5 ก.ย. 2020 เวลา 11:59 • กีฬา
ปริศนาที่ว่า “คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ ใครเจ๋งกว่ากัน?” แม้มันยังเป็นคำถามโลกแตก แต่สิ่งที่ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสมี แต่ดาวดังทีมชาติอาร์เจนตินาไม่มี ก็คือการประสบความสำเร็จให้เห็น แม้จะเล่นให้ทีมที่แตกต่างกัน
เมสซี่ ยังไม่เคยตอบคำถามของแฟนบอลที่ว่า “ถ้าไม่ได้อยู่บาร์ซ่า จะเจ๋งขนาดนี้ไหม?”
สตาร์ดังทีมชาติอาร์เจนตินา เล่นให้สโมสรที่ดูแลเขามา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กสภาพร่างกายไม่ปกติ จนกลายเป็นนักเตะอันดับหนึ่งของโลก และเป็นผู้เล่นที่รับค่าจ้างจากสโมสรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
ความจงรักภักดีให้สโมสรที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างกับเขาจนถึงทุกวันนี้ มันยิ่งใหญ่กว่าการจะมาเอาชนะคำครหาของแฟนบอล
ตลอดช่วงที่ผ่านมา เมสซี่ ไม่จำเป็นต้องย้ายทีม ก็สมควรได้รับการยกย่องในฐานะผู้เล่น “วันคลับแมน” ระดับเวิลด์คลาส ไม่ต่างกับที่ ไรอัน กิ๊กส์ ได้รับเกียรตินั้นจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ถูกยกให้เป็นราชาแห่ง โรม่า
อย่างไรก็ตาม พอถึงเวลาที่ เมสซี่ ต้องการจะย้ายทีมจริงๆ มันกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะทำได้ เพราะสิ่งที่บาร์ซ่าเคยมอบให้เขามาเป็นระยะเวลานาน รวมถึงมูลค่าฉีกสัญญาเป็นเม็ดเงินมหาศาลถึง 700 ล้านยูโร ทำให้เขาไม่สามารถย้ายไปไหนได้แบบเป็นอิสระ
ไม่รู้ว่าพอถึงช่วงซัมเมอร์ปีหน้า เขาจะยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะย้ายออกหรือไม่ ซึ่งคำถามนี้ เราคงจะได้คำตอบเมื่อถึงยุคที่ บาร์เซโลน่า เลือกตั้งประธานสโมสรคนใหม่เสร็จสิ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
2
ตัดภาพกลับไปดูที่เส้นทางค้าแข้งของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แม้ว่าจะไม่ใช่การเล่นให้สโมสรเดียวเป็นเวลานานนับทศวรรษ แต่เขาก็ประสบความสำเร็จกับทุกทีมที่ย้ายไปเล่นให้
1
ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส ไปจนถึงทีมชาติโปรตุเกส ถือว่า “ซีอาร์เซเว่น” ไม่เคยร้างแชมป์กับทีมไหนเลย
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือนักเตะคนแรกของโลกที่คว้าแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา และ กัลโช่ เซเรีย อา และล่าสุดเจ้าตัวก็เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงประตูทั้งในลีกอังกฤษ, สเปน และ อิตาลี ได้ไม่น้อยกว่า 30 ลูกใน 1 ฤดูกาล
ไม่ใช่แค่กวาดแชมป์ได้ในทุกประเทศที่ไปเล่นให้เท่านั้น แต่เขายังรักษามาตรฐานผลงานระดับสูงเอาไว้ไม่มีตกด้วย เพราะเจ้าตัวดูแลสภาพร่างกายให้ดีกว่านักเตะอายุ 20 กว่าๆ บางคนเสียอีก
2
ด้วยมาตรฐานระดับนี้ ถ้าเขาจะเล่นให้สโมสรเดียวนานเกิน 10 ปีเหมือนอย่างที่ เมสซี่ ทำให้เห็นที่บาร์ซ่า เชื่อว่าทีมต้นสังกัดต้องยินดีมากแน่ๆ
1
แต่สิ่งที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำ คือเรื่องตรงกันข้าม เพราะเขาแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ อยู่ตลอด และเมื่อเขาคิดว่ามันถึงเวลาที่จำเป็นต้องย้าย เขาทำให้ทุกฝ่ายพึงพอใจเสมอ
ซึ่งการเปลี่ยนเส้นทางแต่ละครั้งของ โรนัลโด้ มันมีเหตุผลของมัน ตามจังหวะชีวิตที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง
สโมสรแรกที่เปลี่ยนสถานะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จากดาวรุ่งให้กลายเป็นนักเตะระดับเวิลด์คลาส ก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
1
หลายคนเข้าใจว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เซ็นสัญญากับ โรนัลโด้ ก็เพราะได้เห็นฟอร์มโดดเด่นของเจ้าตัวในเกมอุ่นเครื่องเมื่อปี 2003 ที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ชนะทีมปีศาจแดงไป 3-1
แต่อันที่จริง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ให้ความสนใจนักเตะคนนี้ก่อนหน้านั้นแล้ว 1 ปี
ในปี 2002 แมนฯ ยูไนเต็ด เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับ สปอร์ติ้ง โดยมีข้อตกลงให้ความร่วมมือกันในการทำงาน ทั้งเรื่องแมวมอง, การพัฒนานักเตะเยาวชน โดยจะมีการแลกเปลี่ยนสต๊าฟฟ์โค้ช ให้ไปศึกษางานกันและกันด้วย
1
เมื่อ 18 ปีก่อน ทีมปีศาจแดงส่ง จิม ไรอัน ไปส่องฟอร์มดาวรุ่งและสังเกตรูปแบบการซ้อมของสปอร์ติ้ง ส่วนทีมจากแดนฝอยทองก็ส่งโค้ชมาศึกษาการทำงานของทีมยักษ์ใหญ่แห่งเกาะอังกฤษ
สิ่งที่ จิม ไรอัน ได้เห็นในปี 2002 ก็คือนักเตะพรสวรรค์สูงวัยเพียง 17 ปีที่ชื่อว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และเขาก็รีบรายงานให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่าควรทำสัญญากับดาวรุ่งคนนี้ ก่อนที่จะมีทีมใหญ่ทีมอื่นโผล่มาเอาตัวไป
ในช่วงเวลานั้น สโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป ต่างอยากได้ โรนัลโด้ กันเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล, บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด และ อาร์เซน่อล ล้วนส่งตัวแทนไปเจรจากับเอเยนต์ของนักเตะทั้งหมด
ข้อเสนอแรกที่ เซอร์ อเล็กซ์ ยื่นให้พันธมิตรอย่างสปอร์ติ้ง คือให้นักเตะยังเล่นในลีกบ้านเกิดต่อไปอีก 2 ปี แต่ทีมปีศาจแดงจะต้องเป็นฝ่ายได้ตัวทันที เมื่อถึงเวลาที่ฝีเท้าของ โรนัลโด้ เริ่มสุกงอมแล้ว
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “ปีกจอมสับ” ได้ย้ายเข้าสู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เร็วกว่านั้น ก็คือผลงานในเกมกระชับมิตรที่พา สปอร์ติ้ง ลิสบอน ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2003 นั่นแหละ
เกมนัดนั้นคือส่วนหนึ่งของสัญญาการเป็นพาร์ทเนอร์กันของทั้ง 2 สโมสร โดยเล่นกันที่สนาม เอสตาดิโอ โชเซ่ อัลวาลาเด้ ที่เพิ่งสร้างเสร็จในเมืองลิสบอน เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพ ยูโร 2004 ของโปรตุเกส
