6 ก.ย. 2020 เวลา 08:01 • การเมือง
โสเภณี และ การทำแท้ง ควรได้รับการอนุญาตอย่างเสรีหรือไม่?
เรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ เรื่องทำแท้งนี้ ที่หลายๆคนเขาอยากให้สังคมเราเปิดกว้างขึ้นมามากขึ้น ก็เพราะมันมีปัญหาการท้องไม่พร้อมเกิดขึ้นตลอด สังคมของคนที่ไม่พร้อมจะมีลูกมันมีเยอะนะ
เดี๋ยวนี้เด็กอายุ 10-12 ขวบก็มีอารมณ์ทางเพศกันแล้ว ท้องกันได้แล้ว โตไว บางคนเขาท้องเพราะใจแตก ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เพราะไปหลงในผู้ชาย หรือโดนผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบมาพยายามชิงสุกก่อนห่าม ทั้งๆที่ยังไม่รู้วิธีการใช้ถุงยาง
สุดท้ายก็เกิดความผิดพลาดจนท้องขึ้นมาได้ ตรงนี้แหละที่ทำให้ความจำเป็นเรื่องการทำแท้งมันมีมากขึ้น และควรจะเปิดกว้าง แบบเสรีมากขึ้น ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆไปแอบทำตามคลีนิคเถื่อนให้เจอความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตด้วย
สังคมไทยเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมที่รังเกียจเรื่องการทำแท้งมานาน กะอีแค่พูดกันเฉยๆว่าจะทำแท้งแค่นี้ก็มีคำตำหนิ คำครหาจากผู้ใหญ่กันแล้วว่าสร้างบาปกรรม คนจะเกิดไม่ให้เขาเกิด บางทีก็เอาเรื่องผีเด็กขี่หลังมาขู่คนที่ทำแท้งอีก
มันไม่เสรีทั้งในเชิงปฏิบัติและในเชิงวัฒนธรรม แล้วพอสภาพแวดล้อม เงื่อนไขมันเป็นแบบนี้ คนที่ท้องก่อนวัยอันควร หรือท้องโดยที่ไม่พร้อมจะมีลูก ไม่อยู่ในวัยที่พร้อมจะสร้างครอบครัว อะไรทำนองนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
เพราะเด็กท้องไปแล้ว ทางแก้ที่ผู้ใหญ่และครอบครัวของฝ่ายหญิงมักจะงัดขึ้นมาใช้ก็คือ ถ้าไม่ฟ้องครอบครัวเด็กผู้ชายก็มักจะไปกดดันบีบบังคับให้ฝ่ายชายต้องรีบแต่งงานกับเด็กผู้หญิงที่ท้องให้เป็นฝั่งเป็นฝาไปเลย
7
จากความเชื่อที่ว่า "เด็กมันมีมลทินไปแล้ว ไม่สามารถจับใส่ตะกร้าล้างน้ำได้อีก" พอมันเป็นแบบนี้ก็เลยเกิดครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ครอบครัวที่ทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิงไม่พร้อมจะเลี้ยงลูก อยู่ไปได้ไม่กี่ปี เดี๋ยวก็หย่าร้างกัน แล้วปล่อยให้เด็กอยู่กับปู่ย่าตายาย
1
พ่อแม่เด็กก็หนีไปคนละทาง สังคมต่างจังหวัดตามชนบทเป็นแบบนี้กันเยอะ ผมเคยตามเพื่อนพวกหมอไปทำ mobile clinic ตามชุมชน เมื่อช่วงไม่เกิน 10 ปีมานี้ สังคมชาวบ้านมันมีอย่างนี้เยอะมากนะ
แล้วทำไมเราจะต้องรักษาประเพณีหรือวัฒนธรรมที่มันคร่ำครึแบบนี้ต่อไปอีก การทำแท้งมันจึงควรเกิดขึ้นอย่างเสรี ไม่ใช่แค่เสรีในทางปฏิบัติเท่านั้น แต่ต้องเป็นเสรีในเชิงวัฒนธรรม ความคิดด้วย สังคมควรจะเลิกมองผู้หญิงที่ไปทำแท้งว่าเป็นฆาตกร หรือพวกมีผีเด็กขี่คอกันได้แล้ว
เด็กในท้องถ้าเกิดมาไม่พร้อม แล้วให้เขาเติบโตมาแบบตามมีตามเกิด เลี้ยงแบบทิ้งๆขว้างๆในครอบครัวที่ยากจน พออายุสัก 4-5 ขวบพ่อแม่ก็แยกทางกัน เพราะอยู่กันไม่ได้ แบบนี้ยิ่งทำให้เด็กทรมานไปใหญ่ ละเด็กก็มีความเสี่ยงจะโตไปเป็นเด็กที่ผลิตซ้ำความล้มเหลวภายในสังคมได้อีก
นี่คือเหตุผลที่สังคมจำเป็นต้องเปิดกว้างมากขึ้นต่อการทำแท้ง ส่วนเรื่องโสเภณีถูกกฎหมายนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ดี นักรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชน และนักวิชาการเขาเสนอ และถกเถียงกันมานานแล้ว
ว่าการเปิดเสรีให้โสเภณีถูกกฎหมายนั้นมีแนวโน้มจะสร้างประโยชน์ในระยะยาวมากกว่าจะเป็นผลเสีย เพราะอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพดึกดำบรรพ์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนสมัยใหม่ ไม่มีประเทศใด หรือรัฐบาลใดที่จะสามารถทำให้อาชีพนี้หายไปจากสังคมได้
ขนาดในประเทศอย่างจีน เกาหลีเหนือที่กฎหมายในระดับ Draconian ยังมีอาชีพโสเภณีกันอยู่เลย แล้วนับประสาอะไรกับประเทศไทย ประเทศไทยเองถ้าพิจารณาจากสภาพเงื่อนไขยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดกั้น หรือทำให้โสเภณีนั้นหายไป
ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะทำให้อาชีพนี้หายไปได้หรอกครับ ยอมรับเสียเถอะ ประเทศไทยในสายตาของฝรั่ง และนักท่องเที่ยวเขาก็นึกถึงโสเภณี และการขายบริการทางเพศทั้งนั้น
ในทางปฏิบัติ ข้อเสนอของเด็กๆนักเรียน นักศึกษาเกี่ยวกับโสเภณีจึงเป็นข้อพิจารณาที่ดี ว่าเราควรแก้ไขตามสภาพแวดล้อม และบริบทที่เราพอจะแก้ได้ นั่นคือทำให้มันถูกกฎหมายไปซะเลย
จะได้หารายได้เข้าประเทศ มีองค์กรจัดตั้งขึ้นมาดูแล ทำให้เป็นกิจลักษณะ มีมาตรฐาน QC และความสะอาดไปด้วยในทีเดียวเลย จะได้ลดความเสี่ยงหลายๆอย่างลงไป ทั้งเรื่องโรคระบาดทางเพศสัมพันธ์ ไม่ต้องให้อาชีพเหล่านี้มันอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ
วิธีนี้คือวิธีที่ทำให้รัฐเราสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างผาสุก เพราะถึงพยายามจะกวาดล้าง หรือพยายามสั่งปิดอย่างไร สุดท้ายก็กลับมาเปิดใหม่อยู่ดี ซ่องมีเต็มไปหมดทุกจังหวัด ไม่ว่าจะโจ่งแจ้งหรือลับๆ ตำรวจลงทีก็ปิดทีหนึ่ง ไม่นานก็มาเปิดใหม่ คิดว่าทำแบบนี้วนเวียนไปเรื่อยๆเราจะสามารถทำให้ปัญหาที่มันอยู่ใต้พรมหายไปได้อย่างไร?
โฆษณา