9 ก.ย. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #สุดท้ายก็วนมาที่เดิม ]
ในขณะที่กองเชียร์เชลซีกำลังตื่นเต้นกับฤดูกาลใหม่ที่ใกล้มาถึงเต็มที หลังจากเสริมกำลังพลอย่างแข็งแกร่งด้วยงบประมาณ 230 ล้านปอนด์แล้วในเวลานี้
กลับกันความวิตกกังวลพุ่งตรงมายังผู้เล่นบางคน ที่อาจต้องนึกถึงอนาคตของตัวเองด้วยว่าจะลงเอยแบบไหน
อย่างที่เราเห็นกันฤดูกาลก่อน แฟร้งค์ แลมพาร์ด ได้รับเสียงชื่นชมมากๆในแง่กล้าหาญใช้เด็กๆจากอะคาเดมี่หลายคน เจียระไนจนส่องประกายแวววาว ถือเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซเลยทีเดียว
มันน่าตื่นตามากๆที่ได้เห็นผู้เล่นอย่าง เมสัน เมาท์ , แทมมี่ แอบราฮัม , ฟิกาโย่ โทโมรี่ , รีซ เจมส์ หรือ บิลลี่ กิลมอร์ ก้าวสู่ทีมชุดใหญ่สิงห์น้ำเงินอย่างสง่างาม ทีมชาติอังกฤษและสก๊อตแลนด์ต่างก็ได้อานิสงส์ตามไปด้วย
สอดคล้องกับนโยบายของ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือสิงโตคำราม ผู้ซึ่งเปิดประตูโอกาสให้กับแข้งอายุน้อยๆทั้งหลายได้สัมผัสประสบการณ์อันล้ำค่า พร้อมเติบโตมาสนับสนุนอย่างเต็มที่
แต่ไม่แน่ใจว่าที่ แลมพาร์ด รับบทป๋าดันเข็นเด็กๆขึ้นมานั้น เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับหรือเปล่า
ผลกระทบจากการโดนฟีฟ่าลงโทษทำผิดกฏซื้อผู้เล่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำให้ถูกห้ามซื้อผู้เล่น "หนึ่งตลาด" หรือในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 เมื่อพ้นเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาเป็นปกติ
สำหรับ แลมพ์ส การต้องมาเผชิญกับปัญหาเช่นนี้ไม่ง่ายเลย เพิ่งอัพเดตมาจากเดอะ แชมเปี้ยนชิพ อีกทั้งประสบการณ์ก็แค่ปีเดียวกับดาร์บี้ เคาน์ตี้ ถือว่ามีอัตราความเสี่ยงสูงมากๆที่จะล้มเหลว
หลังตลาดหน้าร้อนผ่านพ้นไป ตลาดหน้าหนาวมาถึง ชดใช้โทษหมดเรียบร้อยแล้ว กลับมาชอปผู้เล่นได้อีก
แต่เชลซีเลือกที่จะไม่ใช้เงินช่วงเดือนมกราคม อาจด้วยการซื้อในเวลาอย่างนี้ติดขัดหลายประการ ไม่ว่าจะโดนโก่งราคาแพงเกินจริง มีความเสี่ยงจะล้มเหลวสูงมาก นักเตะไม่มีเวลาปรับตัว ย้ายแล้วต้องลงเล่นเลย
กระทั่งซัมเมอร์นี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในขุมกำลังเชลซีอย่างไม่น่าเชื่อ
ว่ากันว่า โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรหงุดหงิดพอสมควรกับผลงานไม่ค่อยเป็นไปดั่งใจเท่าไรนัก
เชลซีอาจเข้าป้ายท็อปโฟร์ตามเป้าในลีก ได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกครั้ง แต่การตกรอบถ้วยใหญ่ยุโรปอย่างหมดสภาพ ชนิดไร้ทางสู้บาเยิร์น มิวนิค มันสะท้อนช่องว่างที่ยังห่างพอสมควร
นอกจากนี้ความพ่ายแพ้ในเกมชิงเอฟเอคัพ ทั้งที่ขึ้นนำอาร์เซน่อลก่อน ยิ่งเพิ่มความเจ็บใจให้กับ อบราโมวิช
ฉะนั้นในซีซั่นใหม่ที่กำลังมาถึง จึงเดินเครื่องเต็มสูบปรับใหม่แทบทั้งแผง เพื่อทวงความสำเร็จกลับคืนมา
มาริน่า กรานอฟสกาย่า ในฐานะผู้เจรจาต่อรองทำงานอย่างหนักแทบไม่มีวันหยุดเพื่อปิดดีลต่างๆให้ได้
เชลซีกุมความได้เปรียบตรงที่มีงบประมาณเหลือเฟือสำหรับใช้จ่าย แถมยังรักษาสมดุลด้านการใช้เงินอย่างดี การขาย เอแด็น อาซาร์ ได้เงินก้อนใหญ่กว่า 140 ล้านปอนด์ ไหนจะยังมีตกค้างจากปล่อย อัลบาโร่ โมราต้า ไปยังแอตเลติโก้ มาดริดอีก
ไม่นับพวกแข้งดาวรุ่งซึ่งไม่อยู่ในแผนการทำทีม ถูกผ่องถ่ายออกไปได้เงินมาอีกก้อนใหญ่
จึงไม่ต้องมาหลอนกับกฏ FFP หรือไฟแนนเนี่ยลแฟร์เพลย์เลย ทุบคลังนำเงินออกมาจ่ายแบบมือเติบ
จริงๆ อบราโมวิช ไม่ได้คิดจะซื้อแบบบ้าคลั่งขนาดนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าผลงานโค้งท้ายฤดูกาลมีแผ่วจริง นักเตะอายุน้อยหลายคนไม่เปรี้ยงเหมือนอย่างเคย
เคสที่ชัดๆคือ แทมมี่ แอบราฮัม ซึ่งตกลงไปอย่างน่าใจหาย กระทั่งหลุดไปนั่งสำรองต้องหลักทางให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ลงมางัดความเก๋าช่วยแทน
ฮาเค็ม ซิเย็ค , ติโม แวร์เนอร์ , เบน ชิลเวลล์ , ไค ฮาแวร์ทซ ทั้ง 4 มีค่าตัวรวมกันเกือบ 230 ล้านปอนด์ ไม่นับที่ดึงมาฟรีๆอย่าง ติอาโก้ ซิลวา อีกต่างหาก
เท่ากับว่าเวลานี้มีสมาชิกใหม่ 5 คน ซึ่งทุกคนคาดว่าจะได้เป็นแกนหลักหรือได้รับโอกาสลงโม่แข้งก่อน
คาดกันว่าเชลซียังไม่หยุดเท่านี้ อย่างน้อยต้องมีแข้งชั้นดีมาเสริมอีกสักรายแล้วค่อยปิดตลาดหน้าร้อนอย่างเป็นทางการ
คำถามคือเมื่อหน้าใหม่แห่กันมาจนแทบทะลัก ดาวรุ่งที่เคยเป็นความหวังล่ะจะไปอยู่ที่ไหน
เมสัน เมาท์ , แทมมี่ แอบราฮัม , ฟิกาโย่ โทโมรี่ , รีซ เจมส์ หรือ บิลลี่ กิลมอร์ ที่เคยมองเห็นอนาคตสดใสของตัวเอง อาจต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ
ขนาดที่ว่า เมาท์ ซึ่งแบเบอร์นอนมาว่ามีชื่อในไลน์อัพ เพราะฟอร์มมาตรฐานมากกว่าใคร อีกทั้งได้ขึ้นชื่อเป็นลูกรักของ แลมพาร์ด ฝ่าฟันมาด้วยกันตั้งแต่สมัยอยู่ดาร์บี้ ยังไม่มีการันตีในซีซั่นใหม่
จนพวกสื่อไปปั้นข่าวว่า เมาท์ ไม่แฮปปี้กับการมาของ ฮาแวร์ทซ์ มีการจับผิดเกิดขึ้นบางอย่าง เพราะตำแหน่งซ้อนกัน ต้องขับเคี่ยวแย่งกันดุเดือด
เมาท์ อาจเป็นเด็กในคาถาของ แลมพาร์ด แต่อย่าลืม ฮาแวร์ทซ์ มาตามบัญชาของ อบราโมวิช คงไม่ต้องบอกว่าใครจะได้อภิสิทธ์มากกว่ากัน
ในอดีตเราเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาแล้ว ตอนเชลซีซื้อ อังเดร เชฟเชนโก้ ในปี 2006 ก็เป็นไปตามใบสั่งของ อบราโมวิช จนเกิดรอยร้าวความสัมพันธ์กับ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมซึ่งไม่ได้ร้องขอ
ไม่ใช่แค่มีอยู่ในทีมเท่านั้น มูรินโญ่ ยังเจอบีบต้องส่ง เชว่า ลงเล่นอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งการล้วงลูกอย่างนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย มีแต่พังกับพังซึ่งกระทบไปยังผลงานของนักเตะด้วย
อบราโมวิช เชื่อว่าการซื้อ ฮาแวร์ทซ์ หน้าร้อนนี้คือฤกษ์งามยามดีมากๆ หลายสโมสรไม่มีเงินก้อนมาต่อรองสู้ราคากับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
ในอนาคต ฮาแวร์ทซ์ จะมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นไม่ต้องสงสัย หากโลกฟุตบอลกำจัดโควิด-19 ได้สำเร็จ กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ซึ่งน่าจะในเร็ววันนี้
มันเป็นเรื่องธุรกิจที่เจ้าของสโมสรดำเนินการตามแผน โดยที่ตัว แลมพาร์ด ไม่ได้ต้องการสักเท่าไรเลย
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีข่าวทำนองว่า เมาท์ ไม่พอใจที่เห็น ฮาแวร์ทซ์ เข้ามาร่วมทีมด้วย
ทีนี้จึงเกิดคำถามว่า สุดท้ายแล้วเชลซีก็กลับเข้าสู่วังวนเดิมๆหรือ?
ยังไงก็สลัดหนีวิถีของการใช้เงินไม่หลุด กิตติศัพท์ของเชลซียังคงเหมือนเดิมคือกักตุนผู้เล่นดาวรุ่งไว้มากมาย แต่กลับไม่ให้โอกาสอย่างที่ควรจะเป็น
สุดท้ายก็ปล่อยยืมหรือไม่ก็ต้องขายไปในราคาถูกๆ เหมือนเป็นการตัดอนาคตที่ควรจะรุ่งมากกว่านี้
เช่นเดียวกันแข้งยังบลัดที่แจ้งเกิดจากซีซั่นก่อน คงต้องต่อสู้อย่างหนักในฤดูกาลใหม่ เพื่อหาที่ยืนของตัวเองให้ได้ หากไม่สำเร็จจริงก็ต้องดิ้นรนหากันต่อไป
บทสรุปที่ชัดเจนคือเชลซียังไม่ได้เปลี่ยนแนวทางหรือนโยบาย ยึดมั่นกับการใช้เงินเช่นเดิม เพราะเชื่อว่าโอกาสประสบความสำเร็จจะสูงกว่า
ไม่อาจไม่ถึงขั้น "สร้างมาเพื่อทำลาย" แต่น่าเสียดายหากนักเตะบางคนจะหยุดพัฒนา เนื่องจากว่าไม่ได้ลงอย่างสม่ำเสมอ
นั่นหมายความว่าซีซั่นที่เพิ่งผ่านพ้นไปของเชลซี เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้นหรืออาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่บีบบังคับมากกว่า
ส่วน แลมพาร์ด เองอาจจะไม่ต้องการผู้เล่นบางคน แต่การไปมีปากเสียงหรือแข็งข้อขัดขืนคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร
ชะตากรรมแข้งดาวรุ่งของเชลซียังไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #อย่าเอาคำว่าเด็กมาอ้าง ] : ไม่ใช่แค่เป็นข่าวฉาวตามหน้าสื่อเท่านั้น แต่ทั้ง ฟิล โฟเด้น และ เมสัน กรีน วู้ด ยังต้องเผชิญกับประสบการณ์อันเลวร้ายด้วย การพาผู้หญิงขึ้นห้องพักที่โรงแรม ในสถานการณ์แบบนี้ บ่งบอกถึงนิสัยไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่ง จะมาอ้างว่ายังเด็กก็คงไม่ใช่ เรื่องอย่างนี้ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเอามาใช้เป็นบทเรียน โตขนาดนี้เข้าใจได้ไม่ยากว่าอะไรควรไม่ควร หากความผิดนี้ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวล่ะ จะทำอย่างไรกัน?
[ #หนีมูรินโญ่_ปะค้อนเต้ ] : มกราคมที่ผ่านมา คริสเตียน เอริกเซ่น ย้ายออกจากสเปอร์ส พร้อมความหวังว่าจะอยู่ดีมีสุขกับอินเตอร์ มิลานบ้านหลังใหม่ อย่างไรก็ตามจินตนาการที่วาดไว้อย่างสวยงามนั้น กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาเป็นได้แค่ตัวสำรองหรืออะไหล่ที่ข้างสนามซะส่วนมาก จากเจ้านายที่ชื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ สู่บอสที่ชื่อ อันโตนิโอ คอนเต้ มันไม่ต่างกันเลยจริงๆ
[ #สงครามเย็นที่มาดริด ] : คลื่นลมที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบวดูจะนิ่งเงียบ ไม่มีพายุหรือมรสุมคุกคาม แต่ไม่ได้หมายความว่าบรรยากาศจะราบรื่นเสมอไปเพราะรอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่าง ซีเนดีน ซีดาน และ แกเร็ธ เบล ปริแยกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสมานได้อีกสำคัญกว่านั้นคือหัวเด็ดตีนขาด เบล ก็จะไม่ย้ายไปที่อื่น หากไม่ได้รับค่าจ้างเท่าเดิม ขออยู่จนครบสัญญาในปี 2022น่าสนใจว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยกันอย่างไร?
[ #ดีลมหัศจรรย์ของเชลซี ] : ฤดูร้อน 2019 แฟนเชลซีเศร้าพอสมควร เมื่อต้องเห็น เอแด็น อาซาร์ ย้ายไปเรอัล มาดริด เพราะนี่คือนักเตะคนสำคัญที่สุดอย่างไรก็ตามมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างชัดเจนแล้วว่า เชลซีคิดถูกมากๆที่ยอมปล่อยออกไป นักเตะยังคงเจ็บถี่ยิบ ไม่ได้ลงเล่นสม่ำเสมอสำคัญไม่แพ้กันคือดีลอาซาร์ ทำให้เชลซีไม่ต้องกลัวไฟแนนเชี่ยลแฟร์เพลย์ตามหลอกหลอน จนชอปได้อย่างมือเติบในฤดูร้อนนี้
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา