19 ส.ค. 2020 เวลา 08:56 • ไลฟ์สไตล์
ลักษณะและรสชาติของไวน์
หากคุณเป็นผู้ที่ชื่นชอบในการรับประทานอาหาร จะดีกว่ามั้ย หากคุณมีเครื่องดื่มดีๆซักแก้วที่ดื่มไปพร้อมๆกับการรับประทานอาหาร แล้วช่วยให้อาหารของคุณมีรสชาติที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเครื่องดื่มที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายว่าช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารได้ ก็คงหนีไม่พ้น “ไวน์” นั่นเอง
3
มาถึงตรงนี้คุณคงเกิดคำถามแล้วว่า “จะเลือกไวน์แบบไหนมาดื่มกับอาหารประเภทไหนดี”
ก่อนที่คุณจะเลือกไวน์มารับประทานคู่กับอาหารได้อย่างเหมาะสมนั้น คุณควรที่จะเข้าใจเรื่องลักษณะและรสชาติของไวน์อย่างละเอียดเสียก่อน ว่าไวน์ที่คุณเลือกมานั้นมีลักษณะเด่นอย่างไร เช่น หวาน ขม เปรี้ยว หรือรสอื่นๆ
3
เนื่องจากหากคุณเลือกไวน์มารับประทานกับอาหารผิดประเภท มีแต่จะทำให้รสชาติของทั้งสองอย่างแย่ลง เปรียบได้กับ คุณคงไม่อยากรับประทานสเต๊กเนื้อชั้นดีคู่กับลอดช่องสิงคโปร์สุดโปรด ในเวลาเดียวกันพร้อมๆกัน เพราะอาจจะทำให้ต่อมรับรสของคุณรวนได้ พอจะเห็นภาพใช่มั้ยครับ
1
อยากทราบกันแล้วใช่มั้ยครับว่า
“ไวน์มีลักษณะและรสชาติอย่างไรบ้าง”
เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมๆกันครับ
1
ลักษณะและรสชาติของไวน์ใน 1 ขวด
จะประกอบด้วย 5 ลักษณะหลักๆ คือ
Sweetness, Acidity, Tannin, Alcohol และ Body
3
ซึ่งผมมักจะจำง่ายๆเป็นตัวย่อของอักษรตัวแรกของแต่ละคำ ว่า “SATAB” เพื่อที่ว่าเมื่อคุณได้ดื่มไวน์กับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน แฟน หรือคู่เดทของคุณ คุณจะสามารถบรรยายรสชาติของไวน์ได้เป็นอย่างดี นี่เป็นเทคนิคง่ายๆในการสร้างความประทับใจให้กับอีกฝ่าย
1.Sweetness
ความหวานของไวน์ ได้มาจากน้ำตาลในองุ่น มีระดับความหวานตั้งแต่หวานน้อยไปจนถึงหวานมาก ซึ่งจะใช้คำเรียก ดังต่อไปนี้
- dry
- off-dry
- sweet
1
2.Acidity
ความเปรี้ยว ได้มาจากความเป็นกรดในองุ่น เช่น กรดซิตริก กรดมาลิก และกรดทาทาริก ยิ่งองุ่นสุกมาก ความเปรี้ยวยิ่งลดลง มีระดับความเปรี้ยวตั้งแต่เปรี้ยวน้อยไปจนถึงเปรี้ยวมาก ซึ่งจะใช้คำเรียก ดังต่อไปนี้
- low acidity
- medium acidity
- high acidity
3.Tannin
ความฝาดและขม ได้มาจากแทนนิน ซึ่งเป็นสารที่พบได้จากผิวองุ่น ก้านองุ่น และเมล็ดองุ่น เพื่อช่วยป้องกันแมลงตามธรรมชาติ และยังพบได้จากถังไม้โอ๊คที่ใช้หมักไวน์ด้วย มีระดับความฝาด ตั้งแต่ฝาดน้อยไปจนถึงฝาดมาก ซึ่งจะใช้คำเรียก ดังต่อไปนี้
- low tannin
- medium tannin
- astringent (high tannin)
4.Alcohol
ความแสบร้อนคอหลังกลืน แอลกอฮอล์เกิดจากกระบวนการหมักไวน์ มีระดับ alcohol ตั้งแต่น้อยไปจนถึงมาก ซึ่งจะใช้คำเรียก ดังต่อไปนี้
- low alcohol (<10%)
- medium alcohol (10-15%)
- high alcohol (>15%)
5.Body
ความเข้มขึ้นหรือความหนักของเนื้อไวน์ ขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยข้างต้น ได้แก่ sweetness, acidity, tannin และ alcohol มีระดับ body ตั้งแต่น้อยไปจนถึงมาก ซึ่งจะใช้คำเรียก ดังต่อไปนี้
- light body
- medium body
- full body or bold
2
เพื่อให้เข้าใจเรื่องของ body มากขึ้น ก็คงเปรียบได้กับนมที่เราดื่มกัน
- นมที่เป็น light body เช่น skim milk หรือนมพร่องมันเนย เป็นนมที่เจือจางเหมือนน้ำ
- medium body คือ นมปกติทั่วไป
- full body คือ ครีม เป็นต้น
ไวน์ light body จะมีลักษณะ เช่น
- เปรี้ยวมาก
- แอลกอฮอล์น้อย
- ฝาดน้อย
- หวานน้อย
ไวน์ full body จะมีลักษณะ เช่น
- เปรี้ยวน้อย
- แอลกอฮอล์มาก
- ฝาดมาก
- หวานมาก
ในไวน์แต่ละขวดนั้น จะมีลักษณะและรสชาติทั้ง 5 ลักษณะ ที่แตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพันธ์ุองุ่น สถานที่ปลูกองุ่น ปริมาณน้ำฝน สภาพดิน สภาพอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น พันธุ์ของยีสต์ที่นำมาหมัก ระยะเวลาการหมัก ชนิดของถังหมัก ตลอดจนความเก่าใหม่ของถังหมัก ทำให้ไวน์แต่ละล็อต แต่ละถังมีความเฉพาะตัวสูง และแตกต่างกันไม่มากก็น้อย
3
ต่อจากนี้ เมื่อคุณรินไวน์ออกมาชิมซักแก้วกับเพื่อนๆของคุณ คุณจะสามารถอธิบายลักษณะรสชาติของไวน์แก้วนั้นๆได้อย่างมืออาชีพ จนเพื่อนๆคิดว่าคุณเป็นนักชิมไวน์ตัวยง
ยกตัวอย่างเช่น ไวน์ขวดนี้ มีลักษณะค่อนข้าง off-dry ไม่หวานมาก, มี low acidity ไม่ค่อยเปรี้ยว และมีความฝาดค่อนข้างมาก หรือ high tannin, ตอนกลืนมีความแสบคอพอประมาณ น่าจะมีระดับแอลกอฮอล์อยู่ที่ medium, และค่อนข้างมีเนื้อที่หนักแน่นไปทาง full body เป็นต้น
2
มาถึงจุดนี้ คุณก็ได้รู้และเข้าใจถึงลักษณะและรสชาติของไวน์ทั้ง 5 ลักษณะกันแล้ว ในบทความต่อไปเราจะมาเรียนรู้เรื่อง รสชาติหรือประเภทอาหารแบบไหน เหมาะสมกับลักษณะและรสชาติของไวน์แบบใดบ้าง หวังว่าคุณจะมีความสุขกับการดื่มไวน์อย่างมีอรรถรสมากขึ้น
2
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เรื่องของไวน์ยังมีอะไรที่สนุกอีกมากครับ หวังว่าคุณจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย
โปรดติดตาม รสชาติหรือประเภทอาหารที่เหมาะกับลักษณะและรสชาติของไวน์แต่ละแบบ ไปกับ Wine story ในบทความหน้า
แล้วพบกันครับ
Wine story by Dr.Art
โฆษณา