ซึ่งแน่นอนว่าเกมแบบนี้ ผู้บริหารของทั้ง 2 ทีม ต้องเข้าไปเป็นสักขีพยานด้วย
โรนัลโด้ ซึ่งลงเล่นเป็นปีกซ้ายให้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในเกมนั้น เล่นงาน จอห์น โอเช ซึ่งถูกส่งลงยืนแบ็กขวาให้ผีแดงซะแทบเสียผู้เสียคน
ด้วยฟอร์มที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เร่งเร้าให้อดีตซีอีโอของทีมอย่าง ปีเตอร์ เคนยอน รีบเจรจาปิดดีลคว้าเจ้าหนูคนนี้ให้ได้หลังจบเกมทันที โดยที่ไม่ต้องรอถึง 2 ปี แบบที่วางแพลนไว้ตอนแรกแล้ว
จากหนังสืออัตชีวประวัติของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขาเล่าว่าในตอนนั้น เรอัล มาดริด ได้ยื่นข้อเสนอมูลค่า 8 ล้านปอนด์ให้ สปอร์ติ้ง ก่อนพวกเขา
1
แต่ด้วยความแน่วแน่ที่ เซอร์ อเล็กซ์ ต้องได้เด็กคนนี้ไปดูแลที่อังกฤษให้ได้ก่อนเปิดซีซั่น ทำให้เขาเร่งให้ ปีเตอร์ เคนยอน ช่วยเจรจาปิดดีลนี้ให้สำเร็จ โดยยืนยันชัดเจนว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเป็นทีมที่พร้อมให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด
1
สุดท้ายค่าตัวที่ตกลงกันได้ก็คือ 12.24 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นราคาแพงที่สุดเป็นสถิติใหม่ของเกาะอังกฤษสำหรับนักเตะวัยทีนเอจในเวลานั้น
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เปิดตัวเป็นนักเตะใหม่ของผีแดงพร้อมกับอดีตกองกลางทีมชาติบราซิลอย่าง คเลแบร์สัน ในวันที่ 12 สิงหาคม 2003
จอร์จ เมนเดส เอเยนต์ของโรนัลโด้ เคยให้สัมภาษณ์กับ เดอะ ซัน ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยย้อนเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือสโมสรยักษ์ใหญ่ทีมแรกที่ได้ตัวโรนัลโด้ไปอยู่ด้วย ก็คือการเป็นทีมที่ให้ความสำคัญกับดาวรุ่งคนนี้มากที่สุด
เมนเดส เผยว่า “ทุกสโมสรต้องการเขา แต่พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดอยากปล่อยให้ โรนัลโด้ เล่นกับสปอร์ติ้งแบบยืมตัวอีก 1 ฤดูกาล”
1
“คนคนเดียวที่ดูเต็มใจที่อยากได้ตัวเขาไปโดยทันทีคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และในตอนนั้น ผมไม่สงสัยเลยว่ามันคือคำตอบที่ดีที่สุด”
สิ่งที่บ่งบอกชัดเจนถึงการที่ เซอร์ อเล็กซ์ เชื่อมั่นในพรสวรรค์ของ โรนัลโด้ ก็คือการมอบเสื้อเบอร์ 7 ให้เขาสวมใส่แทน เดวิด เบ็คแฮม ที่เพิ่งย้ายไป เรอัล มาดริด โดยทันที ทั้งที่นักเตะต้องการแค่เสื้อเบอร์ 28 ในตอนแรกด้วยซ้ำ
และอย่างที่ทุกคนรู้กัน ภายใต้การประคบประหงมของ เฟอร์กูสัน สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบ และประสบความสำเร็จครบทุกอย่างในการค้าแข้งที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ทุกวันนี้ โรนัลโด้ ยังคงเรียก เซอร์ อเล็กซ์ ว่า “บอส” และเปรียบตำนานกุนซือชาวสกอตติช เสมือนคุณพ่อของเขาในเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ
...อย่างไรก็ตาม ความฝันตั้งแต่สมัยเด็กๆ ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือการได้เล่นให้กับ เรอัล มาดริด
การได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2008 ที่กรุงมอสโก สำหรับโรนัลโด้มันถือเป็น Mission Complete แล้วที่แมนเชสเตอร์
เพราะก่อนหน้านั้นรายการสำคัญอื่นๆ ทั้ง พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ เขาก็ช่วยทีมกวาดมาครองได้หมด
ช่วงซัมเมอร์ปี 2008 สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสไม่ปิดบังว่าเขาต้องการย้ายไปเล่นที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว และเขาก็แจ้งเรื่องนี้กับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยตรง
ทางด้าน ราม่อน กัลเดร่อน ประธานสโมสรของ เรอัล มาดริด ในตอนนั้น ก็มั่นใจมากว่าจะคว้าตัว โรนัลโด้ ไปอยู่ด้วยได้แน่ เขาถึงกับประกาศต่อหน้าสื่อว่า “สักวันหนึ่ง คริสเตียโน่ จะต้องเป็นนักเตะ เรอัล มาดริด แน่นอน”
แต่คำพูดที่มั่นใจเกินไปของ กัลเดร่อน นั่นแหละ ที่ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ ไม่ยอมขายให้ทีมราชันชุดขาวโดยทันที และขอร้องให้ลูกรักอยู่เล่นในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกปีไปก่อน
ในหนังสืออัตชีวประวัติของเฟอร์กี้ ป๋าเผยคำพูดที่บอกกับโรนัลโด้ในตอนนั้นเอาไว้
“ปีนี้แกยังไปไม่ได้ ยิ่ง กัลเดร่อน พูดอย่างนั้น แกยิ่งไปไม่ได้”
“ฉันรู้ว่าแกอยากไป เรอัล มาดริด แต่ฉันยิงนายทิ้งดีกว่าขายแกให้หมอนั่นตอนนี้ ขืนทำแบบนั้น ชื่อเสียงเกียรติยศของฉันก็หมดกัน ทุกอย่างพังหมด ถึงจะต้องจับแกนั่งสำรอง ฉันก็ไม่สน”
1
“ฉันรู้ว่ามันคงไม่ถึงขั้นนั้น แต่ฉันแค่อยากบอกให้รู้ไว้ ว่าฉันไม่มีวันยอมขายแกแน่ในปีนี้”
1
“เอาเป็นว่าถ้าแกเล่นดี ไม่ทำตัวให้เป็นปัญหา แล้วมีใครขอซื้อด้วยค่าตัวสูงเป็นสถิติโลก เราจะยอมปล่อยนายไป”
มันคือสัญญาลูกผู้ชายที่เหมือนกับพ่อคุยกับลูก ซึ่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็แสดงความเป็นมืออาชีพด้วยการกลับมาทุ่มเทเต็มที่เพื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้ง
ซีซั่น 2008-09 โรนัลโด้ ซัดรวมกันให้ยูไนเต็ด 26 ประตูรวมทุกรายการ เขาคือกำลังสำคัญพาทีมคว้าแชมป์สโมสรโลก, ลีก คัพ และพรีเมียร์ลีก แถมยังเข้าชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำให้ทีมได้ ในฤดูกาลสุดท้ายที่เล่นในอังกฤษ
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับ เรอัล มาดริด แล้ว ว่าจะยอมทุ่มค่าตัวระดับสถิติโลกมาสู่ขอหรือไม่
ในเดือนมกราคม 2009 ราม่อน กัลเดร่อน ลาออกจากตำแหน่งประธานสโมสรราชันชุดขาว โดยที่ บิเซนเต้ โบลูด้า ขึ้นดำรงตำแหน่งรักษาการชั่วคราว จนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานสโมสรคนใหม่
1
