7 ก.ย. 2020 เวลา 01:00 • ธุรกิจ
NSA is watching you : พี่เบิ้มตัวจริงกำลังจับตาดูข้อมูลอะไรของเราบ้าง
สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติหรือ NSA (National Security Agency) สามารถรู้จักเราได้ทุกซอกทุกมุม พวกเขาสามารถรู้ได้ว่าวันนี้เราไปไหนมา วันนี้คุยกับใครบ้าง วันนี้โพสท์ข้อความอะไรไป หรือจะย้อนไปดูการเคลื่อนไหววันก่อน ๆ ก็ทำได้
แต่กลับกัน เรากลับไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย จนกระทั่ง Edward Snowden ออกมาแฉ
Edward Snowden รู้จัก NSA เป็นอย่างดีเพราะวิทยาลัยที่เขาเรียนก็อยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ ทุกวัน ๆ ก็จะเห็นเพื่อนบ้านของแม่ขับรถไปทำงาน พอเข้าสู่วัยทำงานก็มีโอกาสได้เข้าทำงานที่นี่
NSA เป็นเหมือนสายลับ พวกเขามีหน้าที่รวบรวมข่าวกรองซึ่งโดยทฤษฎีแล้วพวกเขาจะดักสัญญาณการสื่อสารเฉพาะเป้าหมายที่เป็นชาวต่างชาติ หรือที่เรียกกันว่า SIGINT (Signal Intelligence) แต่ความจริงคือระบบของ NSA จะดูด Metadata ของชาวอเมริกันเอาไว้หมด
Metadata คือ รายละเอียดที่อธิบายถึงความเป็นมาของข้อมูล ถ้าเป็นหนังสือก็อาจจะเป็น ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง แต่ถ้าเป็นข้อมูลการสื่อสารก็เช่น เบอร์โทร บันทึกการโทร หัวข้ออีเมล์
พอ NSA มี metadata อยู่ในมือ พวกเขาก็เอาเข้าสู่ระบบ ระบบจะสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้น และผลลัพธ์ที่ได้จากการเชื่อมโยงคือ NSA จะรู้การเคลื่อนไหวของเราตลอดเวลา
แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ Big Brother ใน 1984 ที่มีคนจับตาดูเราทุกฝีก้าว ถ้าอยู่ในห้องก็ถูกจ้องมองผ่านทีวีที่ติดกล้องวงจรปิด ถ้าเดินตามถนนก็ถูกมองผ่านโปสเตอร์ของชายหน้าตาดุดัน มีหนวดดำเป็นปื้น บนรูปมีประโยคเขียนว่า Big Brother is watching you
ไม่ใช่สิ
แบบนี้ต่างหาก
Snowden เห็นว่าสิ่งที่ NSA ทำนั้นผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งมาตรา 4 นั้นห้ามมิให้มีการค้นหรือยึดสิ่งที่เป็นของประชาชนอเมริกาโดยไม่มีเหตุผล การค้นนั้นรวมถึงการดักฟังการสื่อสารประเภทต่าง ๆ ด้วย มันจะถูกกฎหมายต่อเมื่อกระทำกับผู้ต้องสงสัยเป็นรายบุคคลและมีเหตุอันสมควรและมีหมายศาลเท่านั้น
สำหรับเขาและชาวอเมริกันคนอื่น ๆ นั้นรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งพิเศษ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงเสรีภาพ เขาเชื่อว่าการที่รัฐบาลทำลายรัฐธรรมนูญอย่างลับ ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการโจมตีประเทศ
เขามองการกระทำของตนเองว่าเป็นไปเพราะความรักชาติ การปล่อยความลับไม่ใช่การทรยศ แต่เป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ไขระบบการสอดแนมซึ่งเติบโตไปผิดทาง
