5 ก.ย. 2020 เวลา 07:10 • การเมือง
คนจีนในอเมริกากำลังถูกคุกคามอย่างหนัก !!!
เมื่อเช้าระหว่างที่กำลังขับรถออกจากบ้าน มีเวลาอยู่ช่วงหนึ่งได้ฟังสถานีวิทยุของอเมริกาที่ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับประเด็นปัญหาภายในที่กำลังเกิดขึ้น ของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเรื่องคนว่างงาน เศรษฐกิจ ไวรัส COVID-19 และเรื่องนโยบายต่างประเทศ
มีอยู่ตอนหนึ่งนักจัดรายการเขาได้กล่าวถึงสงครามเย็นทางด้านเทคโนโลยี ที่ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงร้อนแรง มีการปราศรัย แถลงข่าว และกล่าวสุนทรพจน์โจมตีกันระหว่างฝั่งอเมริกา และจีนเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่เว้นแต่ละวัน
ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จีนมีต่อสหรัฐอเมริกานั้นย่ำแย่ลงไปอย่างต่อเนื่อง ในประเด็นนี้ทางสถานีเขาก็ได้ติดต่อไปหาคนจีนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา หรือเข้ามาทำงานในอเมริกาเพื่อสอบถามถึงประสบการณ์
ว่าพวกเขาเจออะไรบ้างในช่วงปี 2020 นี้ เป็นต้นว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไรจากเจ้าหน้าที่รัฐ จากคนในชุมชน ดีหรือไม่ดี โดนกลั่นแกล้ง หรือว่าโดนกดดัน จะทำร้ายร่างกายกันบ้างหรือไม่
ซึ่งหลายๆคนที่โทรมาเล่าประสบการณ์ออกอากาศนั้นก็เจอเหมือนๆกัน คือโดนกลั่นแกล้ง โดนล้อเลียน โดน ฺBully จริงๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันถึงเรื่องมาตรการภายในสนามบินที่เข้มงวดขึ้นในช่วงหลังๆนี้
คนจีนหลายคน หรือแม้แต่คนที่มีพื้นเพมาจากจีน แต่ไม่ได้จะบินออกไปจีน เวลาเดินทางไปที่สนามบินก็จะโดนเพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่ ต.ม. และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสนามบินของสหรัฐอเมริกาเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะกับคนที่ซื้อตั๋วจะบินไปต่างประเทศ อย่างประเทศจีน หรือบางประเทศในแถบเอเชีย เจ้าหน้าที่ ต.ม. มีการเรียกคนเข้าไปสัมภาษณ์ และขอค้นร่างกาย สัมภาระกันบ่อยครั้งมากขึ้น
คนจีนหลายคนที่โทรมาเล่านั้นบอกคล้ายๆกันว่า พวกเขาโดนเจ้าหน้าที่ของสนามบินพยายามยื้อเวลา และจะสอบสวนพวกเขาให้ได้ โดยในหลายๆเคสที่เจอคือถึงขั้นริบเอาโทรศัพท์มือถือ และเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคไปขอเปิดค้นดูเลยก็มี
เพราะในขณะนี้เจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกานั้นมองว่าคนจีน หรือคนที่มีพื้นเพมาจากจีนมีแนวโน้มที่จะเป็น 'หัวขโมย' ที่จ้องจะเข้ามาโจรกรรมข้อมูลทางเทคโนโลยีและธุรกิจการค้าของอเมริกากลับไปให้ประเทศจีน
ส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคำสั่งของรัฐบาล Donald Trump ที่ได้สั่งการลงมายังกระทรวงการต่างประเทศว่าคนจีนนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาสูง ทำให้กระทรวงการต่างประเทศในช่วงหลังๆมาจึงเพ่งเล็งคนจีนที่สนามบินเป็นพิเศษ
เจ้าหน้าที่ภายในสนามบิน พอเจอนโยบาย และแนวทางปฏิบัติจากข้างบนเป็นอย่างนี้ ก็เลยมีทัศนคติต่อชาวจีนภายในสนามบินที่เปลี่ยนแปลงไป เห็นใครก็คิดว่าเขาจะเป็นสายลับไปหมด (อันนี้คือที่คนจีนโทรมาเล่ากับรายการวิทยุนะ)
เห็นใครก็คิดว่าจะเข้ามาขโมยเทคโนโลยี IT จากสหรัฐอเมริกาออกไปให้รัฐบาลจีนกันหมด ที่ตลกมากคือ เจ้าหน้าที่แต่ละคนมักตั้งสมมติฐานไว้ตลอดว่าคนจีนทุกคนเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ (ทั้งๆที่คนจีนมีประชากรมากกว่า 1,000,000,000 คน สถิติของพรรคฯล่าสุดสมาชิกยังมีจำนวนไม่เกิน 100,000,000 คนเลย ไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ)
และยิ่งใครที่มาอาศัยอยู่ในอเมริกาด้วยวีซ่านักเรียนในช่วงที่ผ่านมานี้ยิ่งถุูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะรัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในสถานะกังวลว่าสายลับของรัฐบาลจีนจะถูกส่งปะปนมากับนักเรียน นักวิชาการที่เข้ามาแลกเปลี่ยนในอเมริกา
โดยทางกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาได้ชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าวนี้เอาไว้ว่าสาเหตุที่คนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตามไปขอโน้ตบุค หรือโทรศัพท์มือถือมาตรวจส่วนใหญ่มีแต่คนที่มีอาชีพ นักเรียน นักวิชาการนั้นเป็นเพราะว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศมีทฤษฎีอยู่ทฤษฎีหนึ่ง
ที่ว่า มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยหลายๆแห่งภายในประเทศจีนนั้นส่วนใหญ่เป็นองค์กร และหน่วยงานที่สังกัดอยู่ภายใต้รัฐบาลจีน และมีผู้บริหารเป็นเจ้าหน้าที่จากพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ทำให้ทางกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกานั้นมีความจำเป็นต้องตั้งสมมติฐานเอาไว้ก่อนว่าเด็กๆ หรือนักวิชาการ นักวิจัยที่เข้ามาทำงาน เรียนหนังสือในอเมริกาอาจมีความเกี่ยวโยง หรือ ทำงานให้กับกองทัพ และหน่วยข่าวกรองจีนเอาไว้ก่อน
มาตรการจึงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ เพราะถ้าสหรัฐอเมริกา หรือกระทรวงการต่างประเทศนั้นปล่อยปละละเลย ผลเสียก็จะตกอยู่ที่อเมริกาเอง การกระทำนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงเอาไว้ว่าพวกเขากำลังทำเพื่อป้องกันตนเองเป็นหลัก
** ในช่วงตอบคำถามมีการอ้างอิงถึงองค์กรที่ชื่อว่า CSC (China Scholarship Council) อันเป็นหน่วยงานใหญ่ที่มีหน้าที่จัดทุนการศึกษา สนับสนุนการศึกษาให้แก่ชาวต่างชาติ และชาวจีนในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาอีกด้วย ว่ามีแนวโน้มความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการสรรหาสายลับ
อนึ่ง องค์กร CSC นี้มีการจัดทุนสนับสนุนให้แก่นักศึกษาจีนทั่วโลกจำนวนกว่า 70,000 คน มีการแจกเงินรายเดือนให้นักเรียนทุนคนละเกือบ 2,000 ดอลลาร์ต่อเดือนทุกๆคน (ประมาณ 60,000 กว่าบาท) ในแง่นี้ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนเองอาจจะอ้างว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องบงการโดยตรง แต่สำหรับฝั่งสหรัฐอเมริกานั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศมองว่าไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
(อันนี้ยังเป็นเพียงแค่ข้อกล่าวหาของทางฝั่งสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐาน หรือข้อบ่งชี้ใดๆที่แน่ชัดอันจะสามารถสนับสนุนคำพูดดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศได้)
โฆษณา