จากนั้นในวันที่ 1 มิถุนายน 2009 ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ชนะการเลือกตั้งจนได้กลับมาเป็นประธานสโมสร เรอัล มาดริด เป็นรอบที่สอง
และนโยบาย “กาลาคติกอส” ก็ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง หลังเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในยุคที่เขาเป็นประธานหนแรก ที่มี หลุยส์ ฟิโก้, ซีเนอดีน ซีดาน, โรนัลโด้ และ เดวิด เบ็คแฮม เป็นตัวชูโรง
1
เปเรซ โชว์ให้เห็นถึงความจริงจังกับการสร้างทีมรวมดาราโลกภาค 2 ด้วยการทุ่มเงินสถิติโลกคว้าตัว กาก้า จาก เอซี มิลาน ด้วยค่าตัวถึง 56 ล้านปอนด์
2
ก่อนที่หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาจะทุ่มเงินที่มหาศาลยิ่งกว่า เพื่อให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมปล่อยตัวซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสไปสู่อ้อมอก
และสุดท้าย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็กลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกจริงๆ เมื่อย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวถึง 80 ล้านปอนด์ ก่อนที่ตำนานบทใหม่ของ “ซีอาร์เซเว่น” จะไปเริ่มต้นขึ้นที่สเปน
.
ถ้าหากผลงานที่ฝากไว้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรียกว่ายอดมนุษย์ สิ่งที่เขาทำให้ เรอัล มาดริด คงต้องเรียกว่าเทวดา
1
ช่วงเวลา 9 ปีที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นนักเตะของ เรอัล มาดริด เขากลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมราชันชุดขาว ด้วยผลงาน 450 ประตูจาก 438 นัดรวมทุกรายการ ถือว่ายิงได้เยอะกว่าจำนวนเกมที่ลงสนามเสียอีก
โรนัลโด้ คว้าแชมป์ร่วมกับ เรอัล มาดริด ถึง 15 รายการ โดยเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึง 4 สมัย, แชมป์สโมสรโลก 3 ครั้ง, แชมป์ ลา ลีกา, โกปา เดล เรย์, สแปนิช ซูเปอร์คัพ และ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อีกอย่างละ 2 หน
นี่คือนักเตะที่ได้รางวัล บัลลง ดอร์ ในฐานะผู้เล่นราชันชุดขาวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ 4 ครั้งในปี 2013, 2014, 2016 และ 2017 หากรวมกับอีก 1 ครั้งตอนที่เล่นให้ปีศาจแดง ก็คือ 5 สมัย เป็นรอง ลิโอเนล เมสซี่ ที่ได้ไป 6 สมัยเพียงคนเดียว
จำนวนลูกบอลทองคำที่ โรนัลโด้ เคยคว้ามาได้ในอาชีพค้าแข้ง มากกว่า อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ที่เคยได้ 3 ครั้ง และมากกว่าจำนวน บัลลง ดอร์ ของตำนานอย่าง หลุยส์ ฟิโก้, ซีเนอดีน ซีดาน และ โรนัลโด้ คว้ารวมกันทั้งชีวิตเสียอีก
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาเล่นที่มาดริด มันมีนักเตะอีกคนหนึ่งที่เกิดมาเพื่อเป็นคู่ต่อสู้ของเขาโดยเฉพาะ นั่นคือ ลิโอเนล เมสซี่ แห่งบาร์เซโลน่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งแต่จอมถล่มประตูทีมชาติโปรตุเกสไปเล่นที่ ลา ลีกา เขายิ่งถูกนำไปเปรียบเทียบกับเส้นทางค้าแข้งกับ เมสซี่ ในทุกๆ แง่มุม
ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ไขว่คว้าความสมบูรณ์แบบอย่าง โรนัลโด้ ไม่ต้องการเป็นรองในด้านไหนทั้งนั้น
ในเดือนพฤศจิกายน 2017 ลิโอเนล เมสซี่ ได้รับสัญญาฉบับใหม่จาก บาร์เซโลน่า ให้ค้าแข้งในถิ่น คัมป์ นู ยาวจนถึงปี 2021 โดยกลายเป็นนักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก
จากรายงานของ กีเยม บาลาเก้ ผู้สื่อข่าวชื่อดังชาวสเปน เขาเผยว่าสัญญาฉบับล่าสุดที่ เมสซี่ เซ็นไว้กับบาร์ซ่า ได้รับค่าจ้างหลังหักภาษีแล้วสูงถึงปีละ 41 ล้านยูโร
แต่ค่าจ้างของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในสัญญาช่วงท้ายๆ กับ เรอัล มาดริด ได้เงินหลังหักภาษีแค่ปีละ 21 ล้านยูโรเท่านั้น
1
แน่นอนว่านั่นคือจำนวนเงินที่เยอะมาก แต่ถ้าหากเทียบกับสิ่งที่ บาร์เซโลน่า มอบให้กับ เมสซี่ ถือว่า ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนั้นที่มาดริด
1
ทั้งที่ โรนัลโด้ เชื่อว่าเขามีสถานะผู้เล่นที่ “ประเมินค่าไม่ได้” สำหรับสโมสรเช่นเดียวกัน
โรนัลโด้ ยังรู้สึกว่า เรอัล มาดริด ไม่ให้ความช่วยเหลือเขามากที่ควร ตอนที่โดนศาลสเปนฟ้องคดีหนีภาษีเมื่อปี 2017 ซึ่งส่งผลให้ในท้ายที่สุด เขาต้องควักเงินจ่ายค่าปรับ 19 ล้านยูโรเพื่อให้พ้นผิดในภายหลังเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจำกันได้ดี ในช่วงก่อนที่ โรนัลโด้ จะย้ายออกจากถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว มันมีข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่า ฟลอเรนติโน่ เปเรซ พร้อมทุ่มเงินมหาศาล กระชากตัว เนย์มาร์ จาก เปแอสเช กลับไปเล่นที่สเปน
ความรู้สึกของ ซีอาร์ซีเว่น ในตอนนั้น มันเหมือนกับว่า เขาไม่ใช่คนที่สำคัญระดับที่ “ไม่มีใครแทนได้” ของสโมสรอีกต่อไปแล้ว
ในช่วงระหว่างนั้น มีหลายสโมสรที่ตกเป็นข่าวอยากได้สตาร์แดนฝอยทองไปร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น เปแอสเช หรือทีมเก่าของเขาอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่สิ่งที่เราไม่เคยเห็นก็คือการออกมาบอกว่า “โรนัลโด้ ไม่ได้มีไว้ขาย” จากทาง เปเรซ เลยสักครั้ง
ในช่วงซัมเมอร์ 2018 ยูเวนตุส คือทีมเดียวที่พร้อมทุ่มเงิน 100 ล้านยูโรกระชากตัวเขาจาก เรอัล มาดริด ไปอยู่ด้วย ซึ่งนั่นคือราคาที่แพงที่สุด เท่าที่สโมสรหนึ่งในโลกนี้จะยอมจ่ายเพื่อซื้อตัวนักเตะอายุเกิน 30 ปี
เปเรซ ไม่ปฏิเสธข้อเสนอนั้น ทำให้ โรนัลโด้ ยอมอำลาแดนกระทิงดุ เพื่อไปเป็นซูเปอร์สตาร์ที่อิตาลีแทนอย่างไม่ลังเล
ในเดือนตุลาคม 2018 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล ของฝรั่งเศส
1
สตาร์เจ้าของรางวัล บัลลง ดอร์ 5 สมัย เผยความจริงว่า ฟลอเรนติโน่ เปเรซ คือสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่ง ที่ทำให้เขาอยากอำลาสโมสรที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก และประสบความสำเร็จด้วยมากที่สุดในชีวิต
“ผมรู้สึกว่าภายในสโมสรแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวของท่านประธาน พวกเขาไม่ได้มองผมเหมือนกับตอนแรกอีกแล้ว”
“ในช่วง 4-5 ปีแรกที่นั่น ผมมีความรู้สึกถึงการได้เป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่หลังจากนั้นมันค่อยๆ ลดลง ท่านประธานมองผมด้วยสายตาแบบที่ไม่อยากจะพูดกับผมแบบเดิม มันเหมือนกับว่าผมไม่ใช่คนที่พวกเขาขาดไม่ได้อีกแล้ว”
“นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมคิดถึงเรื่องการอำลา บางครั้งผมเห็นข่าวที่บอกว่าผมขอย้ายทีม มันก็เป็นเรื่องจริงอยู่บ้าง แต่ความจริงก็คือผมรู้สึกมาตลอดว่าท่านประธานจะไม่รั้งผมเอาไว้เลย”
3
“ความจริงก็คือ เปเรซ ต้องการผม แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ทำให้ผมรู้ว่า การจากไปของผม จะไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้เขาทั้งสิ้น”
“มันไม่ใช่เรื่องเงิน ถ้าทั้งหมดมันคือเรื่องเงิน ผมจะย้ายไปที่เมืองจีน ที่ที่จะทำให้ผมได้รับค่าเหนื่อยมากกว่าที่นี่ (ยูเวนตุส) หรือที่ เรอัล ถึง 5 เท่า”
“ผมไม่ได้ย้ายมายูเว่เพราะเรื่องเงิน ผมได้รับค่าเหนื่อยเท่ากับที่มาดริด ความแตกต่างมันคือการที่ ยูเว่ ต้องการผมจริงๆ พวกเขาบอกผมแบบนั้นอย่างชัดเจน”
ปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มีสัญญากับ ยูเวนตุส จนถึงปี 2022 ถ้าหากไม่แขวนสตั๊ดแบบกะทันหันไปซะก่อน เขาจะค้าแข้งอย่างน้อยจนถึงอายุ 37 ปี
จนป่านนี้ ยังไม่มีสัญญาณว่าเขาจะเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพตอนไหน และไม่มีใครรู้ว่าทีมสุดท้ายที่เขาจะเล่นให้ คือสโมสรไหนกันแน่
หากย้อนดูเส้นทางค้าแข้งของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็น่าจะได้แนวคิดมากทีเดียว เรื่องการเลือกทางเดือนชีวิต สำหรับทุกคนที่ตั้งเป้าหมายว่าอยากประสบความสำเร็จ และสามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้อย่างสุขสบาย
ตอนยังไร้ประสบการณ์ จงเลือกไปอยู่กับองค์กรที่จะพัฒนาศักยภาพของคุณได้มากที่สุด เพื่อหา “ความก้าวหน้า”
1
และถ้าถึงวันที่คุณเก่งพอ รักษาความสัมพันธ์กับเขาไว้ดีพอ สักวันหนึ่งคุณจะได้ไปอยู่ในที่ที่คุณต้องการแน่นอน
1
ตอนที่เก่งมากพอที่จะได้ทำงานในที่ที่คุณใฝ่ฝัน จงทำตัวเองให้คุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เขาจ้าง และกอบโกย “ความสำเร็จ” ให้มากที่สุด
1
และตอนคุณทุ่มเททำงาน จนมีทุกอย่างพร้อมในชีวิต สุดท้ายสิ่งที่คุณจะเลือกคือ “ความสบายใจ” และเป็นที่ที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณมีคุณค่าอย่างที่คุณคู่ควร
1
#เสียบสามเหลี่ยม #Ronaldo #CR7 #CristianoRonaldo #Messi #Barcelona #SportingCP #ManUnited #MUFC #SirAlexFerguson #PremierLeague #RealMadrid #LaLiga #Juventus #SerieA
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา