11 ส.ค. 2020 เวลา 04:09 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ข้อคิด 'เศรษฐกิจ' ครึ่งปีหลัง
เปิดวิเคราะห์สถานการณ์ "เศรษฐกิจไทย" ในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะเดินไปในทิศทางใด จะได้ข่าวดีจากการชะลอตัวของการหดตัวเศรษฐกิจหรือไม่ หรือเศรษฐกิจไทยจะดำดิ่งหดตัวต่อเนื่อง รวมถึงเศรษฐกิจโลกจะส่งแรงสะเทือนต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง?
บทความโดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร | คอลัมน์เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ข้อคิด 'เศรษฐกิจ' ครึ่งปีหลัง | กรุงเทพธุรกิจ
ช่วงนี้ผมถูกถามบ่อยว่า เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร จะฟื้นตัวหรือไม่ เพราะข่าวที่ออกมาและประมาณการเศรษฐกิจทั้งปีจากสำนักต่างๆ ดูหดหู่มาก
ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นกลไกหลักของการฟื้นตัวเศรษฐกิจถูกมองว่ายังขาดความชัดเจน วันนี้จึงอยากให้ความเห็นเรื่องนี้ พิจารณ์จากข้อมูลล่าสุดต่างๆ ที่ออกมา
หนึ่ง เศรษฐกิจไตรมาสที่สอง จากตัวเลขที่แบงก์ชาติประเมินคือ หดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสหนึ่งในอัตราร้อยละ 10 หรือมากกว่า ซึ่งไม่แปลกใจเพราะไตรมาสสอง ยังเป็นผลของมาตรการล็อกดาวน์ แต่ก็มีการเริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการโอนเงินเยียวยาให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้ไตรมาสสองควรเป็นไตรมาสที่เศรษฐกิจทรุดดิ่งลงมากที่สุด พร้อมกับเป็นจุดเริ่มต้นของการขยับตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เมื่อมาตรการล็อกดาวน์จบลง และเริ่มมีการผ่อนปรนต้นเดือนพฤษภาคม
1
ที่น่าสนใจคือ ถ้าดูตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นเดือนที่สองของการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เทียบกับตัวเลขเดือนพฤษภาคม จะเห็นว่า แม้ตัวเลขยังแสดงการหดตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจที่รุนแรง แต่อัตราการหดตัวในทุกข้อมูล ทั้งด้านการผลิต การใช้จ่าย การส่งออก การนำเข้า ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ล้วนแสดงการหดตัวในอัตราที่ลดลงเทียบกับเดือนพฤษภาคม
คือ อัตราการทรุดตัวของเศรษฐกิจเริ่มลดลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเป็นศูนย์ทั้งไตรมาส
อย่างไรก็ตาม ผลของการทรุดตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก ได้สร้างปัญหามากต่อการมีงานทำ และความอยู่รอดของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางเล็กและจิ๋ว ทั้งที่อยู่ในและนอกภาคการท่องเที่ยว ปัญหานี้เห็นได้จากตัวเลขผู้ขอรับสิทธิ์ว่างงานและผู้ถูกเลิกจ้างในระบบประกันสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จำนวนชั่วโมงทำงานที่หายไปจากการปิดกิจการชั่วคราว ตัวเลขโฆษณาตำแหน่งงานว่างที่ลดลง และการปิดกิจการและการว่างงานในธุรกิจนอกระบบ (Informal sector) ทำให้ความอยู่รอดของธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และการไม่มีงานทำเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ผลของการทรุดตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก ได้สร้างปัญหามากต่อการมีงานทำ และความอยู่รอดของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางเล็กและจิ๋ว ทั้งที่อยู่ในและนอกภาคการท่องเที่ยว ปัญหานี้เห็นได้จากตัวเลขผู้ขอรับสิทธิ์ว่างงานและผู้ถูกเลิกจ้างในระบบประกันสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จำนวนชั่วโมงทำงานที่หายไปจากการปิดกิจการชั่วคราว ตัวเลขโฆษณาตำแหน่งงานว่างที่ลดลง และการปิดกิจการและการว่างงานในธุรกิจนอกระบบ (Informal sector) ทำให้ความอยู่รอดของธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และการไม่มีงานทำเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจขณะนี้
สำหรับเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศสำคัญๆ ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ เหตุผลก็เพราะสถานการณ์โควิดยังไม่นิ่ง คือ มากกว่าครึ่งของประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก คือ กลุ่มประเทศ G20 เช่น สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย อัฟริกาใต้ ตุรกี รัสเซีย อินเดีย บราซิล สถานการณ์ระบาดรอบแรกยังไม่นิ่ง และบางประเทศยังเป็นขาขึ้น เช่น สหรัฐ บราซิล ขณะที่ประเทศอย่างญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย ที่เคยควบคุมการระบาดได้ในรอบแรกก็กำลังต่อสู้กับการระบาดรอบสอง ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคงจะยังไม่เกิดขึ้นจริงจังจนกว่าการระบาดในประเทศสำคัญเหล่านี้ผ่อนคลายลง
ผลคือ ประโยชน์ที่เศรษฐกิจเราจะได้จากการฟื้นตัวของการส่งออก และการท่องเที่ยวก็จะไม่เกิดขึ้นเช่นกันในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ถ้าจะเกิดขึ้น ต้องมาจากปัจจัยในประเทศเท่านั้น คือ การใช้จ่ายของภาคธุรกิจ คนในประเทศ และรัฐบาล เป็นเศรษฐกิจไม่เต็มสูบ แบบ 70–80 เปอร์เซ็นต์ ที่จะต้องอยู่ให้ได้โดยไม่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศและการส่งออก ยกเว้นในบางสินค้า เช่น อาหาร ที่ยังมีความต้องการจากต่างประเทศ นี่คือประเด็นที่ต้องยอมรับ
1
โฆษณา