3 ก.ย. 2020 เวลา 00:19 • กีฬา
“คุณไม่รู้หรอกว่าผมมีความสุขขนาดไหน ที่สุดท้ายผมได้ย้ายทีม”
“เพราะอย่างที่คุณรู้ ผมตกลงกับ เรอัล มาดริด ได้แล้ว และกับสโมสรอื่นด้วย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้มันไม่เคยลุล่วง”
“นักเตะที่น่าจะย้ายออกจาก เรอัล มาดริด ยังอยู่ต่อ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเซ็นสัญญากับผมได้ ผมถึงกับถามตัวเองว่าโอกาสแบบนี้มันจะเข้ามาอีกไหม?”
“แต่หลังจากนั้นก็เป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรในฝันของผม, สโมสรที่มหัศจรรย์ในลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกที่เข้ามา ผมไม่จำเป็นต้องคิดแม้แต่วินาทีเดียวเมื่อโอกาสนี้มันเข้ามาหาผม”
ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ให้สัมภาษณ์เอาไว้กับสื่อเจ้าใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์อย่าง เดอ เทเลกราฟ (De Telegraaf)
สิ่งที่กองกลางชาวดัตช์พูดออกมา มันดูจะเป็นอะไรที่มากกว่าแค่การตอบคำถามตามสคริปต์ แต่แสดงให้เห็นจริงๆ ว่าการที่เขาย้ายออกจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เข้าสู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มันเป็นไปด้วยความเต็มใจของทุกฝ่ายที่อยากให้ดีลนี้เกิดขึ้น
“เมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้คุยกับ โซลชาร์ มันเป็นการคุยกันเรื่องส่วนตัว แต่ก็เกี่ยวกับฟุตบอลด้วย เขาบอกว่าเขาติดตามผมมานานแล้ว”
“เขาบอกว่าเขารู้แจ่มแจ้งว่าจุดแข็งที่สุดของผมคืออะไร และเขาบอกผมว่าเขาอยากให้ผมอยู่ในกรอบ 16 หลาในการเล่นที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วย”
“เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ และ ดาลี่ย์ บลินด์ ช่วยผมในการตัดสินใจครั้งนี้ด้วยเช่นกัน พวกเขาตื่นเต้นมากเกี่ยวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"
“พวกเขาบอกว่านี่ไม่ใช่แค่สโมสรที่ใหญ่โต แต่เป็นสโมสรที่อบอุ่นมากด้วย และนี่คือประสบการณ์ที่ผมสัมผัสได้กับสโมสรตั้งแต่ตอนนี้ ผมตื่นเต้นจริงๆ ที่ได้มาที่นี่”
หากไม่นับ เมมฟิส เดอปาย ที่ไม่สามารถแจ้งเกิดในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ ถือว่านักเตะที่เคยมีดีกรีติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดใหญ่ มักประสบความสำเร็จในการเล่นให้ผีแดงแทบทั้งหมด
จากทัศนคติที่ ฟาน เดอ เบค แสดงออกมาผ่านการให้สัมภาษณ์เมื่อคืนนี้ มันเต็มไปด้วยแง่บวก ว่าเขาสามารถเจริญรอยตามอดีตตำนานอย่าง ยาป สตัม, รุด ฟาน นิสเตลรอย, เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ได้ไม่ยาก
“ผมจะเริ่มต้นจากศูนย์อีกครั้งที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
“มันดูเหมือนเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ผมชอบนะ ถ้าคุณออกสตาร์ทด้วยการลงบันได คุณสามารถเริ่มต้นที่จะปีนมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้”
“ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับผมแล้วที่จะได้เห็นว่าผมไปได้ไกลแค่ไหน และผมมองสิ่งนี้เป็นความท้าทาย”
“ในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาลที่ผ่านมา ผมเริ่มมีความอยากลองที่จะไปเล่นในประเทศอื่นอย่างแท้จริง ผมโหยหาสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อนร่วมทีมใหม่ และการแข่งขันใหม่ๆ”
“แต่ผมไม่ต้องการเป็นคนที่อ่อนปวกเปียกกว่าเดิมที่อาแจ็กซ์ เพราะผมอยากบอกลาสโมสรแห่งนี้อย่างมีสไตล์”
“ระดับที่เราเคยไปถึงในฐานะทีมตอนที่แข่งกับ เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส และ ท็อตแน่ม และบางครั้งมันก็สูงกว่านั้น เป็นสิ่งจำเป็นถ้าหากคุณต้องการเล่นในพรีเมียร์ลีก และอยากจะเป็นตัวจริงที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
“ด้วยทีมที่หนุ่มและยอดเยี่ยม ซึ่งผมคิดว่าผมจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี ผมหวังว่าจะพา ยูไนเต็ด กลับไปสู่ระดับท็อป และนำเกียรติยศและถ้วยรางวัลมาให้พวกเขา”
ย้อนไปเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน ชื่อของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค คือหนึ่งในผู้เล่นอนาคตไกลของ อาแจ็กซ์ ที่ถูกคาดหมายว่าจะไปสร้างชื่อกระหึ่มในการเล่นที่ลีกใหญ่ๆ ของยุโรปได้แน่
นอกจากห้องเครื่องดาวเด่นอย่าง เฟรงกี้ เดอ ยอง และเซนเตอร์แบ็กวันเดอร์คิดกัปตันทีมอย่าง มัทไธส์ เดอ ลิกท์ ก็มี ฟาน เดอ เบค นี่แหละ ที่ถูกยกให้เป็นเพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลดัตช์ในรุ่นๆ เดียวกัน
ซีซั่น 2018-19 อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม หยุดช่วงเวลาที่ร้างแชมป์นาน 5 ปี กวาดดับเบิ้ลแชมป์ในแดนกังหันลมทั้ง เอเรดิวิชี่ และ เคเอ็นวีบี คัพ โดย ฟาน เดอ เบค โชว์ผลงานยิง 9 แอสซิสต์ 10 ในเกมลีก
และอย่างที่ทุกคนจำกันได้ดี นั่นคือพวกเขาเกือบผ่านเข้ารอบชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก…
บนเส้นทางมหัศจรรย์ในทัวร์นาเมนต์ที่มาตรฐานสูงที่สุดของยุโรป ฟาน เดอ เบค ช่วยให้ทีมผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยสถิติไร้พ่าย แม้ต้องเจอกับคู่แข่งสุดแกร่งอย่าง บาเยิร์น มิวนิค และ เบนฟิก้า
เขาโชว์ฟอร์มโดดเด่นในตำแหน่งจอมทัพ นัดที่พา อาแจ็กซ์ บุกยำใหญ่ เรอัล มาดริด 4-1 ถึง ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เขาคือคนซัดประตูสำคัญในเกมเลกสองที่บุกเยือน ยูเวนตุส ก่อนที่ อาแจ็กซ์ จะบุกตบทีมม้าลายร่วงคาตูรินด้วยสกอร์ 2-1 และผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 3-2
เขายังเป็นคนยิงประตูโทนให้อดีตต้นสังกัดบุกชนะทีมไก่เดือยทอง 1-0 ถึง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม แต่น่าเสียดายที่ความไม่นิ่งพอในการเล่นเกมชี้ชะตาที่บ้านตัวเอง ทำให้โดนทีเด็ด ลูคัส มูร่า ซัดแฮตทริกจนดับฝันเข้าชิงไป
อย่างไรก็ตาม ฟอร์มของมิดฟิลด์ที่ถูกยกย่องว่ามีสไตล์การเล่นคล้ายกับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในวัยหนุ่ม ไปเข้าตาสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปตั้งแต่ช่วงระหว่างซีซั่น 2018-19 เรียบร้อยแล้ว
.
