29 ส.ค. 2020 เวลา 13:03 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
MovieTalk Special Series: หนังชนโรง
N - O - L - A - N Project 11:
TENET
Tenet ก็คืองานหนังสายลับในสไตล์หนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่มาพร้อมลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น ความยอกย้อนของไทม์ไลน์ผ่านการเล่าเรื่องไม่
ลำดับเวลา, วิสัยทัศน์แบบโนแลน และ อาการ ‘มึนตึ้บ’ ของคนดู
MovieTalk จะพาคุณไปสำรวจชุดความคิดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ใน MovieTalk Special Series ชุด N – O - L – A- N - F ด้วยการอุ่นเครื่องไปกับ 10 และ หนังเรื่องล่าสุดของโนแลน Tenet
Tenet (2020)
Directed byChristopher Nolan/Screenplay: Christopher Nolan/Music: Ludwig Göransson/Cinematography: Hoyte van Hoytema/Edited: Jennifer Lame/Distributed: Warner Bros. Pictures
Starring: John David Washington, Robert Pattinson, Elizabeth Debicki, Dimple Kapadia, Michael Caine, Kenneth Branagh
Running time: 150 minutes
ซีไอเอคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสจากภารกิจที่ล้มเหลว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับถูกเลือกให้รับภารกิจลับจาก ‘เทเน็ต’ ซึ่งมันเป็นหายนะที่ยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งที่สาม เขาต้องเริ่มแกะรอยเบาะแส แต่ยิ่งไล่ตามสิ่งที่พบกับกลายเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย และอาจส่งผลต่อหายนะครั้งใหญ่ของโลก
เป็นการยากทุก ๆ ครั้งสำหรับการที่จะพูดถึงหนังที่กำลังจะเข้าฉายของ คริสโตเฟอร์ โนแลน โดยหลีกเลี่ยงที่จะไม่สปอยล์หนังเพื่ออรรถรสในการชม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Tenet ที่น่าจะมีน้อยคนที่ดูแล้วเข้าใจตั้งแต่ครั้งแรก จึงไม่น่าแปลกใจถ้า Tenet จะกลายเป็นหนังทำเงิน เพราะหลายคนคงมีการ ‘รีแมทซ์’ กันอีกรอบเพื่อความกระจ่างมากขึ้น
บทความชิ้นนี้ผมจะพยายามไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง แต่ไม่รับประกันว่าอ่านแล้วจะ 'มึน' รึเปล่า?
ว่ากันที่งานสร้าง หนังยังคงเป็นสไตล์ที่สอดรับกับชุดความคิดแบบโนแลน โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นงานที่ ‘หนักมือ’ เหมือนผู้กำกับอยากลองของจึงจัดมาเต็ม ไอ้ที่เคยเห็นใน Memento, Inception, Interstellar ถูกนำมายำใหญ่ในหนัง จนงานก่อนหน้าทั้งสามชิ้นดูจะเป็นงานที่ ‘ดูง่ายกว่า’ ไปในทันที
อันที่จริงหากแยกแต่ละส่วนออก ในส่วนของพล็อตเรื่องหลัก ก็เป็นเรื่องสายลับแบบเจมส์ บอนด์ที่โนแลนเคยเสนอตัวเข้าไปทำ แต่ทีมผู้สร้างไม่อยากได้ โนแลนเลยสร้างหนังสายลับของตัวเอง ซึ่งก็เดินตามขนบของหนังสายลับ ที่แฝงตัวเข้าไปจัดการกับตัวร้ายที่หมายทำลายล้างโลก มีผู้ช่วยสนับสนุน ต้องแต่งตัวดีมีรสนิยม ซึ่งเป็นการจิกกัดสายลับอนุรักษ์นิยมอย่าง 007 ไปในที
แต่คุณคงไม่คิดใช่ไหมว่าโนแลนจะเล่าเรื่องสายลับแบบทื่อ ๆ ดังนั้นที่เหลือจึงเป็นชุดความคิดแบบโนแลน ที่ฉันจะไม่เล่าตามลำดับเวลาอย่างที่คนดูมาแล้ว 10 เรื่องจับทางได้ เพราะฉันจะเอาเวลาทั้งหมดมาพับเข้าหากัน ซ้อนทับกันหลายชั้น ซึ่งนั่นล่ะที่ทำให้ ‘งง’ ถ้าเกิดมีคนดูบางคนเผลอลุกออกไปเข้าห้องน้ำ หรือหลับไปชั่วขณะ
มันจึงกลายเป็นงานที่อ้างอิงทฤษฎีเวลา และกฎฟิสิกซ์ที่ผมเองไม่ได้มีความชำนาญเลย ‘เอนโทรปี (Entropy)’ [แนวคิดที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพตามธรรมชาติของสิ่งของนั้น ทำให้ระบุทิศทางของเวลาได้ ค่าที่เพิ่มขึ้น ยิ่งมากยิ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงมาก-ที่มา: beartai.com] เมื่อโนแลนเลือกเอา ‘เอนโทรปี’ มาใช้ในหนัง มันยิ่งเพิ่มความสับสนต่อการทำความเข้าใจในระหว่างดูเพิ่มขึ้น เพราะถ้าคุณได้ดูหนังตัวอย่างจะเห็น ‘การไหลย้อนของเวลา’ เหมือนกับการที่เรากำลังเล่นภาพย้อนกลับในเวลาที่ดูหนังที่บ้านนั่นล่ะ
1
โดยส่วนตัวผมมองว่า โนแลนจงใจเอาหลายอย่างมาหลอกคนดูหนังให้ไข้วเขวหลงทาง เพราะเมื่อเปิดประเด็นกฎฟิสิกซ์กับกาลเวลา บวกกับปูมหลังคนดูที่ผ่านตาเรื่องของมิติเวลา, ซิงกูราริตี้ ฯลฯ จาก Interstellar ก็อดไม่ได้ที่จะนำเอาวิธีคิดแบบหนังเรื่องนั้นมาใช้ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งนั่นล่ะคือสิ่งที่จะทำให้คุณยิ่ง ‘สับสน’ กับความ ‘ซับซ้อน’ ของหนังเพิ่มขึ้น
โนแลนก็ยังเอาเรื่องความคาบเกี่ยวของไทม์ไลน์มาใช้กับคนดู รวมไปถึงการอธิบายผ่านบรรดาตัวละครถึงโลกคู่ขนาน การเดินทางย้อนกลับไปฆ่าบรรพบุรุษ ซึ่งพวกเรามีชุดความคิดที่เคยชินว่า ถ้าฆ่าปู่ เราเองก็จะหายไป แต่จำได้ไหม ดร.แบนเนอร์ (Avengers: Endgame) หักล้างทฤษฎีนั้นไปรอบหนึ่ง เราเดินทางกลับไปและแก้ไขมันจะเกิดไทม์ไลน์ใหม่อีกเส้นหนึ่งขนานไปกับไทม์ไลน์เดิม และการเดินทางกลับไปอดีต ก็คือการเดินทางไปอนาคตที่อยู่ในอดีต (งงไหม?) มันก็คืออนาคตของเรา ในขณะที่ ที่เราเพิ่งจากมาจะกลายเป็นอดีตไปแทน (มึนนนน!)
1
อย่างเดียวที่จะทำให้คุณดูหนังอย่างเข้าใจก็คือ คำพูดหนึ่งของตัวละครหนึ่งในหนัง
‘ถ้าคุณยังคิดทุกอย่างเป็นเส้นตรง คุณก็ไม่ควรอยู่ในปฏิบัติการครั้งนี้’
ดังนั้นระหว่างที่ดูหนัง มันจึงเกิดอาการสงสัยในสิ่งนั้น และสิ่งนี้ อยู่ตลอดเวลา และหนังก็ไม่เปิดอากาสให้คุณสมองโล่งมีเวลาได้ขบคิด เพราะมันจะมีสิ่งใหม่เข้ามาให้
คุณสงสัยต่อไป และต่อไป ดังนั้น พักความสงสัยและตามหนังที่เดินหน้า (...หรือถอยหลัง?) ไปก่อน
คนทำหนังอาจสนุกที่ปั่นหัวคนดู ส่วนคนดูจะสนุกด้วยไหม....ผมไม่แน่ใจ?
ว่ากันด้านเทคนิคสำหรับคนที่สนใจเบื้องหลังการทำหนัง คุณคงนั่งคิดในใจหลาย ๆ ฉากที่เกิดขึ้นในหนังมันถือเป็นนวตกรรมใหม่ ๆ ในการถ่ายทำ จนอดคิดไม่ได้ว่าไอ้ที่เห็นมันทำออกมาได้ไง ต้องไม่ลืมว่าโนแลนเป็นผู้กำกับที่ไม่ชอบใช้ซีจีเท่าไรนัก การดีไซน์ฉากแอ็คชั่นของเขาจึงเป็นที่กังขา รวมไปถึงงานด้านภาพที่ต้องเข้าอกเข้าใจตัวผู้กำกับมิใช่น้อยถึงออกมาแบบนี้ได้ และตากล้องคู่บุญของโนแลนอย่าง ฮอยต์ ฟาน ฮอยเตมา ที่น่าจะรู้ใจรู้ทางกันเป็นอย่างดี
ในเมื่อหนังมันถูกเน้นไปที่เทคนิค วิธีเล่าเรื่อง บรรดาตัวละครในหนังจึงดูห่างเหินกับคนดูมาก เราไม่รู้กระทั่งชื่อของตัวละครเอกที่เป็นสายลับ และเราก็แทบจะไม่รู้ในปูมหลังของบรรดาตัวละครทั้งหลายเลย ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากการกันคนดูออกห่างจากตัวละครที่เขารักหรือชัง
ตัวละครเอกที่ไม่มีชื่อเป็นสายลับซีไอเอ รับบทโดย จอห์น เดวิด วอชิงตัน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกไม้หล่นใต้ต้น ลูกชายของเดนเซล วอชิงตัน นี่เอง ดังนั้นไว้ใจได้ในเรื่องการแสดง แม้ว่าเสน่ห์ของวอชิงตันคนลูกจะยังไม่ดึงดูดใจได้เท่าวอชิงตันคนพ่อก็ตาม ตัวละครหลักก็เหมือนคนดูที่เริ่มต้นด้วยความ มึน ๆ อึน ๆ ไปกับเหตุการณ์ที่เข้ามา และมีหน้าที่พาคนดูไปทำความเข้าใจกับทุกเหตุการณ์ ซึ่งก็คงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างทั้งตัวละคร และคนดู
1
โรเบิร์ต แพททินสัน ในบท นีล กลับกลายเป็นตัวละครที่มีสีสัน พอ ๆ กับน่าสงสัยมาก ๆ ในหนัง เรียกว่าเป็นตัวละครที่ส่งผลต่อหนังในทุกทิศทาง ทั้ง ๆ ดู ๆ ไปเหมือนไม่ต่างจากตัวตามพระเอกเลย ใครที่เคยเหม็นหน้าแพททินสันตั้งแต่แวมไพร์ยามเย็น หรือ ยี้ เขามาก ๆ กับการเป็นแบทแมนคนล่าสุด อาจเริ่มเปลี่ยนใจก็งานนี้ล่ะ
ความสวยงามหนึ่งเดียวที่มาเบรคหนัง อลิซาเบธ เดบิคกี ในบท แคท หญิงสาวที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นกับสามีจอมโหดของเธอ
และ เคนเนธ บรานาห์ ในบท ซาธอร์ มาเฟียรัสเซียที่เป็นตัวร้าย บรานาห์ก็เล่นใหญ่ชนิดรังสีอำมหิตออกมาเลย แต่ไม่ใช่ตัวร้ายที่น่าจดจำอะไรเพราะมีเพียงมิติเดียว หรือบางที โนแลน อาจจะตั้งใจยั่วล้อบรรดาตัวร้ายในหนังเจมส์ บอนด์ ก็เป็นได้
หน้าเก่าขาประจำมาเพียงหนึ่งเดียวคือ ปู่ไมเคิล เคน ที่โผล่ออกมาฉากเดียว ถ้าเผลอไปเข้าห้องน้ำอาจไม่ได้เจอปู่เคนนะ ส่วนซิลเลียน เมอร์ฟีย์ ไม่มีที่ว่างให้ครับ!
งานดนตรีประกอบเปลี่ยนมือจาก ฮาน ซิมเมอร์ส ที่ติดคิวทำเพลงประกอบหนัง Dune เลยเปลี่ยนมาเป็น ลุดวิก กอร์แลนส์สัน ซึ่งก็ให้บรรยากาศนัวร์ ๆ มึน ๆ เข้าสอดรับกับธีมหนังดี
มาถึงตรงนี้ ถ้าคุณไม่เข้าใจบทความหนังชิ้นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันย้อนแย้งไม่ต่างจากตัวหนัง Tenet นั่นล่ะ ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคตข้างหน้า อาจจะมีการพูดลึกไปถึงประเด็นในหนังอีกสักบทความ (ถ้าผมยังเขียนอยู่นะ)
สำหรับคนที่กังวลว่าจะดูหนังรู้เรื่องหรือไม่ บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่งานที่ตอบสนองความบันเทิงแบบเส้นตรง ถ้าคุณชอบใช้ความคิดระหว่างดูหนัง สนุกกับการลับสมอง ชอบเรื่องลูปเวลา อยากศึกษาเทคนิคการถ่ายทำ คุณจะไม่ผิดหวังกับ Tenet แต่ถ้าคุณชอบหนังแบบ เจมส์ บอนด์, หนังตระกูลฟาสต์ Tenet ไม่ได้ใกล้เคียงกับการกระตุ้นต่อมอะดรีนาลีนของคุณครับ!
ความคิดนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการกระทำ
และการกระทำที่ทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความคิด
สิ่งใดที่เกิดขึ้นก็คือเกิดขึ้น ถึงจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่มันเคยเกิดขึ้นไปแล้วอยู่ดี
ไม่มีใครรู้ว่าใครที่กำหนด ‘ชะตา’
แต่ทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้นมันคือ ‘ความจริง’
ขอบคุณที่มาข้อมูล: IMDb, Wikipedia, Youtube, Rotten Tomatoes, Warner Bros., beartai.com, viewfinder
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: IMDb, Wikipedia, Youtube, Rotten Tomatoes, Variety.com, Slashfilm.com, Indiewire.com, Vanityfair.com, Deadline.com, Rollingstone.com, insider.com, Inverse.com, Syfy.com, Digitalspy, Screenre
***ประสบการณ์ชม Tenet บนจอ IMAX
ด้วยระบบฉายฟิล์ม 70 มม.
คริสโตเฟอร์ โนแลน ใช้กล้อง IMAX ถ่ายทำ Tenet ด้วยฟิล์ม 70 มม. ซึ่งในเมืองไทยมีเพียงก็อปปี้เดียวและฉายอยู่ที่ IMAX สยามพารากอน และไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ได้รับก็อปปี้ 70 มม. มาฉาย
ดังนั้นสำหรับคนที่ต้องการประสบการณ์ชมภาพยนตร์บนจอยักษ์ที่ภาพออกมาดูดิบ มีความสมจริง และความคมชัดของภาพจะสูงในระดับ 18K (หนังที่ถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลคุณภาพของภาพอยู่ที่ 2-4K) ซึ่งจะมีสัดส่วนภาพทั้งด้านกว้าง และสูงเพิ่มขึ้นจากเดิม
แต่ทางโรง IMAX ก็มีการขึ้นข้อความ และประกาศเตือนไว้ก่อนว่า หากระหว่างฉายเครื่องฉายเกิดขัดข้อง เพิ่อความต่อเนื่องทางโรงหนังจะเปลี่ยนเป็นฉายด้วยระบบดิจิตอล สำหรับคนดูที่ไม่ต้องการชมในระบบดังกล่าวสามารถขอคืนตั๋ว และรับเงินคืนได้เต็มจำนวน และสำหรับท่านที่ประสงค์ชมหนังต่อไปจนจบ ทางโรงจะให้ตั๋วหนัง IMAX ฟรี ในครั้งถัดไป
จากการสอบถามก่อนเข้าไปดู ที่จัดฉายไปก่อนหน้านี้ไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น และระหว่างที่ผมได้ชมจนจบก็ไม่มีปัญหาเครื่องฉายข้ดข้องขึ้น จะมีติดขัดบ้างก็เห็นจะเป็น ซับไตเติ้ลที่มีขนาดเล็กกว่าปกติ เพราะไม่สามารถทำซับไตเติ้ลแบบฝังไว้ได้ครับ
ความรู้สึกก็คือเสมือนเราเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ แค่ในฉากเปิดเรื่องที่โรงละครโอเปร่า เราจะรู้สึกเหมือนเป็นคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในโรงโอเปร่านั้นด้วย ใครที่อยากเติมเต็มหนังอย่างสุด ๆ ตามที่โนแลนถ่ายทำก็แนะนำให้ดูผ่าน IMAX พารากอนครับ แต่ค่าตั๋วหนังจะค่อนข้างแพงเริ่มต้นที่ 400.-/ที่นั่งครับ
แต่สิ่งที่เดียวที่ผมรู้สึกหดหู่ใจก็คือ เมื่อถึงเพลงสรรเสริญพระบารมี กลับมีคนไม่ถึงครึ่งโรงหนังที่เต็มใจจะลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการถวายความเคารพ ซึ่งมันก็คงขึ้นกับมุมมอง ความคิด และจิตสำนึกของแต่ละคนครับ ผมคงไม่ก้าวล่วงไปตัดสินใคร ๆ ทั้งสิ้น แต่สำหรับตัวผม ต่อให้เหลือคนเดียวผมก็จะยืนถวายความเคารพครับ
ขอบคุณที่มาข้อมูล: พี่จีน Viewfinder, IMAX Club Thailand
ขอบคุณที่มาข้อมูล: IMDb, Wikipedia, Youtube, Rotten Tomatoes, Warner Bros., beartai.com, viewfinder
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: IMDb, Wikipedia, Youtube, Rotten Tomatoes, Variety.com, Slashfilm.com, Indiewire.com, Vanityfair.com, Deadline.com, Rollingstone.com, insider.com, Inverse.com, Syfy.com, Digitalspy, Screenrent

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา