4 ก.ย. 2020 เวลา 23:00 • ธุรกิจ
เพื่อนๆคิดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า เทรนด์การ Shopping จะเป็นอย่างไรบ้าง ?
มีอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการควรเริ่มมองเห็นโอกาสได้บ้างแล้วในตอนนี้ ?
คือวันนี้เราไปเดินห้างมา(จริงๆก็ไปเดินทุกอาทิตย์นะแหละ) เราว่าเทรนด์ของผู้คนก็เริ่มที่จะออกมาช้อปในร้านค้ากันค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ก็เชื่อว่าส่วนนึงคงออกมาแค่เดินชมวิวกันซะมากกว่า ไม่ก็รอดูหนังแน่ๆเลย แล้วคงเก็บไว้ช้อปออนไลน์กัน
งั้นในบทความนี้ เราขอมาย่อยเกี่ยวกับเทรนด์การ Shopping ของเหล่าผู้บริโภคหรือลูกค้าภายใน 5 ปีข้างหน้า มาดูสิว่ามีอะไรบ้างที่เพื่อนๆพอมองเห็นเหมือนเรากันไหมเอ่ย ?
ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภคอย่างพวกเรา ทำให้เกิดการปรับตัวของผู็ขายสินค้าอย่างมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการเปิดรับเทคโนโลยี เราขอเขียนในเรื่องของความต้องการออกเป็น 3 แบบนะ คือ ผลิตภัณฑ์ การบริการ และ อาหาร
ความต้องการทางผลิตภัณฑ์
- สั่งง่าย ซื้อง่าย และจ่ายเงินสะดวกภายใน 2-3 Clicks
- ไม่เห็นโฆษณาออนไลน์ หรือ รีวิวออนไลน์ ก็จะไม่ซื้อ
- จัดส่งฟรี
- นโยบายการคืนเงิน และคืนสินค้า หากคุณไม่เป็นตามที่โฆษณา
ความต้องการทางบริการ
- การจองผ่านทางออนไลน์ หรือ แอพ
- นโยบายยกเลิกฟรีก่อนวันเข้าใช้บริการ 1 วัน (โดยมากจะเป็นธุรกิจโรงแรม)
- การให้ความเป็นส่วนตัวในกาารใช้บริการ (ก็คือเรื่องระยะห่างทางสังคม)
ความต้องการทางอาหาร
- Buffet ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เพียงแต่พวกเค้าต้องการความปลอดภัยในเรื่องของการบริการแบบส่วนตัวมากกว่า
- ฟรีค่าจัดส่งอาหาร (แบบนี้ผู้ขายก็คงจะเจ็บมากๆ)
2
และด้วยความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภคด้วยส่วนใหญ่ ก็จะทำให้พลังการต่อรองของพวกเค้ามากขึ้นด้วยเช่นกัน นั้นหมายความว่า ผู้ขายหรือผู้ให้บริการต่างๆอาจต้องมีการพัฒนาเพื่อรองรับมาตรฐานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
1
และแน่นอนว่า ภายใน 5 ปี หรืออาจจะก่อน เราอาจได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากร้านค้ารอบๆตัวเราก็ได้นะ
ในอีก 5 ปีข้างหน้า ร้านค้าที่เป็นรูปแบบ Physical store อาจจะยังคงมีให้เห็น แต่น้อยลงไปมาก
ต้องถามว่า ถ้า e-commerce ทุกพัฒนาไปมากกว่าในทุกวันนี้ การช้อปออนไลน์กลายเป็ยสิ่งที่สะดวกมากขึ้น คำถามคือ จะมีผู้ขายคนไหนที่อยากจะจ่ายต้นทุนเพิ่มในเรื่องของหน้าร้านกันอีกบ้าง เช่น
- ค่าพื้นที่ให้เช่าภายในห้าง
- ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบำรุงรักษาร้านค้า
- ค่าจ้างพนักงานดูแล
แต่แน่นอนว่า ร้านค้าที่ยังคงต้องมีหน้าร้าน ก็จะเหลือเพียงแค่ (ยกตัวอย่าง)
- แบรนด์ยักษ์ใหญ่ต่างๆ (อย่าง Apple Samsung)
- ส่วนที่ขายของเกี่ยวกับเทคโนโลยีแบบจับต้องได้ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ทีวี หรือลำโพง
- ร้านขายอุปกรณ์การกีฬา รองเท้าต่างๆ
- Showroom รถยนต์
- ร้านอาหารแบบ All you can eat
- พวกร้านนวดต่างๆ อาจจะเปลี่ยนไปในรูปแบบของ นวดตามสถานที่ หรือที่พักอาศัยแทนแล้ว
เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาซื้อออนไลน์กันมากขึ้น
Sales ที่ขายของก็ต้องพัฒนาสกิลของการขายของด้วยน้ำเสียง หรือ Telecommunication มากขึ้น
1
- จากการขายของด้วยวิธีเจอหน้ากัน เราสามารถมีการแลกเปลี่ยนทางอารมณ์และสีหน้าได้เนอะ
- แต่ถ้าขายของออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องมีการอธิบายคุณสมบัติหรือลักษณะการใช้เพิ่มเติม นั้นคือ เพื่อนๆที่เป็น Sales ต้องมีทักษะการเล่าเรื่องให้เห็นภาพเลยนนะ คือเราต้องใช้แค่น้ำเสียงเพื่อทำให้ลูกค้าเกิดจินตนาการตามได้
- ก็เรียกได้เป็นการพัฒนาในรูปแบบของการขายของด้วยเช่นกัน
1
Content ของร้านค้า คือหัวใจหลัก
- เพราะเราอาจจะไม่ได้มีหน้าร้านอยู่แล้วก็เป็นได้
- แล้วอะไรละที่จะทำให้ผู้คนสนใจ หรืออยากซื้อของเรา
- แน่นอนว่าคงไม่พ้น การ design content, websites ก็คือรูปแบบการนำเสนอหน้าบ้านของเราให้ดูน่าสนใจ
- เพื่อนๆอย่าลืมว่า ตอนนี้เราได้มาอยู่ในยุคที่ มือถือ และอินเตอร์เนตเป็น 1 ในปัจจัย 4 ไปซะแล้ว การที่บริษัทผู้ขายพัฒนาเนื้อหาที่เหมาะสมกับ Mobile platform มากขึ้นก็จะเป็นข้อได้เปรียบไปเลยละ
- ความสดใหม่ และความสม่ำเสมอของการอัพ Content ก็จะเป็นสิ่งสำคัญต่อมา
เพื่อนลองจินตนาการว่า เพื่อนๆเข้าไปจะซื้อของเว็ปนึง แต่เว็ปนั้นไม่มีข้อมูลอะไรที่อัพเดทในปี 2020 เลย (นั้นรวมถึงการเอาโพสเก่าๆมาเล่าใหม่ด้วยนะ) เรายังจะเชื่อใจและอยากซื้ออยู่ไหมนะ ?
เราอาจจะได้เห็น การรับสินค้าในรูปแบบของ Click & Collect (ที่ไม่เอาเปรียบผู้ขาย) มากขึ้น
- ก็ต้องบอกว่าการที่ลูกค้าได้ Free delivery เพียงฝ่ายเดียวนั้นอาจะเป็นการเอาเปรียบผู้ขายมากไปหน่อย
- เราอาจจะได้เห็นการเติบโตของธุรกิจประเภท Wholesaler Retailer ที่มากขึ้น (ก็คือเหมือนแบบ ขายของหลายประเภท และจำนวนที่เยอะ) โดยที่ลูกค้าสามารถมารับของได้ด้วยตัวเองหลังจากการสั่งนั้นๆเลย
- หรือเราอาจจะได้เห็นการปรับรูปแบบของการใช้ พื้นที่ส่วนกลางอย่าง Warehouse กันมากขึ้น อารมณ์ว่าลูกค้าทำการสั่งสินค้าหลายอย่าง จากหลายผู้ขาย แต่พวกเค้าสามารถขับรถไปยังคลังสินค้า 1 ที่ เพื่อรับสินค้าทั้งหมดก็เป็นได้
อีกไม่ถึง 5 ปีข้างหน้า คำว่า E-payment, M-payment หรือ Cashless อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นอันดับ 1
- คือเราไม่ได้หมายความว่า โลกนี้ไม่ต้องการเงินในรูปแบบของ ธนบัตร นะ
