17 ส.ค. 2020 เวลา 12:32 • ความคิดเห็น
ถ้าไม่เข้ารับปริญญาจะมีผลอะไรกับชีวิตไหมครับ?
Q: ถ้าผมมีเหตุผลของผมที่เรียนจบแล้วจะไม่เข้ารับปริญญา การไม่มีใบปริญญาจะมีผลอะไรกับชีวิตไหมครับ เวลาสมัครงานต้องใช้ใบปริญญาบัตรไหม และถ้าพ่อแม่ผมไม่เข้าใจ ผมควรทำอย่างไรดี
A: ยินดีด้วยครับที่กำลังจะจบการศึกษา คงเป็น 4 ปีที่น้องได้ผ่านอะไรมาเยอะ และหลังจากนี้คงมีอะไรอีกมากมายที่น้องจะได้เจอ ได้เรียนรู้ ได้แก้ไขพัฒนา
เรื่องที่เราจะคุยกันนี้คือเรื่อง ‘การรับปริญญา’ ไม่ใช่ ‘การเรียนให้จบปริญญา’ เพราะพี่คิดว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน เรียนให้จบก็เรื่องหนึ่ง เป็นกระบวนการการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งซึ่งอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนการรับปริญญาเป็นพิธีกรรม เป็นสัญลักษณ์หนึ่ง เป็นประสบการณ์หนึ่ง ซึ่งพี่คิดว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะมีประสบการณ์นี้หรือไม่
จะว่าไปแล้วในชีวิตของเราก็มีทางเลือกเยอะแยะมากมายนั่นแหละครับ เลือกที่จะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือไม่ เลือกที่จะเรียนจนจบหรือไม่ เลือกที่จะเข้ารับปริญญาหรือไม่ ฯลฯ และจากนี้ชีวิตคงมีสิ่งให้น้องตัดสินใจอีกมาก
พี่ขอแชร์ประสบการณ์การรับปริญญาสองครั้งให้น้อง ซึ่งผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ณ ตอนนั้นพี่ตัดสินใจเข้ารับปริญญา มีวันซ้อมใหญ่และวันพิธีจริง ตื่นมาตั้งแต่เช้ามืด พี่เป็นผู้ชายยังง่ายหน่อยไม่ได้แต่งหน้าทำผมอะไรมากมาย เพื่อนๆ ผู้หญิงสิบางคนตื่นมาแต่งหน้าทำผมกันตั้งแต่ตีสองตีสาม เจอกันที่มหาวิทยาลัยยังจำไม่ได้ เพราะสวยจนจำไม่ได้ แต่ระหว่างวันแต่ละคนก็ดูสติจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนะ เพราะตื่นมาแต่งหน้าเช้าเกิน
และเพราะต้องมากันแต่เช้า พี่ก็เห็นบางคนถึงขั้นต้องเปิดโรงแรมแถวมหาวิทยาลัยเพื่อสะดวกแก่การเดินทางเลยทีเดียว ไหนจะไกล ไหนจะรถติด ไหนจะหารถยาก ที่จอดรถไม่มี บางคนก็นอนใกล้มหาวิทยาลัยเลยนี่แหละ สะดวกดี บางครอบครัวมาจากต่างจังหวัดก็ต้องหาที่พักกัน
พี่จ้างช่างภาพมาถ่ายรูปทั้งสองวัน แรกๆ พี่ก็ขยันถ่ายรูปอยู่หรอกเพราะตื่นเต้น แต่พอไปเรื่อยๆ เริ่มเหนื่อย ร้อน และก็เริ่มมีคำถามกับตัวเองว่าเราจะถ่ายรูปอะไรกันมากมายขนาดนี้นะ ถ่ายเดี่ยวก็แล้ว ถ่ายกับครอบครัวก็แล้ว ถ่ายกับเพื่อนก็หมดแล้ว ยังคิดเลยว่านายแบบนางแบบนี่เก่งจริงๆ ที่สามารถโพสท่าถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวัน วันนั้นมีทั้งแดดเปรี้ยงและฝนเทลงมา มีเปียกทั้งเหงื่อทั้งฝน หน้าที่แต่งกันไว้ก็ละลายเหลวไปกับน้ำ พี่กับเพื่อนแอบมานอนสลบกันอยู่ในห้องทำงานที่คณะ สู้ต่อไม่ไหว ส่วนพ่อกับแม่นั้น พอถ่ายรูปด้วยกันเสร็จก็กลับบ้าน ไม่อยากให้ต้องลำบาก คนก็เยอะ
เพื่อนบางคนมีทีมช่างภาพ ขอใช้คำว่า ‘ทีม’ เพราะมีทั้งช่างภาพกล้องหนึ่ง กล้องสอง กล้องวิดีโอ คนยกรีเฟลกต์ ช่างแต่งหน้า คนยกของ ฯลฯ มาเป็นขบวน เห็นแล้วพี่ยังขนลุกในความจริงจังเบอร์นั้น
เพื่อนๆ ที่มาแสดงความยินดีกับพี่ทุกคนต่างก็มีของติดไม้ติดมือมาให้ ทั้งช่อดอกไม้ ตุ๊กตา ป้าย ฯลฯ จบงานพี่กลับบ้านคนเดียว ไม่มีรถ ต้องหอบของพะรุงพะรังกลับบ้าน นึกสภาพคนสวมชุดครุยตัวเปียกเหงื่อตั้งแต่หัวจรดเท้าต้องอุ้มกองทัพตุ๊กตาหมีกับช่อดอกไม้ที่ใหญ่จนบังหน้าเดินหารถแท็กซี่กลับบ้าน
ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะเสร็จพิธีและได้ออกจากหอประชุมจริงๆ ก็มืดอีกรอบ แล้วต้องมาแย่งรถแท็กซี่กลับบ้านกันอีก เท่าที่จำได้ ทั้งวันซ้อมรับปริญญาและวันรับปริญญาจริง กลับมาถึงบ้านพี่น็อกสลบไปข้ามวัน ใช้พลังงานไปหมดแบบไม่เหลือ พี่ว่าตั้งแต่เรียนมาสี่ปี วันที่พี่ใช้พลังเยอะสุดคงเป็นวันรับปริญญานี่แหละ
พอรับปริญญาครั้งที่สองตอนที่จบปริญญาโท พี่ได้บทเรียนมาเยอะแล้วจากครั้งแรก เพราะฉะนั้น พี่จะพยายามทำทุกอย่างให้เรียบง่ายที่สุด ผ่านงานตอนปริญญาตรีมาแล้วเลยเข้าใจ พี่ก็ใช้วิธีถ่ายรูปแค่วันซ้อมใหญ่วันเดียวพอ และก็ไม่ได้ต้องถ่ายรูปเยอะแยะมากมาย เอาแค่พอเป็นที่ระลึก มีรูปครอบครัวกับเพื่อนเก็บไว้พอแล้ว ของดช่อดอกไม้และของขวัญเพราะสุดท้ายพี่ต้องเป็นคนแบกทุกอย่างกลับบ้านคนเดียว และพี่รู้สึกว่าไม่อยากให้คนอื่นต้องมาสิ้นเปลืองกับพี่ ยอมเหนื่อยวันซ้อมใหญ่วันเดียวในการถ่ายรูป พอวันรับจริงพี่ก็นอนให้เต็มที่แล้วออกจากบ้านสบายๆ มาตอนที่จะต้องเข้าหอประชุมแค่นั้นพอ ลำบากตัวเราให้น้อยที่สุด และให้คนอื่นมาลำบากกับเราน้อยที่สุด
ตามประสบการณ์ของพี่ การรับปริญญาก็มีค่าใช้จ่ายเยอะอยู่พอสมควร ตั้งแต่งานรับปริญญาตอนปริญญาตรีพี่ก็ออกค่าใช้จ่ายเองเพราะทำงานหาเงินได้แล้ว ไม่ได้รบกวนพ่อแม่อีก กระนั้นก็เถอะ เพราะทำงานหาเงินได้แล้วถึงรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะ หลายอย่างสามารถลดทอนมาได้ แต่ ณ เวลานั้นก็คิดว่า มันคือครั้งหนึ่งในชีวิต มันคือโมเมนต์ที่สำคัญ เพราะฉะนั้นเลยยอมลงทุน มันคงเป็นความรู้สึกเดียวกับที่หลายคนคิดกับงานแต่งงานนั่นแหละว่ามันคือครั้งหนึ่งในชีวิต แต่มาคิดอีกทีพี่ก็รู้สึกว่า จะดีมากเลยถ้าเราไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับมันมาก ตรงไหนประหยัดได้ให้ประหยัด เอาแค่พอเหมาะกับชีวิตเราก็พอ
เมื่อมองย้อนกลับไป พี่พบว่าวันรับปริญญาเป็นวันสุดท้ายที่พี่ได้พบเพื่อนๆ หลายคน เพราะหลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง บางคนไม่เจอกันอีกเลยหลังจากวันรับปริญญา บางคนไม่เคยได้ข่าว บางคนเสียชีวิต สำหรับพี่แล้ว วันรับปริญญาเลยอาจเป็นวันสุดท้ายที่เราได้เห็นใครบางคนที่เคยอยู่ในชีวิตของเราก็ได้ มันก็มีส่วนดีๆ อยู่ในความทรงจำ
กับสิ่งที่พี่คิดว่าพี่ได้ทำแล้วรู้สึกดีมากๆ ในวันรับปริญญาก็คือ การไปขอบคุณทุกคนที่มีส่วนสนับสนุนให้เราเรียนหนังสือจนจบ ทั้งครอบครัว อาจารย์ แต่ที่พี่อยากให้ไม่ลืมคือบรรดาคนตัวเล็กๆ ที่มีส่วนช่วยให้เรามีชีวิตได้จนมาถึงวันที่เรียนจบ ตั้งแต่คนขายอาหารในโรงอาหาร เจ้าหน้าที่ในคณะที่คอยเดินเรื่องต่างๆ ให้เรา พี่แม่บ้านที่ทำความสะอาดห้องเรียน พี่ รปภ. ที่อยู่ดูแลตึกระหว่างที่เราทำงานกันจนดึกดื่นที่คณะ กระเป๋ารถเมล์สายที่เราขึ้นมาเรียนเป็นประจำ ฯลฯ พี่พบว่าที่เราเรียนจบได้ไม่ใช่แค่เพราะวินัย และความสามารถของตัวเราเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีมือของคนตัวเล็กๆ เหล่านี้ที่คอยผลักดันสนับสนุนให้เราเรียนจบได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ โดยที่คนเหล่านี้บางทีก็ไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสืออย่างที่เรามี แต่สิ่งที่เขาทำมีส่วนทำให้เรามีชีวิตการเรียนที่ดีได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม และควรระลึกถึงคุณค่าที่พวกเขามี
วิธีคิดแบบนี้ยังคงติดตัวมาใช้ได้ในชีวิตนอกมหาวิทยาลัยอีกนะครับ มีมืออีกหลายมือมากมายที่อุ้มชูสนับสนุนเราอยู่ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยที่พวกเขาอาจจะไม่ได้มีโอกาสที่ดีในชีวิตเหมือนเรา แต่เขาก็ส่งให้เรามีชีวิตที่ดีไปด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีวันนี้ได้เพราะมือของคนเหล่านี้ เราต้องไม่ลืมที่จะขอบคุณหรือหาโอกาสเป็นมือที่สนับสนุนพวกเขาไปด้วย และต้องไม่เหยียบย่ำพวกเขา
พี่ยังจำได้ว่าวันที่เรียนจบ พี่ได้ไปขอบคุณคนตัวเล็กๆ ที่มีส่วนสนับสนุนชีวิตพี่โดยที่พวกเขาไม่มีโอกาสได้เรียนจบปริญญาตรีแบบพี่ด้วยซ้ำ พี่พบว่าพวกเขาดีใจมากที่มีคนเห็นคุณค่า มีคนนึกถึง บางคนไม่นึกด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขาทำมีส่วนช่วยให้เด็กคนหนึ่งเรียนจบปริญญาตรีได้ แต่เมื่อพี่ได้บอกเขาว่าพวกเขามีส่วนช่วยชีวิตพี่อย่างไรบ้างจนเรียนจบ พี่พบว่ามันทำให้พวกเขาได้ระลึกไปด้วยว่าพวกเขามีความหมาย งานที่พวกเขาทำอยู่ทุกวันมีผลช่วยให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้นไปด้วย และวิธีการทำงานของพวกเขาเป็นผลให้พี่รู้สึกว่าเราทุกคนมีส่วนต่อชีวิตของคนอื่นหมด เราทุกคนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันหมด
ส่วนเรื่องใบปริญญากับการทำงานนั้น การสมัครงาน สัมภาษณ์งาน จนถึงรับเข้าทำงานทั้งหมดที่พี่เคยมีมาในชีวิต ไม่เคยมีใครทวงถามหา ‘ใบปริญญาบัตร’ จากพี่เลย อย่างมากสุดก็คือทรานสคริปต์แสดงผลการเรียนเป็นเอกสารประกอบ ซึ่งในนั้นก็ไม่ได้ระบุด้วยซ้ำว่าเราได้เข้าพิธีรับปริญญาหรือเปล่า หลายคนที่พี่รู้จักก็ไม่ได้เข้าพิธีรับปริญญา ทุกวันนี้ก็มีงานทำเป็นปกติ ก็เป็นไปได้ว่าใบปริญญาบัตรไม่ได้มีผลต่อการสัมภาษณ์ ส่วนพี่ซึ่งเข้าพิธีรับปริญญา ก็ไม่มีใครเคยถามหาใบปริญญาบัตร ไม่มีใครขอดูรูปเพื่อเป็นหลักฐานประกอบ ทุกวันนี้พี่ก็มีงานโดยไม่เคยต้องแสดงใบปริญญาบัตร
ระหว่างพี่ซึ่งเข้าพิธีกับเพื่อนที่ไม่เข้าพิธีมีอะไรต่างกันบ้าง พี่ว่าก็อาจจะต่างกันตรงพี่มีรูป เพื่อนไม่มีรูป พี่มีประสบการณ์บางอย่างในหอประชุม ส่วนเพื่อนไม่มี มีผลกระทบต่อชีวิตไหมที่แตกต่างกันแบบนั้น ก็อาจจะไม่ได้มีผลกระทบมากมาย
ของต่างประเทศในหลายๆ ที่พี่ก็เคยเห็นว่าพอมีโควิด-19 เขาก็ใช้วิธีมีพิธีรับปริญญากันเป็น Virtual Commencement ดูกันอยู่ที่บ้าน ใบปริญญาส่งมาให้ที่บ้านเป็นที่ระลึก ซึ่งผู้ที่ได้รับเชิญมากล่าวสุนทรพจน์ทุกคนก็บอกว่า มันอาจจะไม่ใช่งานสำเร็จการศึกษาแบบที่ทุกคนคาดฝันไว้ แต่หัวใจยังเหมือนเดิมคือการแสดงความยินดีกับผู้สำเร็จการศึกษา และฝากแง่คิด ฝากบทเรียนชีวิตผ่านสุนทรพจน์ให้ไปเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อ ซึ่งพี่อยากแนะนำให้ไปเสิร์ชใน YouTube ได้เลยคำว่า Commencement Speech 2020 น้องจะได้แรงบันดาลใจดีๆ ไปเพียบ
การจะเข้าพิธีรับปริญญาหรือไม่เป็นสิทธิส่วนบุคคล ยิ่งเรียนจบแล้วพี่คิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่พอที่จะคิด ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง และทุกคนควรเคารพการตัดสินใจในการเลือกทางเดินชีวิตของเรา ถ้าจะมีหลักในการตัดสินใจอะไรสักอย่าง พี่จะชอบถามกลับไปว่า ‘ทำไม’ เพื่อหาแก่นหรือสาระของสิ่งที่เราจะทำ แยกให้ออกว่าอันไหนคือสาระ อันไหนคือเปลือก แล้วมาดูว่าสาระนั้นสำคัญกับเราจริงหรือไม่ มีผลกระทบอย่างไรกับชีวิตของเรา ถ้าสาระสำคัญของสิ่งที่เราจะทำตรงกับสาระสำคัญของชีวิตก็ลงมือทำ เพราะทำแล้วมันตรงกับสาระสำคัญของชีวิตเรา แต่ถ้าไม่ตรงก็อาจจะไม่ทำ ซึ่งแต่ละคนคงตีความสาระสำคัญในชีวิตต่างกันออกไป
กลับมาที่คำถามของน้อง สาระสำคัญของการรับปริญญาตรงกับสาระสำคัญของชีวิตน้องหรือเปล่า น้องก็จะได้คำตอบ
แต่ก่อนอื่นอาจจะต้องนิยามให้ถูกก่อนว่าสาระสำคัญของชีวิตคืออะไร เพราะถ้าเรานิยามได้ พี่คิดว่าเราจะมีหลักในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ให้เราเคารพในการตัดสินใจของเรา แล้วคนอื่นจะเคารพในการตัดสินใจของเรา ถ้าการตัดสินใจของเรามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นตัวเราหรือคนอื่น พี่คิดว่าเราก็คิดมาดีแล้ว และต้องเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเรา ซึ่งเวลานี้เป็นผู้ใหญ่ที่มีวิจารณญาณแล้ว
ส่วนพ่อแม่จะว่าอะไรไหม ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของพ่อแม่ ถ้าเอาเหตุผลมาคุยกัน พ่อแม่บางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็มีเหตุผลของเขาที่เราต้องเปิดใจรับฟัง เราก็มีเหตุผลของเรา อยู่ที่ว่าสาระสำคัญในชีวิตเราตรงกับพ่อแม่ไหม พ่อแม่โตแล้ว เราก็โตแล้ว คุยกันแบบผู้ใหญ่ใช้เหตุผลกันดีกว่า เรียนจบมาได้ก็น่าภูมิใจแล้ว
ยินดีกับบัณฑิตคนใหม่ด้วยครับ ขอให้เจอคำตอบว่าสาระสำคัญในชีวิตคืออะไร แล้วใช้ชีวิตไปตอบสาระสำคัญนั้นครับ
ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล chayatat.v@gmail.com หรืออินบ็อกซ์มาที่ Facebook: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ (Facebook.com/Toffybradshawwriter)
เรื่อง: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
โฆษณา