ดิ แอธเลติก สื่อเจ้าดังของสหรัฐอเมริกา ที่มักนำเสนอประเด็นในวงการกีฬาแบบเจาะลึกสุดๆ เผยว่า ในช่วงระยะเวลา 3 วันตอนที่ อาแจ็กซ์ เดินทางไปที่กรุงลอนดอนเพื่อบู๊กับ สเปอร์ส ในรอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เลกแรกเมื่อช่วงสิ้นเดือนเมษายน 2019 ตัวแทนของ ฟาน เดอ เบค ได้เริ่มคุยกับหลายๆ สโมสรของอังกฤษแล้ว
คนที่ได้โอกาสพูดคุยกับเอเยนต์ของนักเตะประกอบด้วย ราอูล ซานเยอี อดีตหัวหน้าผู้บริหารฝ่ายฟุตบอลของอาร์เซน่อล
มาริโอ อูซิยอส อดีตผู้อำนวยการฟุตบอลของเวสต์แฮม
รวมถึง สตีฟ ฮิทเช่น หัวหน้าแมวมองของ สเปอร์ส ซึ่งเป็นคู่แข่งใน UCL โดยตรงของอาแจ็กซ์ในตอนนั้น
ทางด้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมที่ 4 ที่เข้าไปคุย (ทีมปีศาจแดงมีออฟฟิศสโมสรตั้งอยู่ที่ลอนดอนด้วย) โดยส่ง แม็ตต์ จัดจ์ ซึ่งมีตำแหน่งในสโมสรอย่างเป็นทางการว่า “หัวหน้าฝ่ายพัฒนาองค์กร” เข้าไปเจรจา
ถึงแม้ จัดจ์ มักจะปิดดีลคว้านักเตะใหม่ได้ล่าช้า แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มีศิลปะในการตะล่อมผู้เล่นฝีเท้าดีเข้าสู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เลย
การเจรจาเบื้องต้นระหว่าง จัดจ์ กับตัวแทนของ ฟาน เดอ เบค ในช่วงราวๆ 16 เดือนก่อน ไม่ใช่การทำทุกอย่างเพื่อจะให้สโมสรเป็นผู้ชนะในศึกชิงตัวมิดฟิลด์ดาวรุ่งโดยทันที แต่เป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับตัวแทนของนักเตะเอาไว้
อีกคนที่มีส่วนช่วยให้ทีมปีศาจแดงรักษาโอกาสเข้าไปพูดคุยกับ ฟาน เดอ เบค ได้ง่ายขึ้นก็คือ รอย บูเคนคัมป์ แมวมองของสโมสรที่ประจำการอยู่ที่ฮอลแลนด์
ดิ แอธเลติก เผยว่าทันทีที่ อาแจ็กซ์ ตกรอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก สโมสรแรกที่ยื่นข้อเสนอเข้าไปทาบทาม ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค อย่างเป็นทางการ คือทีมจากบุนเดสลีกาที่นิยมการเขมือบดาวรุ่งอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
อย่างไรก็ตาม ทีมเสือเหลืองไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องค่าตัวกับทางทีมแชมป์ลีกดัตช์ได้ เพราะในตอนนั้น มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ผู้อำนวยการฟุตบอลของอาแจ็กซ์ ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่ปล่อย ฟาน เดอ เบค ออกไปด้วยราคาถูกๆ
สโมสรเพิ่งตกลงปล่อย เฟรงกี้ เดอ ยอง ให้ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 75 ล้านยูโรไปก่อนแล้ว ขณะที่ มัทไธส์ เดอ ลิกท์ ก็จะมีค่าตัวไม่น้อยไปกว่ากัน
ยิ่งไปกว่านั้น นักเตะคนอื่นๆ อย่าง ฮาคิม ซิเย็ค, อองเดร โอนาน่า, นิโกลัส ตายาฟิโก้ และ ดาวิด เนเรส ก็ทำผลงานดีจนมีมูลค่าสูงขึ้นมากในตลาด
เพราะฉะนั้น ฟาน เดอ เบค จึงถูกตั้งค่าตัวไว้ไม่ใช่น้อยๆ ในช่วงซัมเมอร์ 2019
ดอร์ทมุนด์ไม่เคยจ่ายเงินซื้อใครในระดับ 45-50 ล้านยูโรมาก่อน จึงไม่คิดสู้ราคาแน่นอน ก่อนหันไปดีลนักเตะจากทีมในบุนเดสลีกาอย่าง ยูเลี่ยน บรันด์ท และ ธอร์กกาน อาซาร์ แทนดีกว่า
หลังจากเสือเหลืองถอยทัพในการเจรจา ทีมที่โผล่เข้ามายื่นข้อเสนอที่เป็นรูปเป็นร่างมากที่สุดคือ เรอัล มาดริด
ทีมราชันชุดขาวพร้อมทุ่มข้อเสนอเพื่อ ฟาน เดอ เบค ที่รวมออปชั่นเสริมทุกอย่าง สามารถพุ่งสูงขึ้นไปถึงระดับ 50 ล้านปอนด์ และนั่นคือราคาที่ อาแจ็กซ์ จ่อจะปล่อยตัวให้อยู่รอมร่อแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงซัมเมอร์ 2019 เรอัล มาดริด ทุ่มเงินมหาศาลไปไม่น้อยกว่า 300 ล้านยูโร ในการเสริมทัพด้วย เอแด็น อาซาร์, ลูก้า โยวิช, แฟร์กล็องด์ เมนดี้, เอแดร์ มิลิเตา และ โรดรีโก้ โกเอส
พวกเขาจะต้องทำผิดกฎ ไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ แน่ ถ้าหากทุ่มหนักคว้า ฟาน เดอ เบค เข้าไปอีกโดยไม่สามารถกำจัดนักเตะค่าเหนื่อยแพงๆ ทิ้ง หรือไม่สามารถขายใครออกจากทีมได้ในราคาที่มากพอ
นักเตะที่สมควรปล่อยออกไปมากที่สุดอย่าง แกเร็ธ เบล ก็ดันอยู่ต่อ จากการที่สโมสรไม่ยินยอมปล่อยให้ย้ายไปเล่นที่ลีกจีนแบบไม่มีค่าตัว ขณะที่กองกลางส่วนเกินอย่าง ฮาเมส โรดริเกซ ก็ดันถูกกั๊กไว้กับทีมด้วยอีกคน จากการที่ มาร์โก อเซนซีโอ เกิดเจ็บหนักกะทันหันในช่วงปรีซีซั่น
สุดท้าย ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ต้องเล่นในลีกบ้านเกิดต่ออีก 1 ฤดูกาล แล้วค่อยหาความเป็นไปได้ที่จะย้ายไป เบร์นาเบว หลังจบฤดูกาล 2019-20 แทน
ในเดือนมกราคม 2020 มีรายงานว่า เรอัล มาดริด บรรลุข้อตกลงที่จะคว้าตัว ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ไปเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ ด้วยดีลมูลค่าราวๆ 50 ล้านปอนด์เท่าเดิม
ข้อเสนอดังกล่าวไม่ถูกปฏิเสธจากอาแจ็กซ์ ขณะที่ทีมราชันชุดขาวก็ตกลงทำสัญญากับ ฟาน เดอ เบค เรียบร้อยแล้ว
มันเหลือแค่ขั้นตอนสุดท้ายอย่างการตรวจร่างกายในช่วงซัมเมอร์เท่านั้น ฟาน เดอ เบค ก็จะได้ย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด โดยสมบูรณ์
แต่จู่ๆ กลางเดือนมีนาคม 2020 วิกฤติที่ไม่มีใครคาดคิดอย่างโควิด-19 ก็มาเยือนโลกมนุษย์ซะอย่างนั้น
เรอัล มาดริด ตัดสินใจล้มดีลที่เดินหน้าไปแล้วไม่น้อยกว่า 90% นี้ทิ้ง แล้วประหยัดงบด้วยการหันไปดึงตัว มาร์ติน โอเดการ์ด กองกลางดาวรุ่งทีมชาตินอร์เวย์ ที่ทำผลงานโดดเด่นในการไปเล่นแบบยืมตัวกับ เรอัล โซเซียดัด กลับไปใช้งานแทน
หลังการถอยทัพของทีมแชมป์ ลา ลีกา สเปน สโมสรที่ตกเป็นข่าวให้ความสนใจจึงเหลือเพียงแค่ อาร์เซน่อล, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, ยูเวนตุส, บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
2 ทีมแรกไม่สามารถทำอันดับในพรีเมียร์ลีกให้ดีพอไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จึงไม่ใช่สโมสรที่จะมีศักยภาพสูงพอที่จะดึงดูด ฟาน เดอ เบค ออกจากถิ่น โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า ได้สักเท่าไร
ทีมม้าลายไม่ได้จริงจังอะไรกับการทาบทามมากนัก เพราะผู้เล่นตำแหน่งกองกลางแทบจะเดินชนกันตายอยู่แล้ว
1
ที่สเปน บาร์ซ่าเต็มไปด้วยปัญหาภายในทีมทุกภาคส่วน ขณะที่ทีมตราหมีของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงเรื่อยๆ
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเข้าสู่เดือนสิงหาคม ทีมที่เหมาะสมที่จะคว้าตัวกองกลางอนาคตไกลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ไปอยู่ด้วยมากที่สุด ก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
.
