31 ส.ค. 2020 เวลา 16:18 • ยานยนต์
เมื่อไหร่ราคาจะลง!? ชำแหละต้นทุนชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า
เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมรถยนต์ไฟฟ้ามันแพง จริงๆมันแพงเพราะอะไร
แล้วต้นทุนมันมีอะไรบ้าง วันนี้ผมจะมาพูดให้ฟังนะครับผม^^
ซึ่งเรทราคาจะมีตั้งแต่แสนปลายๆ-10ล้านเลยนะครับผม
ซึ่งคันที่ถูกที่สุดน่าจะเป็นเจ้ารถ Formm one ซึ่งราคาอยู่ที่7แสน
เป็นรถคันเล็กๆ คล้ายๆรถกอล์ฟ ขับใกล้ๆ
แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมกันมากเท่าไหร่นะครับ อาจจะไม่ตอบโจทย์กันเท่าไหร่ด้วยขนาดที่เล็กๆ
พอขยับขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นกลุ่มที่ล้านขึ้นถึง2.5ล้าน
ตัวที่ถูกที่สุดก็จะเป็นZSEV อยู่ที่ราคา1.1-1.2ล้านครับ
ซึ่งตัวนี้ขายดีมากๆนะครับขายไปกว่า3000กว่าคันเพราะราคาที่เอื้อมถึงได้
ถัดมาก็จะเป็นตัว Nissan leaf นะครับราคาอยู่ที่1.9ล้าน
ขายได้ระดับนึงปต่ก็ยังไม่ได้ดีมากสักเท่าไหร่นะครับผม
พอถัดขึ้นมาก็จะกระโดดเป็น4-10ล้านกันเลยทีเดียวนะครับผม
ก็จะมีอย่างเจ้าตัวเบนซ์Benz EQC ที่กำลังจะเข้ามาเป็น Suv
และก็อย่างเจ้าตัว Jaguar ipace ที่เป็น Suv เหมือนกันนะครับผม
แล้วก็เจ้าตัว Ordie etown Tesla ต่างๆนะครับ
รถยนต์ไฟฟ้าก็ถือว่ายังเป็นตัวที่แพงกันอยู่นะครับ
ที่นี้เราเลยมาดูกันว่าต้นทุนตัวไหนมันแพงกันบ้างนะครับ
ถ้าพูดถึงต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าผมแบ่งเป็น2ส่วนนะครับผม
ส่วนแรกก็คือต้นทุนที่เกี่ยวกับรถโดยตรง
ส่วนที่2ก็คือค่าใช้จ่ายรอบๆตัว เช่นภาษีต่างๆ
มาพูดถึงส่วนต้นทุนของรถโดยตรงกันก่อนนะครับ
ต้นทุนของรถโดยตรงก็จะมี2ตัวหลักๆก็คือ
1.ชุดส่งกำลังก็จะมีเจ้าตัวมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งราคาต้นทุนอยูที่1200 USD หรือ36000บาทนะครับ
ซึ่งก็มีคาดการณ์ว่าในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงเรื่อยๆครับ
ซึ่งในองค์ประกอบของชุดส่งกำลัง
ก็จะมีInverter converter ก็จะมีต้นทุนอยู่ที่21000บาทนะครับ
และในอีก8 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเหลือประมาณ 15000บาทครับ
ซึ่งรวมๆชุดส่งกำลังทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ4-5หมื่นบาทครับ
2.แบตเตอรี่ ถือว่าตัวนี้เป็นตัวที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าเลยนะครับ
ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนหลักถึง50-60% จากต้นทุนของรถไฟฟ้าทั้งหมดกันเลยทีเดียว
ซึ่งราคาอยูที่3.5แสนบาทกันเลยทีเดียว ซึ่ง1kWh จะอยู่ที่ 4800บ.
ซึ่งเมื่อก่อน 1kWh จะอยู่ที่10000บาทกันเลยทีเดียว
ซึ่งในอนาคตก็จะถูกลงเรื่อยๆแน่นอนครับผม
ตอนนี้Tesla ก็ได้มีโรงงานผลิตลิเทียมเพิ่มมากขึ่นเรื่อยๆ
ซึ่งตอนนี้Teslaก็มีโรงงานทั้ง แคริฟอเนีย อเมริกา เมืองจีน แล้วตอนนี้ก็กำลังจะขยายเพิ่มที่เท็กซัสนะครับผม
ในอนาคตแบตเตอรี่จะถูกลงแน่นอนครับ เนื่องจากเขาก็ต้องการทำให้คนเข้าถึงใช้งานได้ง่ายขึ้นทุกคน เทคโนโลยีที่ดีขึ้น
ทำให้ได้แบตเตอรี่ที่มากขึ้นและถูกลงแน่นอนครับ
ที่นี้เรามาดูแบตเตอรี่ของMGกันบ้างนะครับ
ซึ่งแบตเตอรี่ของโมดูลนึงจะอยู่ที่ 40000บาท
และในรถมีอยู่ประมาณ16โมดูล ก็จะตีราคาเป็น 6.4แสนบาทกันเลยทีเดียว
นอกเหนือจากแบตเตอรี่ยังมีตัวอื่นๆที่สำคัญช่วยในการส่งกำลังไฟฟ้า
ซึ่งก็คือตัวฺBMS นี่เองครับผมหรือก็คือ Battery Management System หรือตัวจัดการไฟฟ้านั่นเองครับ
ซึ่งตัวนี้ก็จะเป็นตัวจัดการที่ทำให้แบตเตอรี่ไฟฟ้าที่ทำให้แบตเตอรี่ไฟฟ้าในรถทั้งคันหมดพร้อมกันนั่นเองครับ
ถ้าBMS คุมไม่ดีอาจจะทำให้แบตระเบิดได้เลยครับ ซึ่งเจ้าตัวนี้ราคาก็จะอยู่ที่ 10000บาทครับ
ตัวต่อไปก็จะเป็นตัวTMS เป็นตัวบริหารจัดการความร้อนนั่นเองครับผม
คอยระบายความร้อนให้อุณหภูมมิไม่สูงมากจนเกินไปซึ่งก็ลดความเสื่อมของแบตได้ครับ ซึ่งราคาจะอยู่ที่7500บาทครับ
สุดท้ายก็จะเป็นระบบควบคุมไฟฟ้า เพราะหลังๆตอนชาร์ตตัวนี้ก็จะคนคอยควบคุมไม่ให้จ่ายไฟมากจนเกินไป
ซึ่งตัวนี้ราคาจะอยู่ที่12000บาท
เบ็ดเสร็จราคารวมๆก็จะอยู่ที่5แสนบาทกันเลยทีเดียวครับ
ซึ่งยิ่งรถแบตเตอรี่ใหญ่เท่าไหร่ ต้นทุนยิ่งแพงขึ้นเท่านั้น
ส่วนสุดท้าย
รถก็จะมีเรื่องต้นทุนในการประกอบ อยู่ที่ประมาณ37000บาท
และก็จะมีค่าการวิจัยและพัฒนา ซึ่งตัวนี้มีเงินทุนในการวิจัยเกือบถึง3แสน/ครั้ง
ในช่วงเริ่มต้น
แต่หลังๆก็จะถูกลงเรื่อยๆครับผม ทั้งเรื่องของกำแพงภาษีอีกด้วยที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าแพง
ใครชอบก็ฝากกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะครับ หรือคอมเมนต์พูดคุยกันได้เลยนะครับผม
โฆษณา