- แต่เราหมายความว่า การชำระเงินแบบออนไลน์ตะหากละ และผู้คนไม่ต้องการพกเงินสดไปไหนมาไหน พวกเค้าต้องการเพียงแค่ มือถือ 1 เครื่อง ที่ทั้งเอาไว้เล่นแก้เบื่อ กด GPS หาสถานที่ รวมถึงชำระเงิน
- ฟังดูเหมือนตลกร้าย แต่เอาเข้าจริงๆ ปัจจุบันนี่เราก็ใช้การชำระผ่านช่องทางออนไลน์ไปก็เยอะนะ
Augmented reality (AR) คงจะเป็น 1 ใน content ที่ลูกค้าต้องการที่จะเห็น
- ก็คือมันไม่ใช่แค่ Virtual reality แล้วละที่ดูใหม่ แต่ว่าการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงขั้นสุดของ AR
- เอาง่ายๆคือพวกเค้าหยิบกล้องมือถือ หันไปที่กำแพงสีขาวในบ้าน หรือ ในตู้เสื้อผ้าของพวกเค้าเอง ก็จะเห็นสินค้าวางโชว์อยู่ข้างหน้าเลย คือแบบเสมือนจริงน่ะนะ
- อย่างไรก็ดี AR อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ในเรื่องของ การสัมผัส หรือ กลิ่นอยู่ดี ตรงนี้เราก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะมีเทคโนโลยี หรือ นวตกรรมอะไรใหม่ๆมาอีกบ้าง
ระบบการบริหาร Supply Chain ที่เปลี่ยนไปในอีก 5 ปีข้างหน้า
- คือเอาตรงๆ ในปัจจุบันนี้ Supply Chain จะค่อนข้างให้ความสำคัญไปกับ การออกแบบไลน์ผลิตภัณฑ์ และการขนส่งที่ราบรื่น รวมถึงการลดต้นทุน
- และแน่นอนว่าพวกเค้าคงไม่ค่อยได้รู้จักการทีม Marketing สักเท่าไร
- รวมถึงแผนก Marketing เองก็คงมองว่า แผนก Supply chain เนี่ยดูห่างไกล หรือพวกเค้าไม่จำเป็นจะต้องรู้ส่วนนี้มาก
- ก็คือเหมือนแยกกันทำงาน ต่างฝ่ายต่างทำของตัวเองให้เสร็จเป็นพอ
- แต่ในอนาคตอันใกล้ หรือแม้กระทั่งตอนนี้ ฝ่าย Supply chain จำเป็นที่จะต้องศึกษาการทำธุรกิจแบบออนไลน์มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์การลดต้นทุนการผลิตและขนส่ง รวมถึงเทรนด์ของลูกค้า การคำนวนทำนาย demand ในรูปแบบใหม่
- ถ้า 2 แผนกนี้ที่มีความเกี่ยวพันธ์กันน้อย ดันไม่มีการพัฒนาในรูปแบบของ teamwork เราบอกได้เลยว่า บริษัทของเพื่อนๆจะต้องตามหลังคนอื่นๆอย่างแน่นอน
- อย่างบริษัทที่เพื่อนเราทำอยู่นี่ เค้ามีการร่วมมือกันระหว่างแผนกดีนะ อย่าง Consumer goods ทั้งฝ่ายขายและฝ่ายปฏิบัติการ ที่ต้องมีการเรียนรู้เรื่องของระบบ Supply chain ที่มากขึ้น (เพื่อที่จะได้เข้าใจในมุมมองของพวกเค้า และเกิดการร่วมมือกันที่มีประสิทธิภาพ นั้นคือ สื่อสารได้เวลาที่สั้นลง แต่มีความเข้าใจที่ตรงกันและมีคุณภาพ)
จบแล้วจ้า
เอ้ะ กลับมาที่หัวข้อ เพื่อนๆหลายคนอาจมีคำถามเหมือนกับว่าหัวข้อจะพูดเรื่องการ shopping ของฝั่งลูกค้า แต่ทำไมไปๆมาๆ ถึงได้ไปถึงส่วนของผู้ผลิตผู้ขายซะเยอะเลยละ
ก็ต้องขอบอกว่า ถ้ามองในมุมของผู้บริโภค มองแปปเดียวก็พอจะอ่านออกได้แล้ว แต่เราเชื่อว่าเพื่อนๆที่มาอ่านบทความของเรานี้ คงอยากได้มองเห็นมุมมองในการรับมือเพิ่มขึ้นด้วยอย่างแน่นอน เพราะพวกเรานอกจากเป็นลูกค้าแล้ว หลายๆคนก็คงเป็นทั้งคนขายด้วยเนอะ ^^
โฆษณา