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนต้นว่า ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ต้องการย้ายออกจาก อาแจ็กซ์ ไปค้าแข้งในต่างประเทศตั้งแต่ปี 2019 แล้ว
แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ ทำให้เขาไม่ได้ย้ายทีมในปีเดียวกับที่ เฟรงกี้ เดอ ยอง กับ มัทไธส์ เดอ ลิกท์ ออกไปผจญภัยกับที่อื่น
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งซีอีโอของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เผยว่า เขามีสัญญาใจกับ ฟาน เดอ เบค เอาไว้ตั้งแต่ปี 2019 ว่าขอให้นักเตะอยู่ช่วยทีมต่ออีกปี แล้วพอถึงปีนี้ เขาจะพร้อมปล่อยตัวออกจากทีม หากได้รับข้อเสนอที่เหมาะสม
ในเดือนพฤษภาคม 2020 ฟาน เดอร์ ซาร์ ให้สัมภาษณ์ว่า “เมื่อปีก่อนเรามีสัญญาปากเปล่ากับ โอนาน่า, ตายาฟิโก้ และ ฟาน เดอ เบค เอาไว้ว่าให้อยู่กับทีมต่ออีก 1 ซีซั่น จากนั้นเราจะมาดูเรื่องการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเส้นทางอาชีพของพวกเขาต่อไป”
ฟาน เดอร์ ซาร์ เคยเป็นตำนานนายทวารของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาก่อน แน่นอนว่าถ้าเลือกได้ ทีมที่เขาอยากให้ ฟาน เดอ เบค ไปอยู่ด้วยมากที่สุด ก็ต้องเป็นทีมเก่าของเขา
อีกทั้งการที่วิกฤติโควิด-19 เล่นงานเศรษฐกิจทั่วโลก และทำให้ฟุตบอลเอเรดิวิชี่ฤดูกาลที่ผ่านมาแข่งกันไม่จบ ทำให้ อาแจ็กซ์ จำเป็นต้องลดค่าตัวที่เคยเรียกร้องลงมา
นี่คือข้อแตกต่างชัดเจนกับเคสของ เจดอน ซานโช่ ที่ ดอร์ทมุนด์ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องลดราคาให้ลงมาเป็นตัวเลขที่พวกเขาไม่ได้พึงพอใจ แถมตัว ซานโช่ ก็ไม่ได้มีความกระหายที่จะย้ายออกจากต้นสังกัดมากเท่า ฟาน เดอ เบค ด้วย
ด้วยเหตุนี้ข้อเสนอจาก แมนฯ ยูไนเต็ด มูลค่า 35 ล้านปอนด์ บวกกับออปชั่นเสริมอีก 5 ล้านปอนด์ จึงกลายเป็นค่าตัวที่ อาแจ็กซ์ พึงพอใจ และยินยอมปล่อยให้นักเตะไปล่าฝันบนเกาะอังกฤษแต่โดยดี
หลายคนอาจจะคิดว่าจุดอ่อนที่ทีมปีศาจแดงจำเป็นต้องเสริมไม่ใช่แผงมิดฟิลด์ เพราะการมี บรูโน่ แฟร์นันเดส เป็นจอมทัพ, มี ปอล ป็อกบา เป็นตัวขับเคลื่อนเกม และมีนักเตะอย่าง เนมานย่า มาติช, เฟร็ด และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เป็นกองกลางตัวรับ ถือเป็นขุมกำลังแดนกลางที่ลงตัวดีอยู่แล้ว
ต้องไม่ลืมอีกว่าจนถึงป่านนี้ ก็ยังไม่เห็นทีมไหนมีความตั้งใจจริงที่จะดึงนักเตะอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด กับ อันเดรียส เปเรยร่า ออกไปจากถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ให้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ฟาน เดอ เบค มีสิ่งที่โดดเด่นกว่ากองกลางทุกคนของทีมปีศาจแดงชุดนี้ ในเรื่องของการสอดเข้าไปหาพื้นที่การทำประตูในกรอบเขตโทษ
หากไม่นับประตูจากลูกจุดโทษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประตูจากผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางเพียง 48 ประตู จากการแข่งขันนับรวมทุกรายการตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา
25% จากจำนวนนั้น (12 ประตู) ที่เป็นทีเด็ดลูกกลางอากาศของ มารูยาน เฟลไลนี่ (7 ลูก) และการเติมขึ้นไปยิงของ อันเดร์ เอร์เรร่า (5 ประตู) หายไปแล้ว หลังจากอดีตกองกลางหัวฟูทีมชาติเบลเยียมโยกไปค้าแข้งที่เมืองจีนกับ ซานตง หลู่เหนิง และมิดฟิลด์ชาวสแปนิชย้ายไป เปแอสเช แบบไร้ค่าตัว
เจสซี่ ลินการ์ด ที่ยิงรวมทุกถ้วยไป 22 ลูกในรอบ 3 ซีซั่นหลังสุด ก็คงไม่ใช่ผู้เล่นที่บรรดา เร้ด อาร์มี่ รวมไปถึงตัว โซลชาร์ เอง จะไว้ใจในศักยภาพมากอีกต่อไป
ปอล ป็อกบา น่าจะอันตรายจากการลองส่องไกลมากกว่าจะเติมเข้าไปในกรอบ 18 หลา ขณะที่ตัวความหวังอย่าง บรูโน่ แฟร์นันเดส ก็แบกทีมจนหลังจะหักอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นการมีกองกลางเข้ามาช่วยเติมขึ้นไปลุ้นจากแถวสอง น่าจะทำให้เกมรุกผีแดงมีทีเด็ดมากขึ้น หลังจากช่วงท้ายซีซั่นที่ผ่านมา เอาแต่พึ่งพานักเตะหน้าเดิมๆ อยู่ทุกนัด
และผมเคยเขียนบทความเน้นย้ำมาแล้วหลายครั้ง ว่าทีมฟุตบอลที่พร้อมแข่งขันในเกมระดับสูงไปตลอดทั้งฤดูกาล มันไม่มีทางใช้ 11 ตัวจริงชุดเดิมลงพร้อมกันเหมือนเดิมได้ทุกนัด
ยิ่งถ้าคุณอยากลุ้นแชมป์รายการอื่นด้วย มันต้องมีทีมที่พร้อมปรับระบบการเล่นได้หลากหลาย และมีนักเตะที่ดีพอให้ตัวหลักได้ถนอมร่างกายบ้าง
สถิติที่น่าทึ่งก็คือนับตั้งแต่ฤดูกาล 2017-18 เป็นต้นมา ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ยิงรวมทุกรายการไปถึง 40 ประตู ทำแอสซิสต์อีก 28 ลูก จากการลงสนาม 133 นัด โดยไม่มีประตูไหนมาจากจุดโทษแม้แต่ลูกเดียว
จากทั้งหมด 40 เม็ดที่ซัดได้ในรอบ 3 ซีซั่นที่ผ่านมา มีถึง 38 ลูกที่เขาสอดเข้าไปทำประตูในกรอบเขตโทษ
ถ้าหาก “เดอะแบก” อย่าง บรูโน่ ติดโทษแบน, มีอาการบาดเจ็บ, ฟอร์มตก หรือสมควรได้พัก ถือว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว ว่าใครจะทำหน้าที่นักเตะตำแหน่งหมายเลข 10 แทน
แต่นอกจากการเป็นกองกลางตัวรุกที่อันตราย ฟาน เดอ เบค ยังสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งที่เป็นมิดฟิลด์ตัวกลางอีกด้วย
ฤดูกาลที่ผ่านมา เขามักประจำการเป็นกองกลางตัวบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ภายใต้ระบบ 4-2-3-1 จากการที่ เฟรงกี้ เดอ ยอง ย้ายออกไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า
ฟาน เดอ เบค ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากเซ็นสัญญาเป็นนักเตะใหม่ปีศาจแดง โดยให้นิยามสไตล์การเล่นของตัวเองว่าเป็นผู้เล่นที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ทีมได้ประตู
“ผมคือกองกลางที่ชอบเข้าไปในกรอบเขตโทษ ชอบวิ่งทำทาง, ยิงประตู และแอสซิสต์”
“หลายครั้งมากที่ผมวิ่งเป็นระยะทางมหาศาลในแต่ละเกม นี่คืออีกสิ่งที่เป็นจุดแข็งสำหรับผม นั่นคือการวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษคู่แข่ง”
หากคำพูดของเขาเป็นความจริง สิ่งที่เราน่าจะได้เห็นมากขึ้นแน่ๆ ในฤดูกาลที่จะมาถึงของ แมนฯ ยูฯ ก็คือจำนวนผู้เล่นที่สอดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ในสถานการณ์ที่ผีแดงต้องการประตู
อีกทั้งบรรดา เร้ด อาร์มี่ น่าจะคาดหวังได้ถึงการเดินเกมที่เร็วขึ้น จากการมีมิดฟิลด์ที่ขยันวิ่งขึ้นหน้ายิ่งกว่าทุกคนที่ทีมมีอยู่
การเลือกสวมเสื้อหมายเลข 34 เพื่อเป็นเกียรติให้กับอดีตเพื่อนร่วมทีมอาแจ็กซ์อย่าง อับเดลฮัค นูริ ที่ต้องแขวนสตั๊ดก่อนวัยอันควรด้วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถือเป็นเบอร์เสื้อที่แฟนผีแดงไม่ค่อยคุ้นตาสักเท่าไร
คือก่อนหน้านี้ อดีตนักเตะอาแจ็กซ์ที่ย้ายทีม ก็มักเลือกสวมเสื้อเบอร์ 34 ในการเล่นให้ต้นสังกัดใหม่อยู่หลายคน
ไม่ว่าจะเป็น อามิน ยูเนส ที่ซบนาโปลีตั้งแต่ 2 ปีก่อน, จัสติน ไคลเวิร์ต (โรม่า ฤดูกาล 2018-19) และ โยเอล เฟลท์มัน ที่เพิ่งย้ายไปอยู่กับ ไบรท์ตัน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
นักเตะคนสุดท้ายที่สวมเสื้อเบอร์ 34 ลงสนามให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการก็คือ ทอม ลอว์เรนซ์ อดีตปีกดาวรุ่งที่ได้โอกาสจาก ไรอัน กิ๊กส์ ส่งลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีกนัดพบกับ ฮัลล์ ซิตี้ เมื่อ 6 ปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ด้วยวัยเพียง 23 ปี และเซ็นสัญญายาวกับผีแดงนาน 5 ปี พร้อมปีออปชั่นต่อเพิ่มอีกปีในอนาคต ถือว่าเขามีเวลาและโอกาสอีกมาก ที่จะทำให้ตัวเขาเองกลายเป็นสัญลักษณ์ของเบอร์ 34 ในโรงละครแห่งความฝัน
หรือไม่แน่ว่าหลังจากนั้น เขาอาจยึดเสื้อเบอร์ 8 ต่อจาก ฆวน มาต้า และกลายเป็นกองกลางตัวหลักของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปยาวๆ ก็เป็นได้
.
แน่นอนว่าทุกครั้งที่สโมสรไหนได้ตัวนักเตะใหม่ แฟนบอลย่อมรู้สึกดีใจ และยินดีต้อนรับนักเตะคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
แต่การคว้าตัว ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันคือสัญญาณที่ดีจริงๆ ว่าทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ในซีซั่นหน้า มันมีแนวโน้มที่จะต้องดีขึ้น
#เสียบสามเหลี่ยม #DonnyvandeBeek #vandeBeek #Solskjaer #MUFC #ManUnited #GGMU #Ajax #Netherlands #PremierLeague #TransferNews
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา