13 ส.ค. 2020 เวลา 01:40 • ไลฟ์สไตล์
เรียงความเรื่องแม่
ก่อนปี พ.ศ. 2517
เดิมทีแม่เป็นลูกสาวชาวนา
ด้วยมีเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่สู้ดีนักเกิดขึ้นกับชีวิต
แม่ ทำให้แม่จำต้องระหกระเหินเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นคนรับใช้ที่บ้านเศรษฐี
เครดิคภาพจาก facebook : อาภัสรา หล้าแพง
แม่ไม่ได้บอกหรือแม่อาจลืมไปแล้วว่ารับใช้เศรษฐี
บ้านไหน แต่ผมคิดว่าคงไม่ใช่หลังเดียวกันกับ
บ้านทรายทองเป็นแน่
ตอนเช้าๆ แม่ต้องขึ้นรถเมล์ไปจ่ายตลาดกับหัวหน้าแม่บ้านเพื่อซื้อกับข้าวเป็นประจำทำให้แม่ได้พบรักกับว่าที่พ่อของผมในอนาคต
พ่อทำงานเป็นพนักงานขับรถเมล์ ของขสมก.
ชุดยูนิฟอร์มของพ่อสีกรมท่าดูเท่มาก
พ่อเป็นคนตัวเล็กอาจเพราะเกิด ในยุคสมัยที่คนไทย
ไม่ได้ดื่มนม (2495) ส่วนสูงพ่อไม่น่าเกิน 160 ซม. นน.ราว 54 กิโลกรัม จมูกโด่งงุ้มเหมือนปากเหยี่ยวจัดว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามพอสมควร(ผมอิจฉาพ่อ)
แม่เป็นคนหน้าตาดี หุ่นดีมาก
ผมเคยเห็นรูปท่านสมัยสาวๆ ตอนที่ทำงานอยู่บ้านเศรษฐี ใส่กระโปรงบานๆ สีชมพูเห็นแล้วแทบไม่เชื่อสายตา เริ่ดค่ะ
นี่ถ้าแม่บินไปเกาหลีเสริมดั้งจมูกสักหน่อยผมว่าแม่คงเข้าวงการ(อะไรไม่รู้)ได้เลย แม่บอกว่าสมัยนั้นมีหนุ่มๆมาจีบแม่หลายคน(รวมทั้งพ่อของผมด้วย ฮา)
พ่อกับแม่ได้เจอกันบ่อยแทบทุกวันท่านทั้งสอง
จึงได้มีโอกาสพูดคุยทักทายกันจนถึงขั้นพ่อชวนแม่ไปออกเดท
แม่บอกว่าแม่ชอบดูหนังมากพ่อจึงอาสาพาไป
หลังจากที่ใช้เวลาคบหาดูใจกันสักระยะราวขวบปีเห็นจะได้ ทั้งสองจึงตัดสินใจแต่งงานกัน
ตอนที่ผมเกิดช่วงนั้นพี่สรพงษ์กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นข้าวตอกแตก (ลืมถามแม่ว่าเรื่องอะไรใครรู้ช่วยบอกทีที่ออกฉายราวๆปี 2517)
นางพยาบาลคงจะชอบพี่สรพงษ์มากหลังจากที่ทำคลอดเสร็จจึงพูดกับแม่ว่า"ดีใจด้วยค่ะคุณได้ลูกชายตั้งชื่อว่าสรพงษ์ดีไหมคะ?"
แม่ตอบว่า"ไม่ล่ะค่ะขอบคุณนะคะ เอาแค่ชื่อสมพงษ์ก็พอ"
ผมเกือบได้ชื่อสรพงษ์โชคดีที่คุณแม่หัวไวไม่งั้น
โดนเพื่อนล้อแย่
ไม่ใช่ว่าชื่อสรพงษ์ไม่ดีนะครับจะอะไรล่ะก็หน้าตาผมมันบ้านๆ ไม่ได้หล่อเหลาเอาการอย่างพี่เอก
สรพงษ์เลยนะสิ
ปี 2519 เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา นักศึกษาและประชาชนออกมาประท้วงต่อต้านการเดินทาง
กลับมาของจอมพลถนอม
ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในกรุงเทพฯ พ่อเกรงว่าลูกเมียจะไม่ปลอดภัย จึงตัดสินใจลาออกจากงานพาครอบครัวเดินทางกลับถิ่นอีสานบ้านเกิดเมืองนอน
(บ้านดงยาง อำเภอเพ็ญ)
หลังจากที่แม่มาอยู่กับพ่อที่นี่ที่ซึ่งห่างไกลจากพระนครราว 500 กิโลเมตร ความศิวิไลย์ที่เคยมี
กลายเป็นเพียงภาพแห่งความฝันที่เลือนลาง
ชีวิตแม่กลับมาลำบากอีกครั้งที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีถนนลาดยางมะตอย จะมีก็แต่ยางมะตูม
ทางสัญจรไปมายากลำบากจะไปไหนมาไหนต้องใช้โคเทียมเกวียนหรือไม่ก็ต้องเดินด้วยเท้าเท่านั้น
เจ็บป่วยทีต้องกินยาหมอชาวบ้านเพราะโรงพยาบาล
อยู่ไกลจากหมู่บ้านมาก
เมื่อบอกลาอาชีพแจ๋วประจำบ้านท่านเศรษฐี
แม่ต้องกลับมาทำนาเหมือนเก่าก่อน แต่ที่หนักกว่าเดิมคือต้องเผาถ่านขายหารายได้เสริม เพราะต้อง
หาเงินเลี้ยงดูลูกน้อยกลอยใจ
รายได้หลักจากการขายข้าวแต่ละปีแทบจะ
ไม่พอยาไส้ เพราะเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่
ย่ามีลูกถึงสามคนแต่ละคนก็มีภรรยาและลูกต้องดูแล (ปู่ไม่อยู่ปู่ไปเที่ยวแล้วไม่ยอมกลับ)
ตอนนั้นอาก้องมีภรรยาและลูกสาว1 คน อาเพ็ญก็มีสามีและลูกชายอีก 2 คน ครอบครัวผมอีก 3 รวมย่าด้วยก็ 11 คนพอดี
บางปีฝนแล้ง บางปีน้ำท่วม ลูกก็ยังเล็กกำลังกินกำลังนอน พ่อกับแม่ต้องทำงานหนักมาก เรียกได้
ว่าเหนื่อยสายใจแทบขาด...
ทีแรกกะว่าจะเขียนรวดเดียวจบแต่เกรงว่าจะยาวไป
ไว้โอกาสหน้าผมจะมาเล่าต่อ ขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆ
ทุกคนที่เข้ามาอ่าน และติดตามให้กำลังใจด้วยดี้เสมอมา
ขอบคุณ คุณแม่ทุกคนบนโลกที่เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูลูกๆทุกคนจนเติบใหญ่ หากไม่มีท่านแล้วไซร้ พวกเราคงไม่มีโอกาสได้เกิดมาลืมตาดูโลกสวยๆใบนี้
ขอบคุณจากใจครับ'คุณแม่'
ส่งท้ายบทความด้วยเพลงนี้เลยครับ
แม่ของผู้ใด ร้องโดย:ไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร
พรศักดิ์ ส่องแสง
สมัยเด็กๆ คุณครูชอบให้พวกเราร้องให้แม่ฟัง
😊
หากผิดพลาดต้องขออภัย
มีความคิดเห็นเป็นประการใดเขียนมาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ
"เพราะบทความดีดีเพียงไม่แค่กี่ประโยค
อาจทำให้โลกต้องสะเทือน"
คารวะจากใจ
"มหานที"
😁
โฆษณา