11 ก.ย. 2020 เวลา 04:19 • ข่าว
ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐ ยอมรับว่าตั้งใจปกปิดประชาชนเรื่องความร้ายแรงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ / ตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงหนักกว่า 400 จุด จากแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี / ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ สูงกว่าคาดไว้อยู่ที่กว่า 884,000 ราย / สหรัฐประกาศคว่ำบาตร Huawei รอบใหม่ / ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย / ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นทะลุ 28.32 ล้านคน และเสียชีวิตกว่า 9 แสนราย !!!
Photo: Doug Mills-Pool/Getty Images
เมื่อคืนนี้ (10ก.ย.) ดัชนี Dow Jones ตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดตลาดปรับตัวร่วงลง 405.89 จุด หรือลบไป 1.45% ปิดที่ 27,534.58 จุด ขณะที่ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวร่วงลงถึง 59.77 จุด หรือลบไป 1.76% ปิดที่ 3,339.19 จุด ส่วนดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลง 221.97 จุด หรือลบ 1.99% ปิดที่ 10,919.59 จุด หลังได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ปรับตัวลงอีกรอบไปตามๆ กัน นำโดย Apple Inc. (-3.26%), Amazon.com (-2.86%), Microsoft (-2.80%) และ Facebook (-2.06%) หลังจากที่เพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาแรงเมื่อวันก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้รับแรงกดดันจากตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐ โดยมีรายงานตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่แล้ว อยู่ที่กว่า 884,000 ราย สูงกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 850,000 ราย ทำให้มีผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องทะลุกว่า 13.385 ล้านราย ในขณะที่บริษัทในเกือบทุกภาคอุตสาหกรรม ยังมีการปลดพนักงาน และพักงานพนักงานอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19
ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐ ออกมายอมรับว่าเขาจงใจปกปิดเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 บางส่วนในสหรัฐ ตั้งใจไม่พูดถึงความรุนแรงของไวรัสในช่วงแรกของการระบาดในสหรัฐ เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ต้องการให้ประชาชนชาวอเมริกันทั้งประเทศเกิดความแตกตื่น
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า โรคระบาดโควิด-19 นั้นไม่มีความร้ายแรง เป็นเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่เท่านั้น พร้อมทั้งบอกให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกเกินไป ก่อนที่เขาจะประกาศภาวะฉุกเฉินในสหรัฐ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ เขายังได้ให้สัมภาษณ์หลังจากที่นักข่าวถามถึงสาเหตุที่เขามีมุมมองเปลี่ยนไปเกี่ยวกับโควิด-19 ซึ่งปธน.ทรัมป์ เผยว่า เขามีความตั้งใจลดความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
Cr. Bloomberg
ขณะที่ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนก็ทวีความตึงเครียดมากขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ เร่งมือทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงของสหรัฐตามที่เคยประกาศไว้ รวมถึงเรียกคะแนนเสียงให้กลับมาได้มากที่สุด
ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐประกาศคว่ำบาตร Huawei บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สัญชาติจีนรอบใหม่ มีผลตั้งแต่เมื่อวันอังคาร (8 ก.ย.) ที่ผ่านมา ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของบริษัทที่จัดหาชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ทำให้บริษัทต้องสูญเสียรายได้ไปหลายหมื่นล้านเหรียญต่อปี
โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ได้ประกาศห้ามบริษัทอเมริกันทำการจัดหาวัตถุดิบในการผลิต Semiconducter รวมทั้งห้ามออกแบบ Software ให้กับ Huawei เพื่อสกัดไม่ให้ Huawei มีแหล่งสั่งซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญในการผลิตสมาร์ทโฟน และสร้างสถานีฐานผ่านทาง Supplier นอกประเทศ ซึ่งการผลิตของ Huawei ที่หยุดชะงักลงนั้นจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจนี้ โดยเฉพาะบริษัทญี่ปุ่นที่จัดหาวัตถุดิบให้ Huawei ในสัดส่วนเกือบ 30% ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
ส่วนทางด้าน Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของไต้หวัน และถือเป็นรายใหญ่สุดของโลก ที่มีรายได้จากการทำธุรกิจกับ Huawei สูงถึงกว่า 5 พันล้านเหรียญฯ ต่อปี
ล่าสุด กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้ประกาศว่า กำลังพิจารณาว่าจะขึ้นบัญชีดำบริษัท SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีนที่พึ่งพาเทคโนโลยีอเมริกัน แต่จะมีการยกเว้นการห้ามทำธุรกิจกับ Huawei แก่บริษัทที่ยื่นขออนุญาตได้การยกเว้น ในขณะที่ นักวิเคราะห์บางคน มองว่า การอนุมัติในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก ทำให้บรรดา Supplier ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เริ่มมองหาผู้ซื้อรายใหม่ที่ไม่มีปัญหากับทางสหรัฐ และหากสถานการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ บริษัทเหล่านี้อาจเลิกทำธุรกิจกับ Huawei ไปเลย
VIA GETTY IMAGES
ทางด้านราคาทองคำ เมื่อวานนี้ (10 ก.ย.) ดีดตัวขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขคนว่างงานรายสัปดาห์จำนวนกว่า 884,000 มากกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 850,000 ราย โดยจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นกว่า 93,000 ราย ทะลุระดับ 13.385 ล้านราย
นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่า จนกว่าระดับอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายแต่ไม่เกิน 2% และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.35 ล้านล้านยูโร จนถึงเดือน มิ.ย. ปีหน้า โดยที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ไว้ที่ระดับ -0.50% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 0.25%
ทางด้านราคาน้ำมันดิบปิดตลาดเมื่อวานนี้ (10 ก.ย.) ปรับตัวร่วงลง หลังสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ ในสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้นราว 3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 500,000 บาร์เรล ขณะที่ EIA ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้กว่า 210,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 8.32 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ด้านความคืบหน้าวัคซีนต้านโควิด-19 มีรายงานจากทาง บริษัท AstraZeneca พบหนึ่งในอาสาสมัครในโครงการทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 มีอาการระบบประสาทในไขสันหลังอักเสบอย่างรุนแรง หลังได้รับวัคซีนทดลองดังกล่าว แต่ขณะนี้อาการกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะได้ออกจากโรงพยาบาลในเร็วๆนี้ ทำให้ทางบริษัทต้องประกาศระงับการทดลองวัคซีนโควิด-19 ในขั้นสุดท้ายชั่วคราว ซึ่งถือเป็นมาตรการปกติของทางบริษัทเพื่อลดผลกระทบต่อในการทดลองให้น้อยที่สุด และมีรายงานว่าทางบริษัทจะกลับมาดำเนินการทดลองต่อในช่วงสัปดาห์หน้า
GETTY IMAGES Wetin we call dis foto, AstraZeneca and Oxford clinical trials for Coronavirus Vaccine
สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกล่าสุด (11 ก.ย.) พุ่งสูงขึ้นทะลุ 28.32 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วกว่า 9 แสนราย โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทั่วโลกพุ่งขึ้นกว่า 2 แสนรายต่อวัน ส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอยู่ที่กว่า 6.58 ล้านคน และมียอดผู้เสียชีวิตรวมกว่า 1.96 แสนราย
Source: worldometers
ขณะที่ ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยอยู่ 3,454 ราย เมื่อวานนี้ มียอดผู้เสียชีวิตรวม 58 ราย โดยเมื่อวานนี้พบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน (Daily new cases) 7 ราย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศและอยู่ใน State Quarantine แต่ที่น่ากังวลคือ มีรายงานพบนักโทษในเรือนจำ จำนวน 1 รายเป็นชาย วัย 37 ปี ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดครับว่าจะเกิดการระบาดอีกระลอกตามมาหรือไม่ เพราะฉะนั้นพ่อแม่พี่น้องชาวไทยการ์ดอย่าตกเด็ดขาด สู้ๆ ครับ !!! ✌️
Source: worldometers
⭐️ สนใจเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นไทย, หุ้นต่างประเทศ, ออมหุ้นรายเดือน (DCA), ซื้อกองทุน, ทองคำ, TFEX หรือสินค้าอื่นๆ ติดต่อเปิดพอร์ตลงทุนได้ที่ Inbox คลิกที่ "Contact Us" ด้านล่างนี้ได้เลยครับ 👇👇👇
#คลินิกการลงทุน
โฆษณา