4 ก.ย. 2020 เวลา 03:00 • ท่องเที่ยว
ดอยผ้าห่มปก
เรื่องราวมันต่อเนื่องจากทริปก่อน ที่กลุ่มเราได้ไปพิชิตยอดดอยอ่างขางกัน ตอนที่ขึ้นไปถึงยอดดอยอ่างขาง จะมองเห็นดอยผ้าห่มปกอยู่ลิบๆ (อยู่ในเขตอุทยานเดียวกัน) เจ้าโยหรือเจ้าเนสนี่แหละ ก็พูดขึ้นมาว่าทริปหน้าเอาเป็นผ้าห่มปกมั้ย ก่อนที่อุทยานจะปิดให้ป่าฟื้นตัว ช่วงหน้าฝน
หลังจากคุยกันเสร็จ ก็จัดแจงนัดวันเวลากัน
ถึงวันเดินทาง เราวางแผนออกเดินทางกันประมาณช่วงหลังเที่ยง แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดให้ต้องได้เสียเหงื่อกัน ไม่งั้นทริปไม่สนุก คือรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเจ้าโย ดันสตาร์ทไม่ติดซะงั้น กว่าจะแก้ไขได้ได้ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสาม
เริ่มทริปกันด้วยการโชว์สกิลช่าง
ลุยเอง ไม่ใช้สตั๊นแมน เหงื่อเป็นเหงื่อ
บรรยากาศข้างทาง
มุมนี้สวยจริงๆ
เดอะแก๊ง
เราเดินทางกันถึงก่อนมืดพอดี ติดต่อ บอกกล่าวเจ้าหน้าที่เสร็จ ก็จัดแจงกางเต๊นท์เตรียมทำอาหารกันที่ลานกางเต๊นท์กิ่วลม ซึ่งเป็นลานกางเต๊นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย บรรยากาศจุดกางเต๊นท์ดีมาก ร่มรื่น มีทั้งลานกว้าง และลานสน วันนี้เราเป็นกลุ่มเดียวที่มากัน เที่ยวหน้าฝนมันดีอย่างนี้แหละ ไม่วุ่นวาย
จุดที่เราจะนอนคืนนี้
มื้อค่ำของเรา ไม่พลาด หมูกะทะเหมือนเดิม มีเมนูแถม ไก่กระบอก และปลากระบอก ที่อู๋มันลงทุนตัดไม้ไผ่แบกมาจากบ้านเพื่องานนี้โดยเฉพาะ รังสรรค์เมนูโดยเชฟโย
อุตสาห์ฟันไม้ไผ่แบกมาจากบ้าน เพื่องานนี้
อากาศเย็นๆ นั่งทำมิวสิค
ยังพอมีช่วงฟ้าใสให้เห็นช้างบ้าง
หลังจากเสวนากันพอสมควร ก็แยกย้ายกันเข้านอน นัดกันเดินขึ้นยอดดอยตอนตีห้า ถ้าใครจะเดินขึ้นแนะนำเตรียมไฟฉายให้พร้อมนะครับ ไม่ว่าจะเดินขึ้นตอนเช้า หรือตอนเย็น เจอมืดแน่นอน ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร
ดึกๆ ประมาณตีสี่ เริ่มมีฝนปรอยลงมา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการพิชิตยอดดอยของเรา
ตีห้า กลุ่มอู๋ โย และเก่ง เดินล่วงหน้าขึ้นไปก่อน ส่วนผมกับเจ้าเนสขึ้นช้ากว่าประมาณชั่วโมงนึง เนื่องจากเมื่อคืนนั่งเสวนา แบ่งปันประสบการณ์กับเจ้าหน้าที่จนดึก
เช้าแล้ว เริ่มออกเดินทาง
ยังไหว
สภาพทางเดินเป็นป่ารก แต่ก็มีทางคนเดินให้เห็น อุดมไปด้วยหญ้าหนาม และลูกหมากก่อ (เกาลัดไทย) ที่มีหนามหุ้มเรี่ยรายอยู่เต็มพื้น ใครไม่เตรียมรองเท้ามาดีๆ ก็ต้องได้แผลกันบ้างล่ะ
หมากก่อ
เจ้าหน้าที่บอกมาว่า ทางแยกมีเยอะ ให้เดินตรงอย่างเดียว ห้ามแวะแยกไหนเด็ดขาด ไม่งั้นจะหลงเข้าป่าลึก หรือโผล่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถ้าถึงม่อนวัดใจแล้ว หลังจากนั้นจะเดินไปทางไหนก็ได้ เพราะจะไปโผล่ที่จุดเดียวกัน
ต้นไม้ใส่เสื้อ
แต่คนถอดเสื้อแล้ว
ผมกับเจ้าเนสเดินไปได้ซักพัก ฟ้าก็เริ่มสว่าง พร้อมกับมีฝนปรอยๆลงมาอีก ดีที่พกผ้ากันฝนมาด้วย ไม่งั้นหัวชุ่มแน่ อ้อน้ำดื่มก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมพกมาด้วยล่ะ
ระหว่างทาง หมอกเริ่มหนา มองแทบไม่เห็นทางอะไร บนพื้นก็มีกองขี้วัวสดๆใหม่ๆอยู่เป็นระยะๆ น่าจะเป็นวัวแดง หรือกระทิง ทางมีทั้งขึ้นเขา ลงเขา จากนั้นก็ขึ้นอีก บางทีการเดินกลางป่านานๆ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหลงรึเปล่า
ฝนเริ่มมา หมอกเริ่มหนา แทบไม่เห็นทาง
พอเดินไปอีกซักพัก ก็เห็นรอยเท้าใครบางคนเหยียบขี้วัวที่ยังอุ่นๆ มีไอกรุ่นออกมา ก็โล่งใจว่ามาถูกทางแล้ว
พวกแก๊งสามหน่อ ไปถึงยอดแล้ว
พอใกล้ถึงยอด ฝนเริ่มตกหนัก ก็พบสามหน่อ ที่ออกเดินทางล่วงหน้ามาก่อน เดินลงจากยอดมา บอกว่าฝนตกหนัก มองไม่เห็นอะไรแล้ว จึงพากันนั่งพัก เติมพลังด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พกมาด้วย ก่อนจะเดินทางกลับจุดกางเต๊นท์
พากันเดินกลับ ขาตั้งกล้องกลายเป็นไม้เท้า
เละ!!! สังเกตรองเท้าข้างขวา พื้นหายไปแล้ว
สรุปทริปนี้ ผมกับเจ้าเนสภารกิจล้มเหลว ไม่ได้สัมผัสทะเลหมอกที่ยอดผ้าห่มปก ต้องกลับมาแก้มืออีกครั้งแน่นอน
พบกันใหม่ทริปหน้าครับ
โฆษณา