22 ส.ค. 2020 เวลา 13:00 • นิยาย เรื่องสั้น
[ My Jinji ]
มาย จินจิ ในวันฝนพรำ
“เดินเร็วหน่อยนะ อีก 10 นาที”
มือข้างหนึ่งยกโทรศัพท์มือถือรุ่นไม่กันน้ำที่ตอนนี้มีหยดน้ำเกาะพราวให้อีกคนหนึ่งได้เห็นเวลาที่หน้าจอ สายฝนที่กำลังเทกระหน่ำดูจะทิ้งตัวลงหนักยิ่งขึ้น แบบไม่แคร์คำอธิษฐานในใจของคนใต้ฟ้าที่กำลังเดินจ้ำต้านลมที่หอบเม็ดฝนมาปะทะ
ชั่ววินาทีที่ร่างสัมผัสความชื้น โจทย์ฟิสิกส์ที่เคยเรียนสมัยมัธยมก็แว่บเข้ามาในสมองของชายหนุ่มใต้ร่มสีน้ำเงิน
[ นาย B กางร่มเดินกลางฝนด้วยความเร็ว 2 เมตรต่อวินาที โดยขอบร่มสูงจากพื้น 1.8 เมตร และฝนตกลงในแนวดิ่งด้วยความเร็ว 5 เมตรต่อวินาที นาย B จะต้องยื่นขอบร่มให้ห่างจากตัวเขาอย่างน้อยเท่าไรจึงจะไม่เปียกฝน ]
ก่อนที่นาย B จะเริ่มคำนวณในใจ เขาก็คิดขึ้นมาได้อีกสองอย่างว่า หนึ่ง…ฝนไม่ได้ตกเป็นแนวดิ่งเพราะมันกำลังเข้ามาปะทะหน้าของเขาเป็นมุม 40 องศา และสอง…ตอนสมัยเรียนเขาแก้โจทย์ข้อนี้ไม่ถูก
“ถึงแล้ววววว”
เสียงใส ๆ ปนหอบดังขึ้นใกล้ตัว ทำให้เขาหลุดจากภวังค์ในโลกที่นิวตันกำลังนั่งงงใต้ต้นแอปเปิ้ล เพราะความรู้ที่หล่นหายไปกับสายฝน
🎵 Every time you lie in my place
I do want to say
It's you, you my babe
I won't be too late...🎶
“รอนี่นะ เดี๋ยวเราไปซื้อตั๋วก่อน ทันพอดี”
สามนาทีกับอีกสิบห้าวินาทีต่อมา ร่างทั้งสองก็ได้มาอยู่บนขบวนรถไฟตู้สีเขียวแถบส้ม เก้าอี้ในตู้ชั้น 3 นี้ถูกจับจองไปแล้วจนเกือบเต็ม แต่ยังพอมีที่นั่งริมหน้าต่างเหลืออยู่
น้ำไหลหยดเป็นสายจากร่มสองคันที่หุบพิงฝาเอาไว้ ที่ปลายด้ามจับของร่มคันหนึ่งดูพิเศษกว่าใครเพราะเป็นหัวของสัตว์หน้าตาบ้องแบ๊วมีปากสีเหลืองสดใสยื่นออกมา
“ฝนหนักขนาดนี้ เป็ดน้อยเอาไม่อยู่หรอก”
เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยแซวขึ้นขณะมองสำรวจความมะล่อกมะแล่กของคนข้างตัวอย่างเอ็นดู
“นั่นสิ ใครว่าเป็ดสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกนะ นี่เกือบไม่รอด”
เสียงหัวเราะประสานขึ้นเบา ๆ ด้วยความเกรงใจคุณป้าเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ลืมตาขึ้นมาชำเลืองดูผู้ร่วมทางที่เพิ่งขึ้นมาใหม่
ตั๋วโดยสารระบุสถานีปลายทางหัวตะเข้ ราคา 5 บาท ถูกยื่นให้กับพนักงานตรวจตั๋วในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินกรมท่าดูคลาสสิก มือที่ถือเครื่องเจาะรูทำงานอย่างคล่องแคล่ว
มือเรียวเล็กจัดแจงพับกระดาษแผ่นบางที่ได้รับกลับคืนมานั้นสอดไว้ในหน้าหนึ่งของสมุดขนาด A6 ที่เธอหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ใบย่อม สายตาของคนข้าง ๆ พอทันได้เห็นรอยปั๊มหมึก และตัวหนังสือยุกยิกบนหน้ากระดาษสองสามแผ่นก่อนที่มันจะถูกปิดลงและเก็บเข้าที่
“เมืองไทยน่าจะทำตราปั๊มไว้ที่จุดท่องเที่ยวบ้างเนอะ จะได้ตามเก็บเป็นที่ระลึก”
“อือ นั่นสิ” คือคำตอบสั้น ๆ ของชายหนุ่มผู้ไม่ชอบการจดบันทึกใด ๆ เว้นแต่เก็บไว้ในความทรงจำ
ในที่สุดขบวนรถจักรที่เคลื่อนที่มาด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จอดที่สถานีจุดหมายของทั้งสอง สายฝนยังคงโปรยปราย แม้จะเบาบางลงเล็กน้อยแต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ร่มเป็ดน้อยถูกกางขึ้นอีกครั้ง อันที่จริงมันเป็นของขวัญจากผู้ชายร่มสีน้ำเงินเรียบที่อยู่ข้าง ๆ
“เดี๋ยวต้องเดินไปอีกสิบกว่านาที ฝนตกด้วย โทษที…เราน่าจะดูพยากรณ์อากาศมาก่อน”
มือของหญิงสาวจับหัวเป็ดที่ปลายด้ามร่มให้กระชับขึ้น ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ไม่เป็นไร เราค่อย ๆ เดินไปก็ได้ ไม่ต้องรีบอะไรหนิ”
🎵 My Jinji, don't you cry
This world out of time
Of time out of mind
My Jinji, please don't cry
In this world out of time
Time out of mind...🎶
บรรยากาศทางเดินริมคลองที่ทอดตัวยาวนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝนที่กระทบผ้าร่มและผิวน้ำเป็นท่วงทำนองของธรรมชาติ นอกจากชาวบ้านสองสามคนออกมาตั้งเบ็ดหาปลาก็ไม่มีใครอีก
ขาของทั้งสองพาเจ้าของร่างมาถึงสะพานอันเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่ จุดที่ใครมาก็ต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แต่สายฝนและน้ำย่อยที่เริ่มทำงานเป็นแรงกระตุ้นที่ดีกว่า เพียงเสี้ยววินาทีที่ตาประสานกัน ขาก็ก้าวเดินต่อไปยังจุดหมายที่จะช่วยบรรเทาความหิว
บ้านไม้เก่าแก่เรียงรายตลอดเส้นทาง บ้างก็ขายของทำมือและขนม บ้างก็ขายอาหาร บรรยากาศแบบชุมชนโบราณและของตกแต่งจากอดีตชวนให้นึกถึงครั้งสมัยคุณตาคุณยายยังเด็ก
“มาตั้งไกล…จบที่มาม่าซะงั้น”
เสียงของคนช่างแซวยียวนชวนเรียกฝ่ามือให้ประทับแบบงาม ๆ แต่หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามยังคงยิ้มอย่างใจเย็น เพราะเมื่อชามร้อน ๆ มาตั้งตรงหน้า คนที่แซวไว้ก่อนหน้านี้ได้แต่มองตาละห้อย กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่จนเธอแอบขำในใจ
เวลาริมน้ำดูจะผ่านไปช้ากว่าวันธรรมดาที่อยู่ในเมือง นาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงสิบห้า ท้องฟ้ายามบ่ายยังคงปกคลุมด้วยสีเทา ฝนยังคงลงเม็ดต่อเนื่องจนความคิดที่จะไปเช่าเรือแคนูพายต้องพับไปโดยปริยาย
หลังจากที่เดินวนแวะเวียนลัดเลาะตามเส้นทางจนมือเต็มไปด้วยถุงขนมแบบไทย ๆ ทั้งขนมใส่ไส้ เปียกปูน ขนมตาล ขนมเบื้อง จนน่าหวั่นใจว่าหากกินหมดในคราวเดียวน่าจะน้ำตาลพุ่งเกินพิกัดเป็นแน่
“ได้กลิ่นอะไรมั้ย” คำถามของชายหนุ่มทำให้อีกฝ่ายต้องสูดจมูกฟุดฟิดในอากาศ
“กลิ่นอะไรอะ…กลิ่นฝนหรอ”
รอยยิ้มกว้างปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเจ้าของคำถาม
“เกือบถูก…แต่ไม่ถูก กลิ่นฝันต่างหาก”
กลิ่นฝันมาพร้อมความหอมหวนของกาแฟที่คั่วใหม่ ๆ คาเฟ่ขนาดเล็กที่บรรจุความฝันไซส์ใหญ่ในแก้วเซรามิกส์
“ทานนี่หรือซื้อกลับคะ ถ้าซื้อกลับต้องรบกวนคุณลูกค้านำแก้วมาเองนะคะ ทางร้านไม่ใช้พลาสติกค่ะ”
ภายนอกฝนยังคงตกอยู่ แต่เครื่องดื่มร้อนควันฉุยและรอยยิ้มของใครบางคน ทำให้บรรยากาศเทา ๆ ของยามบ่ายที่ไม่มีกิจกรรมอื่นใดนั้นสดชื่นขึ้นมาราวกับมีเวทมนตร์
🎵 Every time you lie in my place
I do want to say
It's you, you my babe
It won't be too late
Oh, don't leave me behind
Without you, I'll cry
'Cause only you, my baby
Only you can conquer time
Only you can conquer time...🎶
ฟังเพลง “My Jinji” (2016) โดย Sunset Rollercoaster ได้ที่นี่
[ เบื้องหลัง My Jinji ]
คืนหนึ่งที่ผมกำลังนั่งทำงานเคล้าเสียงเพลงที่เปิดไปเรื่อย ๆ ใน Spotify เกิดสะดุดขึ้นมากับเพลงนี้เข้าอย่างจัง “My Jinji” จาก Sunset Rollercoaster วงซินธ์ป๊อปจากไต้หวัน ที่เปี่ยมกลิ่นอายของยุค 80s
มันเฟี้ยวซะจนผมต้องวางมือจากงานที่ทำและรีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งไปกว่านั้นพอได้มาฟังทั้งอัลบั้มแล้ว แทบอยากจะเตะตัวเองว่าทำไมไม่รู้จักเร็วกว่านี้
เอาเป็นว่าใครที่ชอบแนวกรู๊ฟ อินดี้ ผสมแจ๊สนิด ๆ ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดเพลงของวง Sunset Rollercoaster ด้วยประการทั้งปวง
ส่วนใครที่สงสัยว่า Jinji คืออะไร อันที่จริงเป็นคำที่มาจากเพลง “Dindi” ของเจ้าพ่อ Bossanova อย่าง Antonio Carlos Jobim แต่ในยุค 70’s นักร้องเพลงโซลนาม Jon Lucien ได้นำมาคัฟเวอร์โดยเปลี่ยนการออกเสียงเป็น “Jinji”
ตามบริบทในความหมายของเนื้อเพลงคือ “Baby” ดังนั้น “My Jinji” จึงหมายถึง “My Baby” นั่นเอง 💙
แล้วพบกันใหม่ในเพลงหน้าครับ
Photo : Unsplash / Photo by @ให้เพลงพาไป
โฆษณา