8 ก.ย. 2020 เวลา 09:00 • ธุรกิจ
ส่องพอร์ตบัฟเฟตต์ว่างงแล้ว ไปส่องพอร์ตไมเคิล เบอร์รี่งงกว่า ทำไมเขาจึงซื้อ
Call Option?
ไมเคิล เบอร์รี่ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง ที่สร้างชื่อจากการโกยเงินมหาศาลในวิกฤตปี
2008 ให้กับกองทุน hedge fund Scion Capital เพราะเขาได้กลิ่นฟองสบู่ของ
ตราสารหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBS) ตั้งแต่ไก่โห่ เขาจึงได้ทำการ short ตราสาร
ดังกล่าว (เดิมพันว่ามันจะลง) ท่ามกลางเสียงวิพากย์วิจารณ์และหัวเราะเยาะจากคนรอบข้าง เพราะไม่มีใครคิดว่าวิกฤตหนี้บ้านจะเกิดขึ้นจริง ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า
“ไม่มีทางหรอก มันไม่เคยเกิดขึ้น”
แต่ระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน ตอนนี้ทุกคนรับรู้แล้วว่าเขาทำนายได้ถูก
อย่างน่าทึ่ง จนถึงขั้นต้องเอาไปสร้างเป็นหนังเรื่อง The Big Short ที่ผมเคยแนะนำ
ให้เพื่อน ๆ ไปหามาดู สนุกไหมครับ ดูรู้เรื่องกันใช่ไหมเอ่ย
และในตอนนี้ไมเคิล เบอร์รี่ก็ได้สร้างความงุงงนให้กับชาวโลกอีกครั้ง เมื่อพอร์ตโฟลิโอของกองทุน Scion ที่เบอร์รี่ดูแล มีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ในไตรมาสที่ 2 ชนิดที่เรียกว่าไม่มีใครอธิบายเหตุผลได้
คือในไตรมาส 2 ที่ผ่านมานั้น เบอร์รี่ได้ทำการปรับพอร์ตครั้งใหญ่ จากที่ทั้งพอร์ตมีหุ้นอยู่ประมาณ 7 ตัว แต่หลังจบในไตรมาส 2 นั้นกลับพบว่า 71% ของพอร์ตนั้นไม่
ได้อยู่ในรูปของหุ้น แต่กลับอยู่ในรูปของสัญญาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Call Option
Call Option คืออะไร? ผมก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านตราสารการเงินมากเท่าไหร่ แต่ตามที่ผมเข้าใจ ถ้าอธิบายภาษาบ้าน ๆ Option มันคล้าย ๆ “ประกัน” ครับ ซึ่งมันมีอยู่
สองชนิดคือ Put กับ Call
เจ้า Call Option นี้คือ “ประกันหุ้นขึ้น” หมายความว่าถ้าหุ้นตัวนั้นราคาขึ้นภายใน
อายุสัญญาคุณจะได้รับเงินชดเชยมหาศาล แต่ถ้าจนครบอายุสัญญาแล้วหุ้นยังไม่ขึ้นคุณก็จะเสียเงินทั้งหมดที่ลงไป
โดยหุ้นที่ไมเคิล เบอร์รี่เข้าไปซื้อ Call Option นั้นมีหลัก ๆ อยู่ 4 บริษัทคือ Google, Facebook, Booking และ Goldman sachs โดยเฉพาะ Google ที่ซื้อไปถึง 36% ของพอร์ต
คำถามคือมันแปลกตรงไหน? ใช่ไหมครับ เพราะช่วงเวลา 3-5 เดือนที่ผ่านมาหุ้น
เหล่านี้ก็ขึ้นมาตลอด ถ้าไมเคิล เบอร์รี่ตัดสินใจปิดสัญญาตอนนี้เขาก็ได้กำไร
มหาศาล และเหตุผลที่หุ้นเหล่านี้ขึ้นมาก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม
เทคโนโลยีที่เป็นเทรนด์อนาคตและตลาดหุ้นยังได้รับแรงหนุนจากการทำ QE ของ
Fed อีก
ความแปลกมี 2 อยู่ข้อครับคือ
1. ไมเคิล เบอร์รี่เป็นนักลงทุนที่ดูปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก หากเขามองว่าหุ้นเหล่านี้ถูก
เกินไปเขาควรจะซื้อ “หุ้น” ครับ ไม่ใช่ “Call Option” เพราะหุ้นไม่มีอายุ
แต่ Call Option มีอายุ ถึงจะรู้ว่าหุ้นถูกขนาดไหน แต่มันก็คาดเดาได้ยากมากว่าหุ้นจะขึ้นเมื่อไหร่
หากราคาขึ้นไม่ทันอายุสัญญา เขาจะเสียเงิน “ทั้งหมด” การทำแบบนี้ถ้าพูดให้เห็น
ภาพมันคือการ “ขายบ้านขายรถ แล้วแทง Google” เพราะถ้าราคาหุ้น Google
ไม่ขึ้นในเวลากำหนดบ้านและรถจะหายไปทันที ต่อให้คุณเชื่อมั่นใน Google
แค่ไหน ก็คงไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ใช่ไหมครับ ยิ่งเป็นระดับผู้จัดการกองทุนที่รับ
ความกดดันมหาศาล ก็ยิ่งน่าสงสัยว่าเขาไปเห็นข้อมูลอะไรจึงกล้าทำขนาดนี้
1
2. ปีที่แล้วไมเคิล เบอร์รี่ทำนายไว้ว่าจะเกิดฟองสบู่ของดัชนีตลาดหุ้น เนื่องจากมี
บริษัทมากมายกำลังเป็นบริษัทซอมบี้ ในขณะที่ผู้คนก็ยังซื้อหุ้นเหล่านี้ต่อไปโดยไม่รู้อะไรผ่านกองทุนดัชนี แต่สิ่งที่ตอนนี้เขาทำกลับเป็นการเดิมพันว่าหุ้นจะขึ้นซะอย่าง
งั้น
มีบางคนวิเคราะห์ว่าถ้าอ้างอิงจากคำพูดของเขาเมื่อปีที่แล้ว เบอร์รี่อาจจะทำการ
Short ดัชนีเอาไว้แล้ว ส่วน Call Option ที่คุณเห็นคือเอาไว้ประกันความเสี่ยง
อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่า Call Option ที่ไมเคิล เบอร์รี่ถืออยู่นั้นมีอายุสัญญานาน
แค่ไหน คงต้องรอดูพอร์ตในไตรมาส 3 ถึงจะเห็นอะไรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
จนถึงตอนนี้นั้นไม่มีใครวิเคราะห์ได้จริง ๆ ว่าไมเคิล เบอร์รี่กำลังคิดอะไรอยู่ แต่จากการกระทำที่หลุดโลกของเขาแบบนี้ สงสัยเพื่อน ๆ กำลังจะได้ดูหนังเรื่องใหม่ที่ชื่อ
The Big Call ก็เป็นได้นะครับ เพื่อน ๆ อยากดูกันไหมครับหรือคิดอีกทีอย่ามีเลยดีกว่า เพราะถ้ามีหนังเรื่องนั้นจริง ๆ ก็หมายความว่าในอนาคตอันใกล้กำลังจะมีเหตุ
การณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
.
แอดปุง
โฆษณา