8 ก.ย. 2020 เวลา 09:14 • ธุรกิจ
เมื่อจ่ายเบี้ยประกันชีวิตไม่ไหว ทำอย่างไรดี???
ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ ถึงแม้ปัจจัยหลักจะมาจากโรคระบาด covid-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก แต่อีกปัจจัยที่มีผลมาสักระยะหนึ่งแล้ว และยังจะต่อเนื่องต่อไปอีก คือ disruption ต่างๆ ของรูปแบบธุรกิจ ส่งผลให้คนจำนวนมากเสี่ยงที่จะตกงาน หรือ ต้องใช้ทักษะในการทำงานใหม่ๆเพื่อการดำรงชีพ
แน่นอนว่ารายได้ของหลายครอบครัวต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้
รายจ่ายประจำอย่างหนึ่งที่ถูกพิจารณาปรับให้ลดลง ก็คือ การชำระเบี้ยของกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่เป็นสัญญาต่อเนื่อง เป็นแผนระยะยาว
เพื่อให้เราทุกคนสามารถปรับตัวในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ โดยไม่สูญเสียผลประโยชน์ หรือ กระทบความมั่นคงปลอดภัยของครอบครัว
วันนี้จึงขอนำเสนอแผนการปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ หากไม่สามารถชำระเบี้ยต่อเนื่องได้ เราทำอย่างไรได้บ้าง มาดูกันค่ะ
1.ลดเบี้ยประกันต่องวดชำระ ให้เหลือน้อยลง โดยตัดสัญญาเพิ่มเติมออก คงไว้แต่สัญญาหลัก
สิ่งที่ควรคำนึงถึง ถ้าเลือกตัดสัญญาเพิ่มเติม ค่ารักษาพยาบาล ประกันอุบัติเหตุ ชดเชยรายได้ ซึ่งเป็นสัญญาที่จ่ายเบี้ยทิ้งปีต่อปีอยู่แล้วออก
👉สวัสดิการที่ท่านจะใช้ทดแทน มีอะไรบ้าง เช่น บัตรทอง หรือ ประกันสังคม หรือ ประกันกลุ่ม และมีเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นอย่างไร ท่านพึงพอใจกับการรักษาหรือไม่
👉วันที่ท่านสะดวก ท่านจะกลับมาซื้อสัญญาเพิ่มเติมกับเล่มนี้ใหม่ ท่านจะมีความเสี่ยงในการเริ่มระยะเวลารอคอยใหม่ ซึ่งสุขภาพของท่านอาจจะไม่เหมือนเดิม
✍หากท่านหยุดชำระทั้งหมดทั้งสัญญาหลักและสัญญาเพิ่มเติม ท่านอาจจะเลือกสมัครทำประกันสุขภาพในวงเงินที่น้อยลง ในกรมธรรม์เล่มใหม่ ในอัตราเบี้ยที่ท่านชำระไหว เพื่อแชร์ความเสี่ยงในการใช้ร่วมกับสวัสดิการที่จะได้จากภาครัฐก็ได้ แต่ท่านต้องเริ่มระยะเวลารอคอยความคุ้มครองประกันสุขภาพใหม่ทั้งหมด จะไม่คุ้มครองต่อเนื่องเหมือนชำระเบี้ยเล่มเดิมเช่นกัน
2.เปลี่ยนงวดชำระจากรายปี เป็น รายเดือน ราย 3 เดือน หรือ ราย 6 เดือน โดยจะต้องรักษาวินัยการชำระไม่ให้ขาด เพราะสัญญามีโอกาสขาดง่ายกว่า การชำระเป็นรายปีหากท่านลืมชำระ และถ้าท่านต้องการเปลี่ยนกรมธรรม์ เป็น มูลค่าเงินสำเร็จ หรือ ขยายเวลา ท่านต้องชำระรายงวดให้ครบปี ถึงจะเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ก่อนเปลี่ยนเป็นรายงวด ตัดสินใจให้แน่นอนก่อนว่า สามารถชำระเบี้ยได้ตลอดทั้งปีหรือไม่
3.หยุดชำระ และเลือกแปลงมูลค่ากรมธรรม์
มีให้เลือก 3 วิธี
• เวนคืนเงินสด คือ ไถ่ถอนเงินสดออกจากกรมธรรม์ตามมูลค่าในตารางกรมธรรม์ ซึ่งวิธีนี้โดยส่วนใหญ่ จะขาดทุน ได้รับเงินคืนกลับมาน้อยกว่าเบี้ยที่ชำระไป แต่ก็จะได้เงินก้อนกลับมา ได้ประโยชน์ในเรื่องของสภาพคล่อง และจบสัญญากรมธรรม์ไปเลย
• ขยายเวลา คือ กรมธรรม์คุ้มครองต่อไปเต็มวงเงินทุนประกันเริ่มต้น ระยะเวลาคุ้มครองอาจจะคุ้มครองถึงครบสัญญากรมธรรม์ หรือ คุ้มครองต่อไปอีกจำนวน x ปี ครบสัญญาแล้ว อาจจะมีเงินก้อนคืน หรือไม่ก็ได้ อยู่ที่จำนวนปีที่เราชำระเบี้ยว่านานพอถึงจุดคุ้มทุนในกรมธรรม์หรือไม่
• ใช้เงินสำเร็จ คือ กรมธรรม์จะปรับลดทุนประกันลงเป็นจำนวนใหม่ และคุ้มครองต่อไปจนครบสัญญา โดยระหว่างทางอาจจะมีเงินคืนต่อ โดยคิดเป็น % ของทุนประกันใหม่ รวมถึงเงินครบสัญญา
ซึ่งถ้าเลือกแปลงกรมธรรม์เป็นข้อใดข้อหนึ่งแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก ท่านสามารถตรวจสอบตัวเลขเบื้องต้น จากตารางในเล่มกรมธรรม์ของท่าน หรือ โทรสอบถามกับ call center ของบริษัทประกัน เพื่อให้เขาคำนวณให้ และพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียให้ดี
ถ้าท่านติดปัญหาแค่ไม่สะดวกส่งเบี้ยต่อ แต่ไม่มีเรื่องเร่งด่วน ต้องการใช้เงินก้อนฉุกเฉิน ควรจะเลือกขยายเวลา หรือ ใช้เงินสำเร็จ โดยทั่วไปกรมธรรม์ที่ชำระเบี้ยมาแล้ว 5 ปีขึ้นไป มักจะสามารถทำวิธีนี้ได้โดยไม่ขาดทุน ส่วนการเวนคืนกรมธรรม์จะแนะนำเป็นวิธีสุดท้ายค่ะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่แนะนำให้เวนคืนเลยค่ะ
เมื่อหยุดชำระเบี้ยและเปลี่ยนแปลงกรมธรรม์แล้ว จะส่งผลให้ทุนประกันชีวิตของเราลดลง หรือ ไม่มีเลย เพื่อไม่ให้กระทบกับความมั่นคงของครอบครัวที่รักของเรา แนะนำให้เลือกทำประกันที่เน้นความคุ้มครองสูง จ่ายเบี้ยถูกมาทดแทนก่อน เช่นแบบตลอดชีพ หรือ ชั่วระยะเวลาค่ะ อาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนทางการเงินใดๆเหมือนแบบประกันตระกูลสะสมทรัพย์ แต่ก็ช่วยจัดการความเสี่ยงในช่วงเวลาวิกฤตนี้ได้ค่ะ
ทั้งนี้ หากเป็นปัญหาทางการเงินแค่ชั่วคราว แนะนำให้ท่านกู้มูลค่ากรมธรรม์ออกมาชำระเบี้ยแทน เพื่อรักษาผลประโยชน์ระยะยาวที่ท่านจะได้รับจากการทำประกันชีวิต เพื่อเป็นแหล่งเงินออมยามเกษียณและปกป้องความมั่นคงทางรายได้ของครอบครัวให้พ้นจากวิกฤตทางการเงินหากบุคคลสำคัญอย่างเช่นท่านจากไป
เป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกันนะคะ✌
ยินดีให้คำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่
อ่านบทความอื่นๆได้ที่
หากบทความมีประโยชน์ช่วยกดติดตาม กดแชร์ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ💙
โฆษณา