25 ส.ค. 2020 เวลา 03:55 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Xinomics นำ 'จีน' ก้าวสู่ 'มหาอำนาจเศรษฐกิจ' ด้วยโมเดลใหม่
ส่องโมเดล Xinomics หรือสังคมนิยมการเมือง-เสรีนิยมเศรษฐกิจ แนวทางใหม่ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่นำพาจีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจได้ดี ท่ามกลางความตกต่ำของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม 100% แบบตะวันตกในปัจจุบัน
บทความโดย ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ | คอลัมน์ GLOBAL VISION
Xinomics นำ 'จีน' ก้าวสู่ 'มหาอำนาจเศรษฐกิจ' ด้วยโมเดลใหม่
อาจกล่าวได้ว่าปี 2020 อาจไม่ใช่ปีที่ดีนักของจีน COVID-19 โรคร้ายที่ระบาดครั้งแรกในจีน ทำให้มีผู้ป่วยกว่า 8.5 หมื่นคน เสียชีวิตกว่า 4,600 คน และลามทั่วโลก ทำให้หลายชาติประณามว่าจีนเป็นต้นกำเนิดแห่งโรคร้าย
ส่งผลให้แนวนโยบายอื่นๆ ของจีน โดยเฉพาะด้านการต่างประเทศ ทั้งจากการเผยแผ่อิทธิพลเศรษฐกิจและแนวนโยบายสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ ผ่านโครงการ Belt and road initiative ต้องชะลอลง ส่วนด้านอุตสาหกรรม ผู้ผลิตในหลายประเทศที่เคยสั่งซื้อของจากจีน เริ่มกังวลในประเด็นการหยุดชะงักของการผลิต (Supply chain disruption) รวมถึงด้านความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน จึงลดการนำเข้าจากจีนและการลงทุนในจีน
นอกจากนั้นประเด็นด้านสงครามเย็นระหว่างจีน-สหรัฐและพันธมิตรน่าจะกดดันจีนเช่นกัน ทั้งการประกาศพร้อมนำหุ้นจีนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ หากไม่ทำตามกฎระเบียบทางบัญชี ประกาศแบน Huawei, TikTok และ WeChat ประกาศปิดสถานกงสุลจีนในฮุสตัน และประกาศแบนประธานเจ้าหน้าที่และผู้บริหารเกาะฮ่องกง 11 ท่าน ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากภาพเหล่านี้ เศรษฐกิจ-สังคม-การเมืองภายในจีนน่าจะไม่ดีนัก
หาได้ไม่ เมื่อพิจารณาภายในประเทศนั้น อาจกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดีมาก โดยในไตรมาส 2 ขยายตัวกว่า 3.2% ขณะที่ IMF คาดการณ์ว่า GDP จีนในปีนี้จะเติบโตประมาณ 1% ซึ่งเป็นส่วนน้อยในโลกที่เศรษฐกิจปีนี้ยังจะเติบโตเป็นบวก เมื่อเทียบกับสหรัฐและไทยที่คาดว่าอาจหดตัวถึงกว่า 8%
คำถามคือ มีสูตรลับอะไร และแผนการของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐในการจำกัดการเติบโตขึ้นของจีน เหตุใดจึงไม่ประสบผลสำเร็จ
คำตอบ นั่นเป็นเพราะสหรัฐและชาติพันธมิตรมองผิด คิดว่าจีนยังโตด้วยสูตรเก่า คือ
1.โตด้วยการก่อหนี้และอุดหนุนโดยรัฐ ช่วยเหลือรัฐวิสาหกิจก่อนภาคเอกชน
2.การใช้ Forced techno transfer (บังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี) และการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ฉะนั้น ถ้ากดดันมากพอ จะทำให้จีนต้องเปิดจุดอ่อน ยอมเปิดเสรี และพ่ายแพ้ต่อชาติตะวันตกที่โปร่งใส เป็นประชาธิปไตย และมีนวัตกรรม
แต่ปัจจุบันจีนก้าวไปอีกขั้นแล้ว ด้วยแนวทาง “สังคมนิยมการเมือง-เสรีนิยมเศรษฐกิจ” ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เรียกว่า Xinomics โดยหลังจากที่จีนสามารถใช้โมเดลการปิดเมืองที่เด็ดขาด จนทำให้การติดเชื้อ COVID รอบแรกแทบหายขาดไปจากจีนแล้ว ก็ผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสำคัญที่ประกอบด้วยแนวทางสำคัญ 3 ประการคือ
1.ลดการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกินตัวที่เคยทำในยุคหลังแฮมเบอร์เกอร์ อันนำไปสู่ปัญหาหนี้ประชาชาติ (ที่รวมทั้งหนี้รัฐ เอกชน และครัวเรือน) ที่สูงถึงระดับเกือบ 300% ต่อ GDP แต่ในวิกฤติครั้งนี้ จีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับจำเป็น
2.ปฏิรูปเชิงสถาบัน เช่น ระบบกฎหมายให้ทันสมัยและเป็นสากลมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายธุรกิจ ทำให้การฟ้องล้มละลายเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในรอบ 5 ปี ขณะที่คดีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตั้งแต่ปี 2012 (และส่วนใหญ่โจทก์ที่เป็นบริษัทต่างประเทศจะชนะในคดีเหล่านี้) รวมถึงการอนุญาตให้เอกชนฟ้องภาครัฐมีมากขึ้นด้วย
3.ลดพรมแดนระหว่างการเป็นรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน โดยพยายาม “รีดไขมัน” รัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพขึ้นมาก มีความสามารถทำกำไรทัดเทียมบริษัทเอกชน รัฐวิสาหกิจบางแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีน ทำผลประกอบการดีและเป็นที่นิยมในการลงทุนมากกว่าธุรกิจเอกชนเสียอีก (เช่น China Merchant Bank ที่เป็นธนาคารของรัฐ ทำผลประกอบการได้ดีกว่า Bank of Communications ที่เป็นของเอกชนเสียอีก)
โฆษณา