกในฐานะ “แชมป์พรีเมียร์ลีก” ที่ออกไปโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปรบมือต้อนรับด้วยสกอร์ 4-0 พูนสวัสดิ์
นั่นหมายความว่า ต่อให้คุณมี 11 ตัวจริงชุดที่ลงตัวมากที่สุดขนาดไหน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงปัญหานักเตะบาดเจ็บ, ติดโทษแบน, ขาดความฟิต หรือฟอร์มตก ได้ตลอดฤดูกาล
ในทีมชุดใหญ่ของสโมสรฟุตบอลหนึ่งทีม จะต้องมีนักเตะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. นักเตะกำลังสำคัญระดับที่ขาดไม่ได้ ถ้าหากหายหน้าจากต้นสังกัดไปนานๆ เมื่อไร มาตรฐานของทีมจะตกต่ำลงอย่างชัดเจน
ถ้าเป็นในเกม FM เราจะเรียกคนเหล่านี้ว่า Key Player
2. นักเตะที่ดีพอสำหรับการเป็นตัวจริง แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครแย่งตำแหน่งได้
ในที่นี้ผมจะขอเรียกว่า First Team Player
3. นักเตะที่ส่วนใหญ่แล้วต้องนั่งสำรอง แต่ก็ได้โอกาสลงเล่นบ้างตอนที่โค้ชอยากพักตัวหลัก หรือไม่ก็ต้องลงสนามแทนกำลังสำคัญที่บาดเจ็บหรือติดโทษแบน
ผมขอเรียกนักเตะประเภทที่ 3 นี้ว่า Rotation Player หรือผู้เล่นที่มีไว้เพื่อใช้หมุนเวียนขุมกำลัง
สำหรับ Key Player อันดับหนึ่งของลิเวอร์พูล หนีไม่พ้น เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
หลักฐานก็คือ ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ คือนักเตะเพียงคนเดียวของหงส์แดง ที่ลงสนามเต็มเกมในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ครบทุกนัด
ซึ่งบรรดา เดอะ ค็อป คงรู้ดี ว่าแนวรับระหว่างที่มี ฟาน ไดค์ กับไม่มี มันคุณภาพต่างกันขนาดไหน
นอกจาก ฟาน ไดค์ แล้ว เชื่อว่าฟูลแบ็ก 2 ข้างอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็จัดอยู่ในหมวด Key Player อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน
เทรนท์ และ โรเบิร์ตสัน แทบจะต้องลงตัวจริงพร้อมกันตลอด สาเหตุก็เพราะ ลิเวอร์พูล ยังขาดแคลนฟูลแบ็กตัวสำรองชั้นดี
ถึงแม้ว่า เจมส์ มิลเนอร์ จะถอยไปรับหน้าที่ขัดตาทัพได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ตำแหน่งถนัดของ “ท่านรอง” ที่เหมาะเป็นมิดฟิลด์มากกว่า
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงเล็งเสริมแบ็กซ้ายคนใหม่ในช่วงซัมเมอร์นี้ก่อนตำแหน่งอื่นๆ เพราะนอกจาก โรเบิร์ตสัน แล้ว หงส์แดงขาดแบ็กซ้ายธรรมชาติระดับซีเนียร์อย่างชัดเจน
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเขากำลังจะได้ตัว คอสตาส ซิมิคาส แบ็กซ้ายทีมชาติกรีซของ โอลิมเปียกอส มาร่วมทีมภายในสัปดาห์นี้ หลังตัดสินใจล้มเลิกความพยายามที่จะคว้าตัว จามาล ลูอิส จากทีมตกชั้นอย่าง นอริช ซิตี้ ไปแล้ว
ขณะที่แบ็กดาวรุ่งอย่าง เนโก้ วิลเลี่ยมส์ เพิ่งจะได้โอกาสออกสตาร์ทให้ทีมบ้าง ก็ช่วงท้ายๆ ฤดูกาลนี้เอง
ในส่วนของแนวรุก 3 ประสาน ไม่ว่ายังไง ซาลาห์, มาเน่, ฟีร์มิโน่ ก็มีประสิทธิภาพมากกว่าใช้บริการนักเตะอย่าง ดิว็อค โอริกี้ หรือ ทาคุมิ มินามิโนะ แบบไม่ต้องสงสัย
เราจะเห็นได้ว่าถ้าหงส์แดงอยู่ในสภาพฟูลทีม พวกเขาพร้อมโค่นทุกทีมในโลก
แต่ถ้า Key Player ของพวกเขาหายหน้าไปจากทีมเมื่อไร ผลงานมักกระท่อนกระแท่นทันที
ซึ่งนักเตะที่เป็นตัวหลักของลิเวอร์พูลชุดนี้ ส่วนใหญ่แล้วมีความเป็น Key Player มากกว่าเป็นแค่ First Team Player ซะด้วยสิ
การตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ สาเหตุสำคัญคือการที่ อลีสซง ไม่พร้อมลงเฝ้าเสา จนมือสองอย่าง อาเดรียน ลงไปก่อความผิดพลาด และทำให้ทีมแพ้ แอตเลติโก มาดริด คาบ้านในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมชี้ชะตา
ความเหลื่อมล้ำระหว่างคุณภาพตัวจริงและตัวสำรอง คือเหตุผลว่าทำไมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงมักทำผลงานไม่ดีในเกมบอลถ้วยได้เท่ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
การแพ้ เชลซี 2-0 จนตกรอบ เอฟเอ คัพ คือเกมที่ฟ้องชัดว่าคุณภาพ Rotation Player ของลิเวอร์พูล บางทีอาจเป็นรองลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ด้วยซ้ำ
เอาล่ะ...เราจะกลับไปพูดถึงประเด็นไลน์อัพของ ลิเวอร์พูล ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่น่าจะดูดีที่สุดกันอีกครั้ง ว่าทำไมทีมชุดที่ 11 คนแรกลงตัวกว่าชาวบ้าน มันถึงได้ลงสนามด้วยกันแค่ 2 นัด?
ก่อนอื่นเลย ซาดิโอ มาเน่ ไม่ได้ฟิตสมบูรณ์มากพอสำหรับสัปดาห์แรก เพราะเขาต้องพักเบรกช่วงซัมเมอร์นานกว่าชาวบ้าน จากการที่พาทีมชาติเซเนกัลเข้ารอบชิง แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2019
และแค่เพียงเกมนัดเปิดซีซั่นที่ถล่ม นอริช ซิตี้ 4-1 อลีสซง เบ็คเกอร์ ก็กลายเป็นนักเตะคนแรกที่โดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามประจำฤดูกาลนี้ เมื่อได้รับบาดเจ็บในจังหวะเตะเปิดเกม
ยังดีที่มือสองอย่าง อาเดรียน ทำผลงานในช่วงมาอยู่กับทีมแรกๆ ได้น่าพอใจ หงส์แดงจึงยังคว้าชัยต่อเนื่องได้ไม่สะดุด
หลังจากนั้นเราได้เห็นช่วงที่ ฟาบินโญ่ และ โฌแอล มาติป ต้องเจ็บยาว ทำให้นักเตะอย่าง โจ โกเมซ, เดยัน ลอฟเรน, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิต้า และ เจมส์ มิลเนอร์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันลงตัวจริงอยู่เรื่อยๆ
ความโชคดีมันอยู่ตรงที่ นักเตะตำแหน่งเอาต์ฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล ระดับ Key Player ไม่เคยเจ็บยาว หรือหายหน้าจากทีมไปพร้อมกันทีเดียวหลายเดือน
โมฮาเหม็ด ซาลาห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, ซาดิโอ มาเน่ เคยมีช่วงไม่พร้อมลงเล่นอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะกลับมาประจำการอีกครั้งทันทีในสัปดาห์ถัดมา
ขณะที่อาการบาดเจ็บในช่วงโปรแกรมนัดท้ายๆ ของกัปตันทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มันเกิดขึ้นตอนที่การันตีแชมป์ไปแล้ว จึงไม่มีผลอะไร
ส่วนพวกคนที่เคยเจ็บหนักๆ จนต้องพักยาวอย่าง ฟาบินโญ่ และ มาติป ยังถือว่าเป็นระดับ First Team Player มากกว่า ถึง 2 คนนี้จะเป็นตัวจริงที่มีคุณภาพ แต่ใช่ว่าขาดไปแล้วทีมจะเป๋แน่ๆ
ไม่ใช่แค่ ลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้เท่านั้นนะครับ แต่ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกชุดตำนานหลายๆ ทีมในอดีต ก็ไม่ค่อยจะส่ง 11 คนแรกชุดที่ดูดีที่สุดลงพร้อมกันได้บ่อยหรอก
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดทริปเปิลแชมป์ฤดูกาล 1998-99 น่าจะเป็นอีกทีมที่แฟนบอลซึ่งเกิดทันดู นึกภาพออกว่าพวกตัวจริงต้องมีใครบ้าง
ระบบการเล่นคือ 4-4-2 นายประตูคือ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล
แผงแบ็กโฟร์คือ แกรี่ เนวิลล์, ยาป สตัม, รอนนี่ ยอห์นเซ่น และ เดนิส เออร์วิน
กองกลางคือจุดขาย เพราะจากขวาไปซ้ายประกอบด้วย เดวิด เบ็คแฮม, รอย คีน, พอล สโคลส์ และ ไรอัน กิ๊กส์
ส่วนคู่กองหน้าเป็นดูโอในตำนานอย่าง ดไวท์ ยอร์ค กับ แอนดี้ โคล
แต่ความเป็นจริงก็คือ 11 ตัวจริงของผีแดงชุดตำนานชุดนั้น ได้ลงพร้อมกันในพรีเมียร์ลีกเพียงครั้งเดียว คือเกมบุกชนะ โคเวนทรี 1-0 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1999
สาเหตุก็เพราะในฤดูกาลนั้น ไรอัน กิ๊กส์ มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน จนมีสถิติลงสนามน้อยกว่า เยสเปอร์ บลอมควิสต์ เสียอีก
รอนนี่ ยอห์นเซ่น ก็เป็นผู้เล่นอีกคนที่ขึ้นชื่อเรื่องเจ็บบ่อย ทำให้เซนเตอร์แบ็กอย่าง เวส บราวน์, เฮนนิ่ง เบิร์ก และ เดวิด เมย์ ต้องสลับกันลงไปยืนคู่กับ ยาป สตัม
ยิ่งไปกว่านั้น การหวังพาทีมคว้าแชมป์ทุกรายการของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มันทำให้เขาต้องโรเตชั่นนักเตะอยู่ตลอด เพื่อไม่ให้พวกตัวหลักกรอบเกินไป
นอกจากพวกซูเปอร์สตาร์ชุดนั้นแล้ว นักเตะอย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม, นิคกี้ บัตต์, โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ และ ฟิล เนวิลล์ ถูกยกว่าเป็นตัวโรเตชั่นชั้นดี ที่มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของปีศาจแดงยุครุ่งเรืองกันทั้งหมด
อาร์เซน่อล ชุดแชมป์ไร้พ่ายฤดูกาล 2003-04 คืออีกหนึ่งทีมระดับไอคอนของพรีเมียร์ลีก ที่มี 11 ตัวจริงที่สมบูรณ์แบบในระบบ 4-4-2
เยนส์ เลห์มันน์ เป็นนายประตู แนวรับมี โลแรน เอตาเม่, โคโล่ ตูเร่, โซล แคมป์เบลล์ และ แอชลี่ย์ โคล
แผงมิดฟิลด์ประกอบด้วย เฟรดริก ลุงเบิร์ก, ปาทริค วิเอร่า, จิลแบร์โต้ ซิลวา และ โรแบร์ ปิแรส
คู่กองหน้าคือสุดยอดดาวยิงระดับขึ้นหิ้งอย่าง เดนนิส เบิร์กแคมป์ กับ เธียร์รี่ อองรี
แต่เชื่อหรือไม่ว่าทีมชุดนี้ ถูก อาร์แซน เวนเกอร์ ส่งลงพร้อมกันในพรีเมียร์ลีกแค่ 2 นัด คือเกมเปิดบ้านถล่ม ลิเวอร์พูล 4-2 และนัดปิดฤดูกาลที่ทำสถิติไร้พ่ายได้ด้วยการเฉือนชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-1
ในฤดูกาลนั้น เวนเกอร์ มักหมุนเวียนแผงมิดฟิลด์ ทำให้นักเตะอย่าง เรย์ พาร์เลอร์ และ เอดู ได้โอกาสลงตัวจริงหลายนัด
ขณะที่ความโรยราของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ ทำให้กุนซือชาวฝรั่งเศสจำเป็นต้องดึงตัว โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส มาเป็นอะไหล่เสริมในแนวรุกช่วงครึ่งซีซั่นหลัง โดยที่ เอ็นวานโก้ คานู กับ ซิลแว็ง วิลตอร์ คือแบ็กอัพในตำแหน่งกองหน้าอยู่แล้ว
ทีมที่เป็นตัวอย่างชัดเจนถึงการมีขุมกำลังชั้นดีขนาดใหญ่ และมีมาตรฐานที่สูงมากก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
ทุกคนต่างพูดกันว่าทีมเรือใบสีฟ้ายุคนี้ ดีพอจะจัด 11 ตัวจริงชุดเจ๋งๆ ได้เป็น 2 ทีม เพราะแทบทุกตำแหน่งต่างมีตัวแทนชั้นดีกันหมด
แต่อย่างที่ผมบอกไป นักเตะตำแหน่งไหนก็บาดเจ็บและติดโทษแบนได้ทั้งนั้น แต่คนที่ห้ามขาดลามาสายอย่างเด็ดขาด ก็คือคนที่เป็น Key Player ของทีม
สาเหตุที่เรือใบสีฟ้าของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องเสียแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อย่างง่ายดาย ก็เป็นเพราะมันเป็นฤดูกาลที่เซนเตอร์แบ็กคนเดียวที่ไว้ใจได้อย่าง อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ ดันเจ็บยาว และยังกลับมาด้วยสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ดีนัก
บางที ถ้าหากคนที่หายหน้าไปนานๆ คือผู้เล่นที่เก่งที่สุดของทีมอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ อาจจะส่งผลกระทบน้อยกว่านี้
แม้กองกลางทีมชาติเบลเยียมจะเป็น Key Player ของ แมนฯ ซิตี้ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตัวเลือกในแผงมิดฟิลด์ของพวกเขา มีนักเตะที่จัดอยู่ในระดับ First Team Player หลายคน
แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ดาบิด ซิลบา, โรดรี้ และ อิลคาย กุนโดกัน พร้อมคุมแดนกลางได้อย่างมีคุณภาพ
ขณะที่ดาวรุ่งอย่าง ฟิล โฟเด้น ก็จัดอยู่ในประเภท Rotation Player ชั้นยอด ที่พร้อมมีบทบาทสำคัญกับทีมอย่างเต็มตัวแล้วในฤดูกาลหน้า
ซึ่งทันทีที่พรีเมียร์ลีกปิดซีซั่น แมนฯ ซิตี้ ตัดสินใจเสริมความแข็งแกร่งของขุมกำลังเชิงลึก (Squad Depth) ทันที
พวกเขาซื้อตัว นาธาน อาเก้ มาจาก บอร์นมัธ เพื่อเพิ่มออปชั่นในแผงหลัง และคว้า เฟร์ราน ตอร์เรส มาจาก บาเลนเซีย หลังจากที่ทีมต้องเสีย ลีรอย ซาเน่ ให้ บาเยิร์น มิวนิค
ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน อีกทีมในพรีเมียร์ลีกที่เพิ่งค้นพบ 11 ตัวจริงชุดที่ดีที่สุดในช่วงหลังก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
การมี บรูโน่ แฟร์นันเดส เข้ามาเป็นจอมทัพ คือปรากฏการณ์ที่ทำให้คุณภาพการเดินเกมของปีศาจแดง เปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ
มันมีการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบเข้าไปในช่วงหลัง จากการที่ ปอล ป็อกบา ฟิตเต็มที่กลับมาคุมแดนกลางร่วมกับ เนมานย่า มาติช ที่ยกระดับผลงานขึ้นมาได้
การสลัดอาการบาดเจ็บของ มาร์คัส แรชฟอร์ด และการให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง เมสัน กรีนวู้ด ยึดตัวจริงทางฝั่งขวา ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีเกมรุกที่ดีกว่าช่วงก่อนเบรกโควิด-19 อย่างชัดเจน
ผลงานที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่อง ทำให้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แฟนผีบางคนเริ่มคิดว่า ไม่จำเป็นต้องไปซื้อ แจ็ค กรีลิช หรือกองกลางตัวรุกชั้นดีคนไหนเข้ามาก็ได้ เพราะทีมมี 11 คนแรกที่ลงตัวดีอยู่แล้ว
หรือแม้แต่ ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งเป็นแชมป์ ก็อาจมีความคิดอยู่เหมือนกัน ว่าจะทุ่มซื้อนักเตะแพงๆ มาเพิ่มทำไม ในเมื่อขุมกำลังชุดฟูลทีม มาตรฐานสูงกว่าชาวบ้านเขาอย่างชัดเจน
สุดท้ายเราเห็นกันว่ามันเป็นยังไงในตอนที่ทีมชุดที่กำลังฟอร์มดีๆ ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ กรำศึกหนักติดๆ กัน
พอความล้าปรากฏให้เห็น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นกับ แฟร์นันเดส) อาการ “เร่งไม่ขึ้น” มันก็ออก จนตกรอบ เอฟเอ คัพ และเจอความลำบากในการลุ้นติดท็อปโฟร์แบบกระท่อนกระแท่น
ยังดีที่นัดสุดท้ายที่บุกเยือน เลสเตอร์ สามารถปิดจ๊อบได้ตามเป้า จนคว้าตั๋วลุย UCL ได้แบบหวุดหวิด
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็เคยมีช่วงฟอร์มแผ่วๆ ไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากใช้ทีมชุดหลักลงกรำศึกหนักติดๆ กันช่วงต้นปี
อย่างที่บอกไปครับ ว่าสโมสรฟุตบอลที่จะประสบความสำเร็จได้ มันไม่ใช่ว่าจะมีแต่พวก Key Player เป็นองค์ประกอบ
ลองนึกภาพดูว่าถ้าหาก ลิเวอร์พูล เจอในสิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องเจอ อย่างเช่นปราการหลังตัวหลักอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เจ็บจนต้องพักยาวสัก 5-6 เดือน คุณคิดว่าเกมรับของพวกเขาจะเป็นยังไง?
ถ้าแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเห็นภาพ บรูโน่ แฟร์นันเดส โดนหามออกจากสนาม หรือโดนผู้ตัดสินชูใบแดง รับรองได้เลยว่าเด็กผีทุกคนต้องอุทานว่า “ชิบหาย”
ความเป็นจริงก็คือ นักฟุตบอลมีความเสี่ยงกับอาการบาดเจ็บอยู่ตลอด และมีไม่กี่คนที่จะรักษาฟอร์มสุดยอดไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เล่นบางคนที่อายุเริ่มมาก มันจะมีคำว่า “เลยจุดพีค” เข้ามาเกี่ยวอีกต่างหาก
.
ด้วยเหตุนั้น คนเป็นโค้ชจึงไม่สามารถจัดทีมชุดเดิมลงเล่นได้ทุกนัด
ด้วยเหตุนั้น ทีมชุดที่ว่าดีที่สุด อาจไม่ได้เล่นร่วมกันบ่อยอย่างที่แฟนบอลอยากเห็น
ด้วยเหตุนั้น การแข่งขันทุกเกม มันจึงต้องมี “ตัวสำรอง”
ไม่มีใครรู้ว่าความซวยจะมาเยือนผู้เล่นคนสำคัญของทีมตัวเองเมื่อไร คุณต้องไม่ลืมว่า “ฟุตบอล อะไรมันก็เกิดขึ้นได้”
และสิ่งสำคัญที่สุด ทีมที่จะเป็นแชมป์ มันต้องมี “ขุมกำลัง” ที่ดี ที่ไม่ใช่แค่ “11 ตัวจริง”
#เสียบสามเหลี่ยม #Liverpool #LFC #VanDijk #ManCity #MCFC #ManUtd #MUFC #BrunoFernandes #PremierLeague
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา