21 ส.ค. 2020 เวลา 14:28 • ดนตรี เพลง
Loveparade ดนตรี ปาร์ตี้ ความรัก สันติภาพ และโศกนาฏกรรม
Siegessäule (The Victory Column) เวทีหลักของงาน Loveparade
เลิฟพาเหรด (Love Parade เยอรมันเขียน: Loveparade) คืองานเทศกาลดนตรีแนว EDM (Electro Dance Music) ระดับโลกที่ได้มีการเชิญเหล่าดีเจชั้นนำจากหลากหลายประเทศจากหลายทวีปมาร่วมกันแสดงดนตรีแบบเปิดแผ่น ณ ใจกลางมหานครเบอร์ลินในเกือบทุกๆปีตลอดยี่สิบเอ็ดปี (1989 - 2010)
เหล่า Raver (นักปาร์ตี้ที่หลงไหลดนตรีแนวแดนซ์) นับล้านพากันหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศต่างก็มุ่งหน้าสู่ “ชทราเซ่อะ เดส ซิปเซนเทิ่น ยู้นี่” (Straße des 17. Juni - 17th of June Street) ถนนสายหลักที่วิ่งผ่านจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายจุดกลางกรุงเบอร์ลินเช่น “ซีกเกสซอยเล่อะ” (Siegessäule - The Victory Column) หรือจะเป็นประตูบรันเดนบวร์ก (Brandenburger Tor)
Dr Motto (ผู้ให้กำเนิด Loveparade) วาดลวดลายบน Booth DJ บนรถขบวนพาเหรด
จากปาร์ตี้ 150 คนกลายเป็นงานเทศกาลดนตรีล้านกว่าคน!
เริ่มต้นจากความตั้งใจจัดงานปาร์ตี้เพื่อเป็นการประท้วงและแสดงออกถึงสันติภาพและความรักผ่านทางเสียงดนตรีของ Dr Motte (ดีเจ นักดนตรี และเจ้าของค่ายเพลงชาวเยอรมัน – ผู้ซึ่งเหล่า Raver บูชาให้เป็นบิดาผู้ให้กำเนิด Loveparade) ซึ่งในงานคราวนั้นมีชาวปาร์ตี้มาร่วมงานเพียง 150 คนในปี ค.ศ. 1989 โดยจัดกันบนพื้นถนน “คัวร์เฟือร์สเทิ่นดามม์” (Kurfürstendamm) ในกรุงเบอร์ลิน
พัฒนามาเป็นเหตุการณ์หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สามารถรวบรวมผู้เข้างานได้มากถึง 1,500,000 คนในปี 1999 ให้มาปกคลุมไปทั่วทุกกระเบียดนิ้วบนถนน Straße des 17. Juni และในสวนสาธาณะ “โกรสเซ่อะ เทียการ์เท่น” (Große Tiergarten) ใจกลางย่านที่เรียกว่า Tiergarten ซึ่งเป็น Landmark ของเบอร์ลินและได้มากที่สุดไปถึง 1,600,000 คนในปี 2008 ที่ย้ายไปจัดที่กรุงดอร์ทมุนด์ (Dortmund)
ขบวนพาเหรดดีเจบนถนน Straße des 17. Juni สังเกตุ Brandenburger Tor อยู่ไกลๆ
ขบวนพาเหรดแห่งความรักและความมันส์หลุดโลก
 
สำหรับงาน Loveparade นั้นนอกจากจะมีเวทีหลักตั้งอยู่ที่ Siegessäule ที่เป็นลักษณะ Booth ให้ดีเจขึ้นไปวาดลวดลายสะบัดแผ่นท่ามกลางผู้ชมแน่นเต็มพื้นที่รอบๆวงเวียนอนุสรณ์สถานนี้แล้ว อีกจุดเด่นที่แฟนๆทั้งหลายและผู้ที่ดูผ่านการถ่ายทอดสดทางทีวีต่างให้ความสนใจกันก็คือขบวนพาเหรดดีเจทั้งหลายที่ค่อยๆเคลื่อนที่ช้าๆกันมาตามถนน Straße des 17. Juni ด้วยรถเทรลเลอร์หลายสิบคันที่ถูกดัดแปลงให้เป็นดั่งเวทีเคลื่อนที่ติดตั้งลำโพงเสียงดังกระหึ่ม
ขบวนพาเหรดนี้มีเส้นทางเคลื่อนมาจากประตูบรันเดนบวร์ก ขับมาวนวงเวียน Siegessäule แล้วก็เคลื่อนกลับ ซึ่งขณะที่สวนกันกับรถดีเจอีกคันที่กำลังเคลื่อนที่มาก็จะมีการโห่ร้องทักทายกันอย่างสนุกสนาน
เวทีหลักที่ Siegessäule ถูกล้อมรอบด้วยมหาชนนับล้าน ขณะที่รถขบวนดีเจกำลังวนรอบวงเวียน
สองฝั่งถนนก็จะมีมวลมหาชนจากนานาประเทศรายล้อมอยู่รอคอยความมันส์ที่จะมาถึง ระหว่างที่เหล่าดีเจชื่อดังทั้งหลายกำลังโชว์ลีลา Spin แผ่นเสียงของพวกเขาอยู่บนรถเทรลเลอร์เหล่านั้น เหล่าผู้ที่รักความมันส์ก็จะเดินตามขบวนพาเหรดนี้ด้วยท่าเดินและท่าโยกอันเร้าใจแต่ส่วนมากจะออกแนวเพี้ยนๆหลุดโลก
ทีม MC ก็จะคอยประกาศแนะนำว่าขณะนี้ดีเจคนนี้กำลังเคลื่อนมาหาท่านแล้ว แฟนๆสองฝั่งถนนก็จะโห่ร้องกันอย่างบ้าคลั่งและออกอาการสะบัดกันไป นับเป็นประสบการณ์งานเทศกาลดนตรีที่แปลกสนุกและตื่นเต้นไปอีกแบบครับ
นี่ยังไม่ได้พูดถึงแนวการแต่งกายของชาว Raver เหล่านี้ที่บางคนแต่งชุดแฟนซีหลุดโลก บางคนก็แต่งแนว summer ซะจนเหมือนไปเที่ยวชายหาด แต่หนักที่สุดคือบางคนแทบไม่ได้แต่งกายเลยซักชิ้น
มีโอกาสได้ร่วมเป็น 1 ใน 750,000 คนใน Loveparade ปี 2002 "Access Peace"
กระแสต่อต้าน
งาน Loveparade ถือเป็นงานใหญ่ระดับโลกที่ทางรัฐบาลก็ยินยอมให้จัด เนื่องจากสร้างรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยวโดยนักปาร์ตี้ทั่วโลกที่หลั่งไหลเข้ามายังกรุงเบอร์ลิน ขนาดช่องทีวีของรัฐก็ยังมีการถ่ายทอดสดตั้งแต่บ่ายไปจนถึงดึกดื่นตลอดเวลางาน
ถึงแม้จะต้องยอมรับปัญหาที่ตามมานับไม่ถ้วน เช่นการปิดถนนสายหลักหลายวันเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดงาน การติดตั้งสุขาเคลื่อนที่ซึ่งบางปีมีรายงานมาว่าไม่เพียงพอทำให้เหล่าฝูงชนไปทำสกปรกกันใน Park รวมถึงการจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่มาดูแลความปลอดภัยในงานพร้อมด้วยหน่วยทีมแพทย์พยาบาลฉุกเฉินมากมาย
สุดท้ายคือขยะอันมหาศาลหลังจบงานบวกกับการไล่ซ่อมแซมความเสียหายของสถานที่ต่างๆเพราะถูกมหาชนนับล้านเหยียบ นั่ง นอน ดื่ม กินและเมากันเละเทะบนพื้นถนนและในสวนสาธารณะ Große Tiergarten
ซึ่งทั้งหมดนี้บริษัทผู้จัดงานต้องรับผิดชอบซ่อมแซมให้ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงเลยทีเดียว ทำให้ในบางปีเช่นในปี 2005 และ 2006 นั้นถูกว่างเว้นจากการจัดงานด้วยเหตุผลเรื่องการระดมทุน
จากผลเสียเหล่านี้ทำให้มีบางคนไม่เห็นด้วยกับการจัดงานเทศกาลอันหลุดโลกนี้ ดังเช่นเคยมีสัตวแพทย์อ้างว่าเสียงดนตรีเทคโนแดนซ์อันดังกระหึ่มในงานมีผลทำให้สัตว์ต่างๆในสวนสัตว์ Zoo Berlin ที่อยู่ไม่ไกลพากันป่วยท้องร่วง
จนในที่สุดในปี ค.ศ. 2007 วุฒิสมาชิกของเบอร์ลินไม่เซ็นใบอนุญาตที่ต้องใช้ในการขออนุมัติจัดงาน ทำให้ต้องมีการย้ายสถานที่จัดงานและตกลงกันว่าจะย้ายไปจัดที่อื่นที่ไม่ใช่กรุงเบอร์ลินต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี
โดยงานแรกที่จัดนอกกรุงเบอร์ลินนั้นได้เลือกเมืองเอ็สเซ่น (Essen) และจัดกันในวันที่ 25 สิงหาคม 2007 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานถึง 1,200,000 คนเลยทีเดียว แสดงให้เห็นถึงกระแสความดังของงานที่แม้จะถูกกีดกันแต่ก็ยังดำเนินการย้ายสถานที่จัดเพื่อให้งานดำรงอยู่จนได้
กระแสความดังของงานนั้นมากถึงขนาดมีการจัด Loveparade International ที่กระจายไประเบิดความมันส์ยังทวีปอื่นๆด้วยเช่นกรุงซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือกรุงบูไอโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เป็นต้น ที่บางงานมีผู้เข้าร่วมถึงหลายแสนคน
คำขวัญ (Motto) และจำนวนผู้เข้าร่วมงานในแต่ละปี
ความรัก สันติสุข ความเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันและ Motto
เนื่องจากงาน Loveparade นั้นมีต้นกำเนิดมาจากงานปาร์ตี้เพื่อแสดงออกถึงความรักและสันติภาพผ่านเสียงดนตรี ดังนั้นทุกงานที่จัดขึ้นในแต่ละปีจึงมีคำขวัญ (Motto) ซึ่งมีข้อความสื่อไปถึงการแสวงหาสันติภาพและความรักตัวอย่างเช่นงานแรกในปี 1989 มีคำขวัญว่า “Friede, Freude, Eierkuchen” (สันติภาพ-เรียกร้องให้มีการปลดอาวุธ, ความสุขสนุกสนาน-จากเสียงดนตรี, แพนเค้ก-การแบ่งปันอาหาร) หรือในปี 2002 มีคำขวัญว่า “Access Peace” หรือปี 2008 ที่จัดที่กรุงดอร์ทมุนด์ก็มีคำขวัญว่า “Highway to Love” เป็นต้น
งาน Loveparade เป็นเทศกาลขนาดมหึมาที่มีคนมารวมกันระดับล้านคน แต่ปัญหาเรื่องอาชญากรรมความรุนแรงหรือการกระทำผิดกฎหมายกลับมีน้อยอย่างเหลือเชื่อ
ดังเช่นในปี 2008 ที่กรุงดอร์ทมุนพบว่ามีคดีปล้น 6 คน ขโมย 40 คน การล่วงละเมิดทางเพศ 3 คน คดียาเสพติด 23 คน ทำร้ายร่างกาย 49 คนและมีอีก 177 คนถูกตำรวจจับซะก่อนที่จะเข้าไปป่วนในงาน นอกนั้นก็มีเหตุอื่นๆเช่นมีผู้ร่วมงานหมดสติจากสภาพแออัด อาการขาดน้ำหรือป่วยด้วยสาเหตุจากการใช้ยาเสพติด ทั้งๆที่มีคนมาเข้าร่วมงานถึง 1,600,000 คน
แสดงให้เห็นว่าชาวปาร์ตี้เหล่านี้มาร่วมงานด้วยใจบริสุทธิ์และใฝ่หาความสนุกสนานด้วยเจตนารมณ์เดียวกันคือใฝ่หาถึงความรักและสันติภาพตามจุดประสงค์ของงาน
Loveparade ปี 2010 ที่ Duisburg ผู้เข้างานแออัดกันในอุโมงค์จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 คน
โศกนาฏกรรมนำไปสู่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา
แม้ว่างาน Loveparade จะถือว่าเป็นงานที่จัดกันได้อย่างสงบเรียบร้อยปราศจากความรุนแรงและอาชญากรรม (ไม่นับเรื่องเสียงดังที่รบกวนบริเวณรอบข้าง) แต่จนแล้วจนรอดก็นำความเศร้าสลดมาสู่ชาวปาร์ตี้จนได้
ดังงานปาร์ตี้ครั้งสุดท้ายที่กรุงดุยซ์บวร์ก (Duisburg) ในปี 2010 ที่มี Motto ว่า “The Art of Love” ในงานคราวนั้นพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 21 คนและบาดเจ็บกว่า 500 คน เนื่องจากกระแสมหาชนจำนวนกว่า 1,400,000 คนหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานทำให้เกิดการแออัดกันที่อุโมงค์ทางเข้างาน ข่าวรายงานว่าในบรรดาผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นมีอย่างน้อย 20 คนเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ
การสูญเสียในครั้งนั้นรุนแรงเกินกว่าเราทุกคนจะรับได้ จึงได้มีการลงมติให้ยุติการจัดงาน Loveparade อย่างถาวร
นับเป็นการปิดฉากตำนานขบวนพาเหรดแห่งรัก งานเทศกาลดนตรีอันหลุดโลกและบ้าคลั่งแต่สามารถนำพามวลมนุษย์กว่าล้านชีวิตจากทุกมุมโลกมาร่วมกันแสดงเจตนารมณ์แห่งความรักและสันติภาพได้
อนาคตของ Loveparade และงานเทศกาลดนตรี
Dr. Motto เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวดอยเช่อ เวลเล่อ (Deutsche Welle – DW) เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่าเขาต้องการที่จะรื้อฟื้น Loveparade ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากถูกปิดฉากไปเมื่อ 10 ปีก่อนจากเหตุการณ์ที่กรุงดุยซ์บวร์ก
โดยเขาและทีมงานได้ริเริ่มโครงการระดมทุนบริจาคโดยใช้คำว่า “Fundraving” (เป็นการเล่นคำมาจาก Fundraising) ผ่านบริษัทที่ไม่แสวงหากำไรของเขาที่ชื่อว่า “Rave the Planet”
แต่ว่านั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของเขาเมื่อเดือนมกราคมซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดสถานการณ์โลกเรื่องโควิด-19 ซึ่งมีผลกระทบอันรุนแรงไปทั่วทุกวงการไม่เว้นแม้แต่วงการดนตรี ฉะนั้นงานเทศกาลดนตรี มหรสพ หรืองานรื่นเริงใดๆที่มีการรวมกันของคนจำนวนมากย่อมได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
ในอนาคตการจัดงาน Festival ระดับโลกใดๆไม่ว่าจะเป็น Tomorrowland, Ultra Music Festival หรือ Coachella คงจะต้องถูกระงับไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือถ้าหากจะจัดขึ้น ก็คงจะมีหลายๆสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ดังแนวทางที่เราเรียกกันว่า “New Normal”
ตัวอย่างเช่นงาน Big Mountain ในบ้านเราที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะจัดในเดือนธันวาคมปีนี้ก็มีการจำกัดให้มีผู้เข้าร่วมงานไม่เกินแค่ 50,000 คนทั้งๆที่ปีก่อนๆมีผู้เข้าร่วมงานถึง 150,000 คน
ยังไงก็ขอภาวนาให้สถานการณ์ดีขึ้นในเร็ววันครับ เชื่อว่าพวกเราทุกคนต่างตั้งตารอคอยที่จะกลับไปหาความสุขสนุกสนานกันอีกครั้งหลังจากกลุ่มเมฆดำก้อนใหญ่นี้ลอยผ่านพ้นไป
และก็หวังว่าขบวนพาเหรดแห่งรักขบวนนี้ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 20 ปี จะกลับมากระหึ่มบนพื้นถนนกรุงเบอร์ลินหรือที่ใดๆก็ตามอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสานต่อเจตจำนงค์แห่งการถวิลหาความรัก สันติภาพและความเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันผ่านเสียงดนตรีแห่งความสุข
โฆษณา