ก่อนหน้าที่ Snowden จะออกมาแฉ รัฐบาลของ Richard Nixon เคยฝ่าฝืนมาตรานี้มาแล้ว ทำให้มีการออกกฎหมายว่าด้วยการสอดแนมข่าวกรองจากต่างประเทศหรือ FISA เพื่อจำกัดอำนาจของ NSA ไม่ให้ยุ่งกับการสื่อสารภายในประเทศหรือการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับชาวอเมริกันหากไม่ได้รับอนุญาต
แต่แล้วกฎหมาย FISA ก็ได้รับการแก้ไข กฎหมายฉบับแก้ไขอนุญาตให้ NSA สอดแนมได้ไม่เลือกหน้า เหตุที่ทำให้เกิดการแก้กฎหมายก็เป็นเพราะเกิดเหตุ 9/11
NSA ล้มเหลวในเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 พวกเขาไม่สามารถเตือนภัยล่วงหน้าได้ว่ากลุ่ม Al-Qaeda จะโจมตีตึกแฝดในนิวยอร์ก รัฐบาลของ George W. Bush จึงหาทางที่จะแก้กฎหมายเพื่อให้ NSA ทำงานเชิงรุกได้มากขึ้น
เหตุการณ์ 9/11
รัฐบาลมีโอกาสสูงมากที่จะขอแก้ไขกฎหมาย FISA เพราะสภาครองเกรสในตอนนั้นก็อยู่ในอารมณ์เปิดกว้างพอที่จะอนุญาต แต่ประธานาธิบดี Bush ก็ยังไม่ใช้ช่องทางนี้แต่สั่งให้ Michael Hayden ผู้อำนวยการ NSA ในขณะนั้นทำการพัฒนาการสอดแนมไปอย่างลับ ๆ
การพัฒนาระดับการสอดแนมอย่างลับ ๆ นั้นภายหลังกลายเป็นโครงการที่มีชื่อสุดหรูว่า Stellarwind โครงการนี้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2001 แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง
โครงการนี้ไม่ได้มีแค่รัฐบาลที่เห็นชอบ บริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตรายใหญ่ก็ให้การสนับสนุนเช่นกัน โดยมองว่าการเอาข้อมูลของลูกค้าไปให้ NSA ไปใช้ในการค้นหาตัวผู้ก่อการร้ายคือการช่วยประเทศชาติ
พอกฎหมาย FISA ฉบับแก้ไขมีผลบังคับใช้ NSA มีอำนาจเพิ่มขึ้นมาก FISA ฉบับแก้ไขทำให้การดักฟังการสื่อสารระหว่างภายในอเมริกากับต่างประเทศถูกกฎหมาย ชาวต่างชาติที่เป็นคู่ติดต่อนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อการร้าย แค่เพียง “มีเหตุสมควร” ให้สงสัยได้ว่าครอบครองข่าวกรองที่มีประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว
คำว่า “มีเหตุสมควร” เปิดช่องให้ NSA ใช้ดุลยพินิจเกินขอบเขต ทำให้พวกเขามีอำนาจรวบรวมข้อมูลของทุกคนไว้ในกำมือ ข้อมูลของเราทุกคนคือ Big data ของ NSA
นี่เป็นงานใหญ่เลยทีเดียวที่ NSA ต้องจัดการกับ big data เหล่านี้ แต่ที่นี่ก็ไม่เคยขาดคนมีฝีมือ ตั้งแต่ปี 1952 ที่เริ่มก่อตั้ง ที่นี่ก็รวบรวมของหัวกะทิด้านคณิตศาสตร์มาตลอด บางคนก็เป็นถึงระดับตำนาน เรียกว่าพร้อมทั้งคนและเทคโนโลยี
ไม่ใช่แค่นั้น คอนเนคชั่นก็พร้อม
NSA ก็ไม่ได้ทำงานแบบลุยเดี่ยว พวกเขายังมีคู่หูที่ร่วมสอดแนมกันมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง GCHQ แห่งสหราชอาณาจักร
NSA กับ GCHQ ร่วมมือกันลอบดักสัญญาณจากสายไฟเบอร์ออพติกใต้ทะเลที่อยู่ทั่วโลก ทำให้ทั้งสองรับรู้การสื่อสารส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นบนโลก
GCHQ คู่หูของ NSA
Snowden เรียก GCHQ ว่าสุนัขที่ซื่อสัตย์ของ NSA เพราะอีกฝ่ายอยากได้อะไร GCHQ ก็จัดหามาให้ได้เสมอ ในแต่ละปี NSA จะจ่ายเงินสนับสนุนให้ GCHQ แต่การสนับสนุนนี้ก็มาพร้อมกับความกดดัน NSA มีท่าทีที่จะลดการสนับสนุนตลอดถ้า GCHQ มีแนวโน้มทำงานไม่เป็นไปตามเป้า
GCHQ รู้ข้อนี้ดีจึงพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ผลงานที่น่าประทับใจคือการสร้างบัฟเฟอร์ขนาดยักษ์ บัฟเฟอร์นี้สามารถเก็บข้อมูลที่ไหลมาอย่างมหาศาลได้ นักวิเคราะห์จึงสามารถใช้เวลาได้เต็มที่ในการหาข้อมูลที่มีประโยชน์
นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนที่ช่วยเหลือในการดักจับข้อมูลในสายเคเบิลทุกสายที่สัมผัสแผ่นดินสหราชอาณาจักร รายชื่อบริษัทเหล่านี้เป็นความลับ แต่ตอนนี้ก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ที่เด่น ๆ เลยก็เช่น Verizon, Vodafone
เคยมีรายงานฉบับหนึ่งเตือน GCHQ ว่าการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของสมาร์ทโฟนจะทำให้ทำงานได้ยากขึ้น GCHQ ก็ตอบรับเรื่องนี้อย่างดีโดยวางแผนจะหาประโยชน์จากอุปกรณ์เคลื่อนที่ พวกเขาจะรวบรวมข่าวกรองจากฟังก์ชั่นพิเศษทุกอย่างที่ iPhone และ Blackberry สามารถเสนอให้ได้
เป้าหมายสูงสุดก็คือ เข้าถึงสมาร์ทโฟนได้ทุกที่ทุกเวลา
ถ้าเป็น Startup ตัว GCHQ ก็เปรียบเสมือนทีมที่พร้อมทั้งเทคโนโลยีและความทะเยอะทะยาน ส่วน NSA ก็เป็น Investor ที่มีเงินให้เติมไม่อั้น
Sir David Omand อดีตผู้อำนวยการ GCHQ เคยกล่าวไว้ว่า “เรามีสมอง พวกนั้นมีเงิน และมันเป็นความร่วมมือที่ได้ผลเป็นอย่างดี”
ดูจะเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะหลุดพ้นจากสายตาของ Big Brother เหล่านี้ได้
เรามาดูที่ระบบสอดแนมของ NSA กันบ้าง
โครงการ Stellarwind คือโครงการสอดแนมที่ครอบคลุม 4 ด้านคือ การสื่อสารทางโทรศัพท์ - metadata ของข้อมูลทางโทรศัพท์ - การสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต - metadata ของข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ต
มีเครื่องมือหนึ่งที่เรียกว่า MAINWAY ที่มีหน้าที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับบันทึกการโทรศัพท์
รหัสลับเยอะจริง ๆ อย่างว่าแหละเป็นสายลับนี่
โปรแกรมนี้ถูกออกแบบว่า ได้มีการโทรติดต่อ “หรือไม่” ไม่ได้ถามว่าโทร “ทำไม” ดังนั้นถ้าบังเอิญคน ๆ หนึ่งโทรไปติดเบอร์ของผู้ก่อการร้าย ระบบก็จะค้นข้อมูลออกมาทั้งหมด และการทำงานร่วมกับ FBI ก็ทำให้ NSA มีข้อมูลเบอร์โทรในมือมหาศาล
ข้อมูลมหาศาลเหล่านี้จะถูกนำเชื่อมโยงโดยสิ่งที่เรียกว่า Contact chaining
Contact chaining จะสร้างแผนที่ขึ้นมา บนแผนที่จะแสดง nodes และ edge
nodes คือ จุดบนแผนที่ แสดงถึงหมายเลขโทรศัพท์
edge ก็คือเส้นที่ลากเชื่อมระหว่าง nodes เป็นการแสดงถึงการโทรติดต่อ
ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้คือ แผนที่ความเชื่อมโยงระหว่างบุคคล โดยแต่ละสายเชื่อมจะเรียกว่า hop ก็คงเหมือนการกระโดดสั้น ๆ
จุดประสงค์ของการทำ contact chaining คือขยายผลการค้นหาเป้าหมาย ซึ่งการขยายผลนี้เร็วพอ ๆ กับการทวีคูณของเหรียญบาท เช่น ถ้าเราทำผลตอบแทนได้สองเท่าทุกวัน ๆ แค่บาทเดียวก็จะกลายเป็นเงินล้านได้ไม่ถึงเดือน
ถ้าคนทั่วไปโทรหรือรับสายจากคนอื่น 10 คนต่อปี แต่ละ hop ก็จะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น 10 เท่าปรากฏอยู่บนแผนที่ของ NSA
ดังนั้นพวกเขาเห็นทุกอย่างว่าใครติดต่อกับใคร ระบบ MAINWAY จะค้นหารูปแบบที่ซ่อนอยู่ ค้นหาความสัมพันธ์ที่การวิเคราะห์ด้วยมนุษย์ไม่สามารถทำได้
ไม่ใช่แค่ทำการเชื่อมโยงตามคำสั่งเท่านั้น มันยังสามารถคำนวณล่วงหน้าได้ มันไม่เพียงวิเคราะห์แค่ตัวเป้าหมายแต่มันยังวิเคราะห์ไปถึงทุก ๆ คน ถ้า MAINWAY มีเบอร์ของคุณ มันก็สามารถสร้างชุดข้อมูลคร่าว ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงานของคุณได้
นี่คือระบบที่ทำงาน 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ข้อมูลของเราไม่ได้ถูกเก็บเอาไว้เฉย ๆ มันถูกหยิบมาใช้ มันถูกเอาไปเชื่อมโยงเป็นทอด ๆ ความลับทุกประเภทจะถูกนำมาคำนวณล่วงหน้า และ NSA ก็อัพเดทข้อมูลของเราทุกคนตลอดเวลา
NSA มีคนเก่งมากมาย มีเทคโนโลยีที่เพียบพร้อม มีคอนเนคชั่นที่เก่งกาจ แต่ก็ยังล้มเหลวในการป้องกันเหตุระเบิด
ปี 2013 เป็นปีที่ Snowden ออกมาแฉวีรกรรมของ NSA และเป็นปีที่เกิดเหตุระเบิดในงาน Boston Marathon ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บอีกกว่า 260 ราย ผู้ก่อการร้ายคือ Dzhokhar Tsarnaev และ Tamerlan Tsarnaev
ตามหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย ชายทั้งสองมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายอิสลาม และทางรัสเซียก็เคยเตือน FBI ไปแล้ว ระบบ MAINWAY ก็สามารถดึงข้อมูลของคนทั้งสองนี้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ทำไมถึงยังเกิดเหตุขึ้นอีก
Edward Snowden
Snowden ตอบว่า “เราไม่ตรวจสอบพวกเขาอย่างเต็มที่ เราแค่แวะไปดูด้วยความสงสัยเล็กน้อยและกลับมาเคาะคีย์บอร์ดเพื่อดูอีเมล์และข้อมูลของชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่อไป”
เขาไม่เคยเห็นด้วยกับการสอดแนมแบบไม่แยกแยะเพราะมันไม่มีประสิทธิภาพ การเกิดเหตุที่ Boston ก็เห็นได้ชัดเลยว่าระบบของ NSA ไม่สามารถป้องกันการเกิดเหตุได้ ความผิดพลาดนี้ก็สมควรแล้วที่ NSA จะต้องถูกจำกัดอำนาจอีกครั้ง
รัฐบาลของ Barack Obama ประกาศว่า NSA จะไม่รวบรวมการโทรศัพท์ของชาวอเมริกันและไม่ดักฟังโทรศัพท์ของผู้นำชาติที่เป็นพันธมิตรอีกต่อไป แต่จะกลับไปรวบรวมข้อมูลในแบบเดียวกับที่สายลับทั่วไปทำ และจะมีการปฏิรูปศาลแผนก FISA
แต่ปกติแล้วคนเราเวลามีอำนาจก็มักจะหาทางใช้มันให้ได้ เราอาจจะคาดการณ์ไว้ได้เลยว่าการจำกัดอำนาจจะไม่คงอยู่ตลอดไป ตราบใดที่ NSA ยังมีทรัพยากรอยู่เช่นเดิม ซักวันหนึ่งก็จะมีตัวแปรที่ทำให้ NSA กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
และไม่แน่เหมือนกันว่า ตอนนี้ Big Brother อาจจะกำลังจับตาดูเราอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้
ข้อมูลอ้างอิง:
หนังสือ The Snowden Files โดย Luke Harding
โฆษณา